วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Death Race : ซิ่ง ชน ระเบิด ตีลังกา เสียบ เลือดสาด หัวแบะ ตาย

หลังจากวันอาทิตย์ไปสอบ CU-BEST ตอนเช้า ตอนบ่ายก็ไปดู Death Race มา

ก่อนไปเรื่องหนังมาเพ้อเจ้อถึงเรื่อง CU-BEST กันก่อน

วันเสาร์ก่อนสอบ ด้วยความที่อ่านหนังสือจบแล้ว(รีบอ่านเพราะจะเอาหนังสือไปคืนให้พี่เต่าอ่านบ้าง) ก็เลยไปเที่ยวเล่น ไปเดินสำเพ็งหาซื้อกระเป๋า แล้วก็ไปจุฬาเพื่อไปหาตึกสอบก่อนจะได้ไม่หลงทางวันสอบ ซึ่งก็ดีที่ไปดูก่อน เพราะไม่รู้ว่าประตูฝั่งอังรีดูนังเขาไม่เปิดวันเสาร์อาทิตย์!! ไอ้เราก็ลงป้ายตรงสถานเสาวภา กะว่าจะเข้าด้านหลัง ปรากฎว่าปิด O_o แต่ยัยนี่ยังไม่เข็ด ประตูหน้าคงเปิดน่ะ เดินไปเรื่อยๆ สรุปเดินไปทะลุที่โรงเรียนเตรียมฯ แล้วเดินกลับมา ดีนะที่โรงเรียนเตรียมเขาให้เข้า ถ้ายามไล่คงต้องเดินไปสยาม วันนั้นถึงกับขาลากเลยเชียว ร้อนก็ร้อน รวมเวลาเดินตั้งแต่สำเพ็งยันรัฐศาสตร์ ประมาณ 4 ชั่วโมงได้ -_-"

วันอาทิตย์ ตื่นมาตอน 7 โมง ออกจากบ้าน 8 โมง กะว่าให้ไปถึงโน่นสัก 8:30 เผื่อว่ามีอะไร เช่น หาห้องไม่เจอ ก่อนออกจากบ้านพ่อถามว่าที่สอบไกลจากรถไฟฟ้าเยอะไหม (ประมาณว่าไปส่งเอาไหม) ด้วยความรักโลก ก็เลยบอกไปว่าไม่ไกลค่ะ(ความจริงก็ไม่ไกลมาก แต่ก็ไม่ใกล้นะ) จะได้ไม่ต้องขับรถออกไปเปลืองน้ำมัน พอเดินไปถึงรถไฟฟ้าใต้ดินอุ๊ก็โทรมา บอกว่าไปด้วย~~ ไปไม่เป็น ถ้าเราให้พ่อไปส่งคงอดแล้วนะอุ๊

ไปถึงก็ชี้ตึกเศรษฐศาสตร์ให้อุ๊ดูประหนึ่งว่าเป็นเด็กจุฬา (ความจริงคือเห็นตอนที่มาสำรวจตอนวันเสาร์) แล้วก็ไปถึงตึกตรวจสอบชื่อก็เห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเยอะ(ไล่อุ๊ไปดูห้องสอบแล้วเลยอยู่คนเดียว) ก็เลยไปนั่งเอาหนังสือ "เที่ยวไม่ง้อทัวร์ ตีตั๋วตะลุยญี่ปุ่น3" ขึ้นมาอ่าน ใครเห็นคงสงสัยว่ายัยนี่มันมาสอบหรือมาทำอะไรกันแน่ ~ก็หนูไม่รู้จะอ่านอะไรแล้วนี่นา~ ทำข้อสอบก็นับว่าทำได้ ออกมาลัลลา (โดนพี่เต่าบอกว่ายิ้มแป้นมาเชียว) พี่เต่าก็เลยบอกว่าถ้าได้เกิน 400 เลี้ยงข้าวพี่ด้วย แต่ถ้าได้น้อยกว่า 400 ต้องเลี้ยงข้าวพี่ เอาเลย ได้เสีย ได้เสีย

วันนี้คะแนนก็ออกมาแล้ว ได้กินฟรี ฮิ้ว~~~ ไม่ต้องเสียใจแทนว่าคะแนนน้อย คะแนนไม่น้อยหรอกนะ(คนอ่านคงหมันไส้แล้ว) แต่ดวงมันจะได้กินฟรีน่ะ ถ้าตอบถูกอีกข้อคงเสียดายตังค์

