วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2551

หนังที่ดูไป

วันนี้เป็นบ้า up 3 entries เลย

ช่วงเดือนที่หายไปไม่ใช่ว่าไม่ได้ดูหนัง แต่ขี้เกียจมา up ดังนั้น entry นี้จึงอยาก list หนังที่ดูช่วงนั้นออกมา

จะได้จำได้ว่าดูอะไรไปบ้าง อยากจะรู้ว่าปีหนึ่งๆ ดูหนังไปกี่เรื่อง ไม่รู้จดไว้ไหนก็เอาไว้ใน space นี่แหละ หุหุ

  1. Body of Lies - เรื่องนี้ไม่ใช่แนวเลยน่ะ เลยไม่รู้สึกสนุกเท่าไหร่ ไม่บู๊ ออกจะเครียดๆ ถึงจะไม่ใช่สงคราม แต่ก็มีการซ่องสุมกำลัง เหยียดผิว ไม่ชอบดูหนังที่แบบนี้เลย ให้ความรู้สึกว่าจะสู้กันไปทำไมนะ ถ้าเป็นการสู้กันที่เวอร์ๆ จะไม่เป็นไรเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง (ออกแนวหนีความจริง)
  2. Eagle Eye - เรื่องนี้สนุกดี ตื่นเต้น น่าติดตาม ถ้าดูเอาความสนุก แนะนำเรื่องนี้มากกว่า Body of Lies ถึงแม้จะมีบางคนบอกว่ามันไม่ดีก็เหอะ แต่มันทำให้เราใจจดจ่อยู่จนจบได้โดยไม่ดูนาฬิกาก็นับว่าสนุกแล้วล่ะ
  3. My Best Friend Girl - เรื่องนี้ฉายแต่ที่ SF เป็นหนังน่ารักๆ ดูสบายๆ แต่ดูแล้วสงสารพระรองมากๆ เป็นคนดีที่ถูกทิ้ง(แต่สุดท้ายก็มีคู่กับเขาล่ะนะ ดีใจด้วยๆ)
  4. Mamma Mia - หนังเพลงแสนสนุกสนาน เพลงเพราะมากๆ รู้สึกว่าท่าเต้นมันแปลกๆ แต่น้องสาวบอกไม่เห็นแปลก(ไม่รู้ รู้สึกมันไม่อลังการณ์แบบตอนดูหนัง Disney)
  5. You Don't Mess with the Zohan - ดูตัวอย่างนึกว่าจะไม่ใช่หนังตลกอย่างเดียว สรุปถึงจะมีข้อคิดเล็กๆ แต่มันก็ตลกอย่างเดียว ทำให้รู้ว่าตัวเองก็ยังไม่ชอบหนังตลกอยู่ดี (ขำบางมุข แปลว่าเริ่มดูได้เล็กน้อย ปกติดูหนังตลกจะออกมาเครียด)
  6. Made of Honor - หนังน่ารักๆ อีกเรื่องหนึ่ง พระเอกสุดแสน perfect (แต่เจ้าชู้) พอรู้ว่าตัวเองหลงรักเพื่อนสนิท เธอกลับจะไปแต่งงานกับอีกคน(แถมคนนั้นยังดูจะดีกว่าเขาทุกด้าน) สุดท้ายก็ happy ending ตามระเบียบ ดูแล้วรู้สึกว่า ถ้ามีคนที่อยู่ด้วยกันอย่างสนิทใจแบบนี้บ้างก็คงดีนะ
  7. The Death of Ian Stone - ตัวอย่างหนังดูน่ากลัว แต่ไปดูจริงออกจะเป็นแนวสืบหาความจริง + สัตว์ประหลาด มากกว่าผี ดูได้ชิวๆ ไม่น่าเบื่อ แต่ก็ไม่ได้ประทับใจมากมาย

หมดแล้วมั้ง ไม่รู้ลืมอะไรหรือเปล่า (แต่นี่ก็ปาเข้าไป 7 เรื่องแล้วนะ)