ว่าแล้วก็โทรหาน้องสาวที่นัดกันออกมา แล้วก็ไปกินข้าวกันที่ pepper lunch กับพี่เต่าและอุ๊ ความจริงเจอพวกวัดที่จะไปกิน Fuji กันด้วย แต่ด้วยความไม่ชอบส่วนตัว ขอไม่กิน Fuji แล้วกันนะ pepper lunch ก็อร่อยเท่ากับที่คาดไว้(ไม่ได้คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว) แต่เห็นมันแปลกดีก็เลยลองเข้าไปกิน

บอกอุ๊ว่าจะไปดู Death Race (ในที่สุดมันก็เข้าเรื่องหนังสักที) แต่อุ๊บอกว่าจะไปดู Maid of honor ก็เลยบอกไปว่ามันยังไม่เข้าไม่ใช่เหรอ ตอนนี้มีแต่รอบพิเศษที่ฉายล่วงหน้า(ทำเหมือนเป็น box office) สรุปแล้วก็จริงๆ มีแต่รอบหลัง 2 ทุ่ม ดังนั้นทุกคนก็เลยไปดู Death Race กันแทน มีพี่ใหม่มาอีก 1 คนเป็น 5 คน

ใครชอบดูหนัง action เอามัน ก็รีบไปดูเลยเรื่องนี้ ฉากค่อนข้างโหดเอาการอยู่ แต่เป็นความโหดประเภท ชนกระเด็น ระเบิดกระจาย ถูกทับทีเดียวแหลก ไม่ใช่ประเภทค่อยๆ ตัดนิ้วออกไปทีละนิ้ว ดังนั้นคนขวัญอ่อนน่าจะดูได้

เรื่องย่อ : เรื่องนี้เกิดขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจอันล่มสลายของอเมริกา คนทำผิดเยอะจนรัฐบาลจัดการคุกไม่ไหว ต้องให้เอกชนมาดูแล และสิ่งที่เอกชนทำคือ เอานักโทษมาแข่งรถไป ฆ่ากันไป เพื่อให้คนเสียเงินดูการถ่ายทอดสด แล้วนักโทษจะได้อะไรหรือ?? ถ้าชนะ 5 ครั้ง ก็ออกจากคุกไปเลย พระเอกเป็นนักซิ่งเก่า แต่ทำผิดอะไรสักอย่างจนต้องติดคุก แต่พอออกมาก็ได้แต่งงานมีลูกมีความสุข วันนั้นโรงงานที่เขาทำงานอยู่ปิดตัวลง และพอกลับมาบ้านก็ต้องพบกับสิ่งไม่คาดฝัน มีใครบางคนบุกเข้ามาฆ่าภรรยาเขา และป้ายความผิดให้เขา เขาถูกส่งไปเข้าคุก และได้รับข้อเสนอให้แข่งรถแทนแฟรงค์(แฟรงเกนสไตน์) นักแข่งรถสวมหน้ากากที่เพิ่งตายไปเพราะรถคว่ำ แต่เนื่องด้วยแฟรงค์เป็นตัวเพิ่ม rating แม่สาวพัสดีคุมคุกจึงพยายามหาคนมาแทนแฟรงค์(ยังไงเขาก็สวมหน้ากากอยู่แล้วนี่) แฟรงค์ชนะไปแล้ว 4 ครั้ง ดังนั้นอีกครั้งเดียวพระเอกก็จะได้อิสรภาพ แต่มันคงไม่ง่ายนักเพราะถ้าแฟรงค์ชนะ หมายถึงเขาจะไม่ได้อยู่แข่งครั้งหน้า และหมายถึง rating จะตก และเขาเริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมเขาถึงได้เข้ามาอยู่ในคุกพอดีในเวลาที่ต้องการตัวนักแข่งรถ

เนื้อเรื่องไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่ แต่ฉากแต่ละฉากสนุกสุดยอดจริงๆ ใครเคยเล่นเกมแข่งรถที่ต้องทำลายคู่ต่อสู้ไปด้วย เช่น ปาระเบิดใส่รถข้างหลัง หนังเรื่องนี้ประมาณนั้นเลย ดูไปบางทีก็รู้สึกเหมือนเกมนะ แต่ภาพโหดกว่าแค่นั้นเอง

ที่บอกว่าเนื้อเรื่องไม่มีสาระแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องห่วยๆ หรอกนะ แกนหลักของเรื่องก็สมเหตุสมผลและน่าติดตาม เพียงแต่มันไม่ได้มีบทซาบซึ้ง มีแฝงข้อคิดลึกทุกอณู และด้วยความเป็นเรื่องง่ายๆ ก็เลยไม่รู้ว่าจะเอาตรงไหนมาไม่สมเหตุสมผล

สรุปความเห็น : ชอบมากเรื่องนี้ ดูแล้วระบายอารมณ์ดี

spoil : เป็นหนังดีเพราะจบ happy ending ด้วย ตัวร้ายตาย พระเอกอยู่มีความสุขกับลูก ดูแล้วไม่จิตตก ^_^

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

WALL-E

ไปดู WALL-E มาแล้ว(ความจริงต้องบอกว่าดูมานานแล้ว)

เป็นหนังการ์ตูนที่ดีเชียวล่ะ แต่ไม่รู้ทำไมออกมาแล้วไม่รู้สึกว่า กรี๊ดๆ สนุกจังเลยก็ไม่รู้ - -"

แล้วก็ไม่เกิดอาการ Disney Mania แม้แต่นิดเดียว

ครึ่งชั่วโมงแรกจะหลับด้วย ซึ่งสำหรับเราแล้วการดูหนังแล้วจะหลับเนี่ยโอกาสเกิดน้อยมากๆ ครั้งเดียวที่เคยง่วง(แล้วแอบสัปหงกไปนิดนึง) คือตอนที่ดู Nemo (เป็นอะไรกับ Pixar เนี่ยฉัน) แต่ว่าตอนนั้นที่หลับเพราะว่าเป็นการไปดูหนังหลังสอบเสร็จ ซึ่งช่วงสอบนี่นอนน้อยมากๆๆ คืนก่อนวันที่ไปดูนอนไม่ถึง 3 ชม. เลยมั้ง แต่พอสอบเสร็จยัยนี่ก็กระแดะไปกินข้าว ดูหนัง ไม่กลับไปนอน

กลับบ้านมาก็เลยมาวิเคราะห์ว่าทำไมถึงไม่ประทับใจนะ?? และก็ได้เหตุผลหลักออกมา 3 ข้อ

หมายเหตุ ใครดูหนังเรื่องนี้แล้วชอบมาก หรือว่าอยากไปดูหนังเรื่องนี้ให้สนุกก็อย่าอ่านเลยนะคะ จะอารมณ์เสียเปล่าๆ

1. ฉากตอนต้นๆ พี่ Pixar แกเล่นเอามาทำ trailer หมดแล้วความน่ารักหน้าหยิกของ WALL-E ก็ดูมันทุกรอบในโรงก่อนหนังฉาย ก็เลยเกิดอาการเอียนเข้าให้ (ส่วนหลังๆ จะเป็นตอนที่ไม่มีใน trailer ก็เลยสนุกขึ้นมา)

2. เพราะทุกคนบอกว่ามันดี เลยค่อนข้างจะคาดหวังสูงเกินไป ทั้งๆที่ปกติดูหนังจะพยายามไม่คาดหวังหรือตัดสินตัวหนังก่อน แต่เรื่องนี้คิดไว้ว่าจะต้องดีฉากน่ารักๆ ขำๆ ตลอดเรื่อง แต่ว่าดันไม่ค่อยขำ(ขำบ้างแต่ไม่มาก) หรือว่าเพราะเราเส้นลึกเนี่ย

3. ดันไปดูช่วงจิตตกพอดี กะว่าจะไปดูการ์ตูนให้จิตใจชุ่มชึ่นสักหน่อย แต่ว่าหนังกลับไม่ค่อยจรรโลงใจ ถึงดูฉากหน้าจะน่ารัก แต่ทั้งเรื่องเจ้า WALL-E จะทำตาตก ดูเหงา เศร้าตลอดเรื่อง ส่วน EVE ก็ออกจะจริงจังกับหน้าที่อย่างเดียว หุ่นทั้งหลายดูขำ แต่ความจริงเขาก็เป็นแค่หุ่นที่พังแล้ว และสรุปถึงจะจบแบบ happy ending มันก็ดูเวอร์เกินไปยังไงไม่รู้ ขยะก็ยังเต็มเมือง แล้วจะเอาที่ไหนไปเพาะปลูก แล้วคนเราจะทำอะไรเป็นหลังจากอยู่กับวัฒนธรรมนอนอืดกันมา 700 ปี (พอจิตตกเลยคิดอะไรด้านลบมาซะเยอะเลย)