Max Payne : ผีไวกิงส์

หลังจากดู Amusement แล้วก็ดูนี่อีกเรื่อง แล้วตอนเย็นก็ไปกินสปาเก็ตตี้แบบญี่ปุ่นที่ชั้น 1 MBK มา(อยู่ฝั่งโรงแรม) ราคาค่อนข้างแพงเลย แต่ก็แปลกดี กินครีมซอสวาซาบิเข้าไป ในเมนูเขียนไว้ประมาณว่า "ถ้าถามว่าครีมซอสวาซาบิเป็นอย่างไรคงยากจะอธิบาย ให้ลองกินดูเอง" (- -") ง่ายดีนะ เราก็เลยใจง่ายสั่งมากิน สรุปว่ามันก็คล้ายๆ ครีมซอสปกติ แต่มีกลิ่นวาซาบินิดๆ ใครชอบกินวาซาบิ+ครีมซอสก็น่าจะชอบเพราะมันหอมๆ ดี แต่กินมากๆ แล้วพอชินกับกลิ่นมัน ก็รู้สึกถึงความเผ็ดแบบแปลกๆ เหมือนกัน กินบ่อยๆ คงไม่ work

มาเข้าเรื่อง Max Payne กันดีกว่า

เรื่องย่อ :

Max ตำรวจหนุ่มผู้ไม่แคร์ชาวบ้านเนื่องจากลูกเมียถูกฆ่า แล้วจับผู้ร้ายไม่ได้ เขาย้ายตัวเองไปแผนกจัดการคดีเก่าและพยายามสืบคดีต่อไปด้วยตนเอง แต่ยิ่งขุดลึก ยิ่งมีคนตายมากขึ้น และสาเหตุของเรื่องนี้มันใหญ่กว่าที่เขาคาดไว้มากนัก รอยสักรูปปีกคืออะไร ทำไมหลายๆ คนถึงมีรอยสึกรูปนี้?

ต่อจากนี้ spoil (เยอะๆ) เลยนะ

ความเห็น :

เป็นหนังยิงกันธรรมดา เนื้อเรื่องธรรมดา ดูเอามันส์ได้ ไม่น่าเบื่อ ตอนแรกเหมือนจะมีสัตว์ประหลาดเป็นปีกซาตานออกมาไล่ฆ่าคน แล้วก็มีคนบอกว่าพระเอกพยายามหาสิ่งที่พระเจ้าซ่อนไว้ นึกว่าจะมีสัตว์ประหลาด แต่สรุปเป็นยาเสพติด (แป่ว) ไอ้ตัวนั้นมันก็แค่ภาพหลอน ส่วนคนที่ตายก็ถูกคนอื่นฆ่านั่นแหละ แล้วมาบอกว่าไม่รู้อาวุธที่ใช้ฆ่า ที่รู้สึกว่าจบไม่ดีคือ เหมือนตัวร้ายจะตายหมด ยกเว้นประธานบริษัท และดูพระเอกก็จะพอใจแค่ฆ่าคนที่มาฆ่าลูกเมีย ไม่สนใจเหตุผล ไม่สนคนบงการ จบแล้วรู้สึกว่า อ้าว! อีนี่ล่ะ ลอยนวลไปเหรอ??

และตอนจบถ้าพระเอกตายไปเลยอาจจะรู้สึกดีกว่านี้ หรือเพราะว่ามันทำจากเกม หรือไม่คงกะว่าจะทำภาค 2 สงสัยว่าพระเอกจะเป็นไง เป็นตำรวจแต่เล่นทำอะไรตามใจตัวเอง บุกเข้าตึกฆ่ารปภ.เป็นว่าเล่น (ในพวกนั้นอาจจะมีคนที่ไม่รู้เรื่องยาก็ได้นะ T-T) ต้องโดนปลดแล้วขังลืมไปเลย

เกี่ยวอะไรกับไวกิงส์น่ะเหรอ รอยสักรูปปีกที่เห็นอยู่ในเรื่องเกี่ยวกับไวกิงส์ ประมาณว่าเป็นสัญลักษณ์ในการคุ้มครอง และยาเสพติดนั่นก็ประมาณว่าดื่มแล้วให้เหมือนพวกไวกิงส์ คือ คิดว่าพระเจ้าอยู่ข้างตัวเอง ตัวเองมีพลังมาก และไม่กลัวตาย เพราะถ้าตายในการรบจะได้ไปสวรรค์ ตอนแรกยานี่ทำมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ทหารนั่นเอง กินยาแล้วจะเห็นตัวปีกหน้าตาเหมือนปีศาจนั่น เป็นเทพเจ้าของไวกิงส์ ไม่ก็ตัวแทนเทพเจ้านี่แหละ