สรุปแล้วหนังเขาดี มีข้อคิด แต่ไม่ใช่แนวที่ชอบ ดูแล้วไม่ค่อยลื่นไหลเลย มันรู้สึกสะดุดๆ สงสัยว่าอีตานั่นเอาทุกคนขึ้นยานไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา เขาจะจ่ายตังค์ให้เหรอ แล้วทุกคนมีตังค์หรือไง หรือว่าทำเพื่อปกปิดเรื่องที่ตัวเองทำให้โลกเต็มไปด้วยมลพิษ

แต่ที่ดูไปแล้วขัดใจสุดๆคือแล้วเขาเอาอะไรมาเลี้ยงคนทั้งยาน ขยะก็ทิ้งไปเรื่อยแล้วมันผลิตมาจากไหน(ดูทั้งยานทุกคนจะนอนอืดกันหมด) และจนสุดท้ายแล้วถึงจะบอกว่าหนังเรื่องนี้บอกเราว่าถ้าเรายังไม่ดูแลรักษาโลก โลกจะอยู่ไม่ได้อีกต่อไป แต่ถึงอย่างไรเราก็หนีไปบนยานนอนอืดสบายใจ แล้วก็ค่อยกลับมาทำลายโลกใหม่ตอนที่โลกรักษาตัวเองแล้วก็ได้นี่

ดูไปก็พยายามบอกตัวเองว่ามันเป็นการ์ตูนอย่าไปคิดลึก แต่ถ้าคิดแบบเด็กเนี่ย บางจุดถ้าเป็นเด็กดูเขาจะเข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อไหมนะ เหมือนบางฉากก็มีข้อคิดแฝงอยู่ลึกๆ (หรือเด็กสมัยนี้เขาฉลาดกันนะ)

สรุปว่ายังไม่ได้ชมเลยนะเนี่ย ก็มันไม่ spark นี่นา ความจริงบางฉากชอบก็มีนะ แล้วก็มีส่วนที่อยากบ่นมากกว่านี้ด้วย แต่ง่วงนอนแล้วน่ะ ขอไปนอนก่อนนะจ๊ะ บายๆ

ปล.เมื่อวานไปดู Death Race มา บู๊กันมันส์มากๆ ไว้จะมาเขียนวันหลังนะ

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

The Strangers : ฆาตรกรโรคจิต ปะทะ ผีโรงหนัง

ต่อจากตอนที่แล้ว

ตอนบ่ายก็เดินไป central world เพราะที่นั่นมีรอบเร็วที่สุดในละแวกนั้นตอน 4 โมง พอไปถึงที่จองตั๋วเท่านั้นแหละ วันนี้มันเทศกาลดูหนังฟรีหรือไง ทำไมคนเยอะอย่างนี้ เข้าไปต่อคิวได้พักนึงก็หันไปดู แถวเริ่มยาวออกไปเรื่อยๆ แต่พนักงานเขาก็บริการเร็วมาก อาจเป็นเพราะช่องขายตั๋วเปิดทุกช่องด้วย ก็เลยทำให้ไม่นานก็ได้จองตั๋วแล้ว

พอจะมาเอา magnet โอ้ มีคิวด้วย ยาวอีกต่างหาก(ไม่เคยเจอ) ไว้มาเอาทีหลังก็ได้ ก็เลยไปนั่งเล่นใน TK park ซะหน่อย พอได้เวลาก็ออกมาดูหนัง

ตอนจองก็เห็นยังไม่ค่อยมีคนและคิดว่าคงไม่มีคนเท่าไหร่ เพราะเป็นหนังเล็ก รอบก็น้อยแล้ว(แปลว่าคนดูน้อยเลยโดนถอดออก) ก็เลยจองตรงกลาง ตรงทางเดิน ที่ไหนได้ คนค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว คงจะเพราะรอบน้อย คนเลยต้องมาแออัดในรอบเดียวกันหมด

กำลังดูตัวอย่างหนังอยู่ ก็เจอดีเลย ผีกระซิบ ไม่รู้คุยอะไรกันนัก ถ้าอยากคุยกันไม่ออกไปนั่งกินข้าวฟะ (ได้แต่ภาวนาว่าพอหนังเริ่มขอให้หยุดคุยเถอะ) ยังดีที่ผีกระซิบไม่ใช่ผีแท้ เพราะว่าพอหนังเริ่มก็ไม่มีการคุยกันแล้ว(หรือว่ามีผีตัวอื่นที่น่ากลัวว่ามาบดบังก็ไม่รู้) สักพักต่อมาก็มีตัวหนังสือให้ยืนตรงขึ้นแล้วก็ได้ยินเสียง มือถือดัง!! เมื่อกี๊ก็มีโฆษณา DTAC ให้ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดแล้วไม่ใช่เหรอคะ?? อย่าน้อยดังตอนนี้ก็ดีกว่าดังตอนดูหนังแหละน่าคิดในแง่ดี แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ความน่ากลัวเพิ่งจะเริ่มต้น หนังเริ่มไปได้สักพัก ผีมือถืออีกตัวโผล่มาจากเก้าอี้ข้างๆเลยครับ รับสายแล้วฟังเขาพูดอีกต่างหาก - -" จะบ้าตาย หันไปทำตาเขียวทีนึง แต่น้องเขาคงไม่รู้สึก ระหว่างที่คิดว่าควรจะบอกเขาให้วางสายดีหรือเปล่า เขาก็วางพอดี เฮ้อ!!

หลังจากนั้นผีมือถือตัวแรก(เหมือนจะนั่งด้านหลังซ้าย) ก็แผลงฤทธิ์อีกรอบ ไม่รู้ว่าฉันหูดีหรือว่าโทรศัพท์เป็นรุ่นบ่อเกิดแผ่นดินไหว ได้ยินเสียงสั่นดังมาเลย แล้วเขาก็รับขึ้นมาบอกว่าดูหนังอยู่แล้วก็วางไป ไม่นานนักหนังเริ่มตื่นเต้นขึ้น ผีตัวใหม่ก็ออกอาละวาด ได้ยินเสียงลอยมาจากที่ไหนไม่รู้ "กลัวเหรอ"(เสียงผู้ชาย) "ไม่ได้กลัวแค่ตกใจ"(เสียงหญิงสาว) นั่นไง ผีคู่รัก - -"

อีกไม่นานนัก ผืมือถือข้างๆ ที่คิดว่าตายไปแล้วก็ฟื้นคืนชีพมา แต่คราวนี้รับแล้วบอกว่าอยู่ในโรงแล้ววางทันที แต่อีผีปลายสายนี่สิ จะโทรมาอีกรอบทำม้ายยยยยยยยยยยย น้องเขาก็ไม่รับแต่ก็ไม่ได้ปิดกระเป๋าให้เรียบร้อย มันก็กระพริบๆ เหมือนผีกระสือ ให้แยงตาเล่น ถ้าใจกล้าพอจะหันไปบอกว่ากดทิ้งให้ไหมคะ? แต่ว่าไม่กล้า ก็เลยได้แต่ทำใจแล้วก็ตั้งใจจดจ่อกับหนังต่อ (สักพักมันก็หายไปเอง)

ยิ่งดูตอนจบหนังยิ่งตื่นเต้น กดดัน เครียด ก็เลยเจอผีกระตุก - -" ทุกครั้งที่มีฉากตกใจจะต้องมาถีบเก้าอี้ด้วย บางทีก็ผสมเสียงกรี๊ด (และผีสาวคู่รักก็ผสมโรงกรี๊ดมาด้วย) กลัวเสียงกับภาพในจอจะทำให้ฉันตกใจไม่พอหรือไง ต้องเพิ่ม effect เก้าอี้กระตุก กับ sound จากด้านหลังเพิ่มด้วย