พอดูจนจบเรื่องแล้วค้นพบอะไรบางอย่าง

  1. ถ้าเมายาตัวนี้ ให้ลองระเบิดตึกดู แล้วสติเขาจะคืนมา - พระเอกกินยาเข้าไป แล้วกำลังโดนหลอนอย่างหนัก พอผู้ร้ายระเบิดตึก บึ้ม!! จากแรงกระแทกช่วยให้พระเอกคืนสติไปไล่ตามซะงั้น
  2. พระเอกตายไปแล้ว!!! ที่โผล่มาเป็นร่างวิญญาณเท่านั้น สังเกตได้จากไม่ว่าใครจะยิ่งปีนกลใส่ หรืออะไรก็ไม่โดนพี่แกเลย สังเกตได้จากตอนมีกองทัพพบปืนกลมาระดมยิงใส่ พระเอกก็คลานไปเอาซอง แล้วก็วิ่ง 400 เมตรไปที่ประตูหนีไฟ โดยไม่โดนกระสุน(สงสัยกระสุนทั้งหมดจะทะลุผ่านร่างไปได้) อ้อ! เห็นโดนนัดนึงที่ไหล่ แต่หลังจากนั้นก็ยังใช้แขนข้างนั้นยิงปืนได้เป็นปกติเหมือนไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ
  3. เหตุผลที่อาจจะหักล้างกับข้อ 2 คือ พนักงานคนอื่นก็ไม่ค่อยจะโดนกระสุนเหมือนกัน จึงเป็นไปได้ว่า ผู้ร้ายใช้กระสุนพิเศษผสมกับกระสุนจริงในอัตรา 100:1 และกระสุนพลาสติกจะมีอำนาจการทำลายโต๊ะ ตู้ แต่ไม่ทำลายเนื้อคน
  4. แต่มีเหตุผลสนับสนุนข้อ 2 คือ พระเอกใช้กระสุนพลังวิญญาณ!!! เพราะกระสุนไม่หมดสักที่ แล้วยิงไปก็เข้าเป้าหมด ตอนวิ่งหนี(ฉากเดียวกับข้อ 2) พี่แกฝ่าดงกระสุนปีนกล แล้วเอาปืนพกยิงผู้รายตายเป็นใบไม้ร่วง อาจจะปกติของหนัง แต่ท่ายิงแกคือ เอามือซ้ายถือปืน แล้วพาดผ่านตา(เหมือนเอาแขนกันอะไรเข้าตา) แล้วยิงไปทางขวาของตัวเอง หัวหันไปด้านหน้าด้วย ใช่แล้วพี่น้อง พี่แกยิงแบบไม่มองเป้า แต่โดน ส่วนทหารหลายสิบคนที่มีปืนกล ระดมยิงไม่โดนเลย นอกจากปิดตายิงแล้ว พี่แกยังมีท่าเท่ห์ เอนตัวไปข้างหลังแล้วยิง(ท่านี้ค่อนข้องฮิตในหนังหลายเรื่อง) มีคนยิงจากด้านหลัง ก็เลยหลบกระสุนด้วยการล้มตัวลงไปด้านหลัง(มีตาหลังอีกต่างหากรู้ว่าเขาเล็งอยู่) แล้วก็ยิงปืนย้อนกลับไป ทีเดียวตาย ไอ้ผู้ร้ายที่เล็งอยู่ก่อน ยิงหลายนัดดันไม่โดน แถมไม่หลบกระสุนด้วย หรือปืนของพระเอกเป็นญาติกับไซโคกัน
  5. อีกสมมติฐาน ความจริงพระเอกมีความสามารถพิเศษ บังคับกระสุนได้ ทำให้เบี่ยงกระสุนที่จะมาโดนตัวได้ และบังคับแล้วกระสุนเลี้ยวไปโดนเป้าหมายได้
  6. หรือไม่พระเอกก็ไปเก็บ item เกราะเจ๋งๆ กับปืนกระสุนติดตามตัวมาได้
  7. เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้วพอเหอะ

แต่ตอนดูอยู่นี่คิดข้อ 1, 2, 4 ขึ้นมาจริงๆ นะ นอกนั้นคิดได้ตอนพิมพ์นี่แหละ

Amusement : ความเพลิดเพลิน??