อย่าคิดว่าความน่ากลัวมีเท่านี้ ความน่ากลัวที่สุดยอดคือ ถึงจุดไคล์แมกซ์ของเรื่อง คุณผีสาวคู่รักก็อาละวาดหนัก ได้ยินเสียงว่า "เครียดอ่ะ" มาเป็นระยะ บางทีก็ได้ยินคู่ของเธอตอบบ้าง แล้วมีฉากหนึ่งที่คนร้ายโผล่มา(โผล่แบบไม่ตกใจ เพราะถ้ามาแบบตกใจเธอจะกรี๊ด) เธอก็พากษ์เองซะงั้น "แฮ่~~" (หรือคำอื่นไม่รู้แต่ให้อารมณ์ประมาณนี้แหละ) ใจนึกก็ขำ ใจนึงก็เครียดเนื้อเรื่อง อีกใจนึงก็เครียดคุณเธอ อยากดูหนังเงียบๆ บ้างงงงงงงงงงงงงงงงงงง T_T ถ้าอยากคลายเครียดนักก็ไปดู Mummy เซ่ หรือกลับบ้านไปดูการ์ตูนก็ได้ รู้ว่ากลัวแล้วยังจะดู คุณแฟนหนุ่มก็พาเข้ามาดูได้ ทีหน้าทีหลังเช่าไปดูกันสองคนที่บ้านนะ

โวยวายพอให้หายเซ็ง อยากหันไปบอกให้เงียบๆ อยู่เหมือนกัน แต่ว่าได้ยินแต่เสียงลอยมาจากข้างหลัง เดี๋ยวบอกผิดคนไปจะซวย แถมหันหลังไปลำบากอีก แล้วถ้าหันไปจะรบกวนคนอื่นไหมเนี่ย ว่าแล้วก็เลยทนต่อไปจนจบเรื่อง

สรุปจนป่านนี้ยังไม่มีเรื่องเกี่ยวกับหนังเลยต่อไปจะเป็นเรื่องหนังโรคจิตเรื่องนี้แล้ว

ใครได้ดูตัวอย่างมาแล้วคงจะพอรู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร และตัวหนังเต็มๆ ก็ไม่ได้มีเนื้อเรื่องอะไรมากไปกว่านั้นหรอก เปิดเริ่องมาด้วยคำบรรยายว่า เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง ประมาณว่ามีคดีฆ่าโหดคดีหนึ่งพบชายหญิงตายอยู่ในบ้าน และไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ทำอย่างไร และเพื่ออะไร คุณคนเขียนบทก็เลยแต่งเองซะเลย(เหมือนหนัง spoil หนังตัวเองซะงั้น)

ช่วงแรกของหนังค่อนข้างน่าเบื่อ เป็นการปูพื้นว่าสองคนนี้เป็นใครมาอย่างไรถึงมาอยู่ที่บ้านนี้ได้ ซึ่งเหตุผลก็พื้นๆ (ไม่ต้องหาสาเหตุก็ได้นะ) สักพักหนึ่งก็เริ่มกระตุกต่อมเสียวเล็กน้อย (แต่ยังดำเนินเรื่องเนือยๆ อยู่) ก่อนจะกระชากอารมณ์ขึ้น แล้วหย่อนลงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พาลากขึ้นไปเรื่อยๆ แบบไม่ให้หายใจกันเลย จนจบ

หนังดีไม่ดี ดูไม่รู้ รู้แต่ว่าบีบหัวใจมากๆ เครียดมากๆ หนังที่เครียดแบบนี้เรื่องล่าสุดที่ดูคือ house of wax หนังไม่มีเหตุผล ดูเสร็จยังไม่รู้เลยว่ามันฆ่าทำไม หรือทำไมก่อนฆ่าต้องทำแบบนั้นด้วย หรือจะเป็นเหตุผลอย่างที่บอก "เพราะคุณอยู่บ้าน" ใครชอบหนังโรคจิตแนะนำให้ไปดู แต่ถ้าใครขวัญอ่อนอย่าเข้าไปดูเชียว เดี๋ยวจะเป็นเหมือนคุณผีสาวคู่รักคนนั้น

ข้างล่างนี้ออกจะ spoil เล็กๆ

  • ถึงหนังตอนแรกจะบอกว่ามาจากคดีจริง ซึ่งทำให้รู้เลยว่ายังไงก็ไม่รอด(ไม่งั้นจะเป็นคดีได้ไงล่ะ) แต่เรื่องก็ยังสนุกสนานเร้าใจอยู่ได้ ความจริงคือแอบลุ้นว่าศพที่พบจะเป็นผู้ร้าย(แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก)
  • แค่ตอนแรกที่มาเคาะประตูถามว่า .....(จำชื่อไม่ได้แล้ว)อยู่ไหม? หลายๆ รอบ ก็หลอนจะแย่แล้ว ยังไม่ต้องตามไล่ฆ่าหรอก
  • ตกลงว่าพวกนี้เขาเป็นผีหรือเป็นคนก็ไม่รู้ อยู่ๆ ก็เข้ามาให้บ้านคนอื่นได้เฉยเลย แถมวูบไปวูบมาเหมือนผีอีกด้วย
  • มีอยู่ตอนนึงพระเอกนางเอกกำลังซุ่มดักยิงหัวผู้ร้ายอยู่ในห้อง(เล็งปืนไปที่ประตู) เพื่อนพระเอกขับรถมา เห็นบ้านแปลกๆ รถพระเอกโดนทุบ แทนที่จะรีบแจ้งตำรวจ ดันเดินเข้าไปในบ้าน โดยหยิบขวานที่คนร้ายทิ้งไว้ติดมือไปด้วย เดินเข้าไปแบบเงียบๆ อีกต่างหาก(หรือส่งเสียงแล้วเพลงกลบก็ไม่รู้) และแล้วก็เป็นไปตามบท โดนยิงตายไปตามระเบียบ แล้วก็มีเสียงลอยมาว่า "ยิงเพื่อนตัวเองอ่ะ~~" (คาดว่าเป็นเสียงสาวคู่รัก)อยากจะหันไปบอกว่ารู้ว่ามันต้องโดยยิง ตั้งแต่มันหยิบขวานแล้วเฟ้ย
  • ตะเกียกตะกายไปมาสุดท้ายก็ไม่รอดอยู่ดี ตอนจบยังอุตส่าห์มีฉากให้ตกใจทิ้งท้ายอีกฉากหนึ่ง

สรุป ว่าหนังบีบหัวใจดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าวันนั้นตัดสินใจไปดู Lido แทน central world (รออีกครึ่งชั่วโมงเอง) เลือกโรงผิด คิดจนหนังจบ

เซ็ง

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Mummy III และยามเช้าที่มึนๆ

เมื่อวันเสาร์ไปดู Mummy มา

เริ่มจากวันศุกร์ น้องสาวก็ชวนว่าตอนเช้าไปวิ่งที่สวนลุมกัน พร้อมกับบอกให้ปลุกด้วย(ปกติคนชวนต้องเป็นคนปลุกไม่ใช่เหรอฟะ) ก็เลยตั้งโทรศัพท์ปลุกไว้ตอนตีห้าครึ่ง ตื่นมาฝนยังไม่หยุดตกเลย(เห็นตกตั้งแต่ก่อนนอน) ไปยืนตรงหน้าต่างอยู่นาน พิจารณาว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงฝนที่ตกอยู่ หรือเป็นฝนที่ค้างอยู่ตามหลังคาบ้าน แล้วก็ตัดสินใจได้ว่าเสียงมันสม่ำเสมอ และถี่ ดังนั้นฝนคงตกอยู่นั่นแหละ (ความจริงก็ผสมความง่วงด้วย) แล้วก็เลยกลับไปนอน พร้อมตั้งโทรศัทพ์ใหม่ให้ปลุกเพื่อไปดูหนัง

ความจริงตอนยืนพิจารณาอยู่แทบอยากไปปลุกให้น้องมาร่วมพิจารณาด้วย ให้ตูตื่นอยู่คนเดียวได้ไง นอนขาดตอน T_T แต่ก็สำเหนียกได้ว่าการปลุกมันจะเปลืองพลังงานมากกว่าเดิมอีก ก็เลยปลงแล้วไปนอนซะ

และแล้วก็ตื่นอีกรอบเพื่อไปดู Mummy รอบ 10:30 เอาฝาโค้ก 1 ฝา ลดได้ 10 บาทต่อที่นั่ง(วันพฤ.-อา. ลดได้สูงสุด 4 ฝา วันจ.-พ.ลดได้สูงสุด 2 ฝา) วันนี้ก็เลยได้ดูหนังในราคา 80 บาท จะหาอะไรกินสักหน่อยร้านรวงก็ยังไม่เปิด ก็เลยไปซื้อ popcorn กินในโรงแทน

มาว่ากันถึง mummy ดีกว่า หนังเรื่องนี้ได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่ดีนัก จะบอกว่าสนุกจังควรไปดูก็ไม่ใช่ แต่มันก็สนุกเท่าความคาดหมายล่ะนะ ยกเว้นเล่นมุขเยอะ จนจะกลายเป็นหนัง action comedy แล้ว

หนังค่อนข้างเหตุผลอ่อนไปบ้าง เช่น ไม่รู้ว่าแม่นางจะเฝ้าสุสานไปทำไมเป็นร้อยเป็นพันปี ถ้ามีมีดที่จิ้มแล้วตายอยู่ ทำไมไม่เอามีดจิ้มให้ตายไปซะเลย (หรือว่าต้องให้ฟื้นคืนชีพก่อนถึงจะจิ้มได้) หรือว่าอีตามัมมี่ฮ่องเต้ที่เก่งเวอร์ซะขนาดนั้น ทำไมดันสู้แพ้พระเอกได้ ความจริงก็ทุบเข้าให้หัวแบะ หรือว่าพ่นไฟให้ไหม้ตายไปแต่แรกก็จบแล้ว

และสงสัยว่ากองทัพฮ่องเต้ตายง่ายเหลือเกิน เคาะทีก็แตกแล้ว แต่ว่ากองทัพผีดิบใต้กำแพงเมืองจีนกลับฆ่าไม่ตาย เอาตัวมาต่อกันใหม่ได้ (สงสัยกลัวฝั่งพระเอกเสียเปรียบเกินไป) อีกเรื่องคือสงสัยว่าตอนแรกที่ขุดสุสานมันถูกฝังอยู่ใต้ทราย แต่พอเข้าไปเจอศพคุณนักสำรวจคนก่อนหน้าซะงั้น สงสัยพี่แกจะมีวิชาดำดิน หรือไม่ก็ใช้ประตูวิเศษของโดเรม่อนเปิดเข้าไป หรือความจริงมันมีปุ่มลับที่พอกดแล้วทรายมันจะหายไป แต่อเล็กซ์ดันใช้วิธีถึกไปขุดมันเอง(ไม่ใช่ Indiana Jones นะเฟ้ย)

สรุป หนังสนุกดีไม่น่าเบื่อ แต่ถ้าหวังสูงไปจะตกลงมาเจ็บได้นะ ถ้าไม่ได้ดูภาคก่อนๆมา อาจจะตามบางมุขไม่ทัน หรือไม่ได้อารมณ์ขำเท่าที่ควร (แต่ก็พอถูไถเดาๆ ไปได้) พอจะดูฆ่าเวลาได้โดยที่ทุกคนไม่บ่นอุบอิบหลังออกจากโรงล่ะนะ

หลังดูเสร็จเราก็ไปกินข้าว แล้วเดินลงมาฝากเงิน ไปกดตังค์ออกมาก่อนนับๆ แล้วก็กดออกมา 13000 เสร็จแล้วก็ไปเขียนใบฝาก ดันเขียนผิดซะนี่ ติ๊กช่องชนิดบัญชีผิด เลยต้องเขียนใบใหม่(ทำให้โลกร้อน - -" ) หลังจากนั้น ก็เลยเอาไปฝาก จะฝาก 3 บัญชี 5000, 5000, 3000 พอยื่นไปปั๊บ พนักงานนับแล้วบอกว่า ฝาก 15000 แต่นี่ให้มา 13000 เอง เอ๊ะ! ยังไง พอมองลงไปถึงรู้ ตูเขียนตัวหนังสือ สามพันบาท แต่ดันเขียนเลข 5000 เป็นความก๊ง ครั้งที่ 2 ต้องเอามาแก้ไขใหม่ ตอนรอเขา key อยู่ก็คิดๆ เอ๊ะ เมื่อกี๊เรากะฝากเงิน แล้วต้องถอนไปให้ป่าป๊าอีก 3000 นี่นา เมื่อกี๊บวกไว้แล้ว แล้วทำไมมันดันฝากไปหมดเลยล่ะ ก็เลยลองบวกใหม่ มันต้องได้ 16000 นี่หว่า ไม่ใช่ว่าเมื่อกี๊ลืมบวกด้วย ก็คิดไว้ก่อนแล้วนะว่าต้องถอนไปทำอะไรบ้าง รวมวันนั้นก๊งไป 3 รอบ

แล้วหลังจากนั้นก็หนีไปดู the strangers มา(ต้องมี s ด้วยเพราะมีหลายคน) ไว้ต่อ entry หน้าแล้วกัน