อยากดูมาตั้งแต่เห็นตัวอย่างหนังแล้ว ความจริงอยากดูเพราะป้ายที่มันตั้งอยู่ตามโรงหนัง(มันเรียกว่าอะไรนะ ใช่ cut-out หรือเปล่า) มันแบบมีลวดขึงๆ ดูแปลกตามากๆ พอวันพุธที่ 22 ก็คิดว่า พรุ่งนี้ต้องไปดูให้ได้ก่อนที่มันจะออก(วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม หยุดวันปิยมหาราช) แล้วก็ลองเปิดรอบวันรุ่งขึ้นดู ก็เกิดอาการเศร้าขึ้น เพราะเหมือนกับว่าหนังจะโดนปืนใหญ่จอมสลัดเบียดออกไป ก็เลยตั้งความหวังไว้ว่าบางโรงที่ยังไม่ update รอบหนังของวันรุ่งขึ้นจะมีเรื่องนี้

มาตอนเช้าก็พบว่าที่ paragon มีรอบ 13:30 เพียงรอบเดียวในวันนี้(ไม่ใช่โรงแพงมากด้วย ขอบคุณพระเจ้า) ตอนสายๆ เกือบเที่ยง ก็ออกไปกินซิสเลอร์กับที่บ้านแล้วก็ดิ่งไปดูหนังทันที

มาถึงเรื่องหนังกันก่อน Amusement เปิดตามพจนานุกรมแล้วแปลได้ว่า ความขบขัน ความเพลิดเพลิน ความสนุกสนาน แต่! เดี๋ยวก่อน! อย่าตัดสินประเภทของหนังจากชื่อเรื่อง เพราะเรื่องนี้เป็นหนังผีนะจ๊ะ

จะบอกว่าหนังผีก็คงไม่ใช่ 100% เพราะเป็นหนังฆาตรกรโรคจิต(ก็ไม่ใช่ผีนี่นา) แต่ถ้าจัดประเภทหนังก็เป็น horror แน่ๆ ไม่ใช่ thriller แล้วมันเกี่ยวอะไรกับความขบขันล่ะ?? เพราะเรื่องนี้เป็นหนังผีตลกแบบบ้านผีปอบ?? คงไม่มีใครคิดหนังผีตลกได้นอกจากประเทศไทยแล้วมั้ง หรือว่าเรื่องนี้ตั้งใจให้คนดูที่โรคจิตพบกับความเพลิดเพลินในการไล่ฆ่าคน?? =,= ชักไปกันใหญ่แล้ว ถ้าใครได้ดูตัวอย่างหนังคงจะเห็นโฆษณาประมาณว่า ความกลัวของเหยื่อคือความเพลิดเพลินของเขา พร้อมเสียงหัวเราะแหลมสูงตามมา หุหุ เริ่มน่ากลัวแล้วไหมล่ะ

เรื่องย่อ(spoil หน่อยๆ) :

เรื่องเปิดที่การแนะนำสาว 3 คนที่ดูจะเป็นสาวสวย และเป็นที่ชื่นชอบ พร้อมกับเด็กชายคนหนึ่งที่มีอาการทางจิต และทั้ง 3 คนก็ต้องประสบกับความโรคจิตไม่แพ้กัน สาวคนแรก ผู้ขับรถไปกับแฟนบนทางหลวง และออกนอกเส้นทางไปเพื่อหนีรถติด และทำให้ไปเจอฆาตรกรโรคจิตเข้า สาวคนที่สองมาช่วยเลี้ยงหลาน แต่ในห้องนอนแขกมีตุ๊กตาตัวตลกหลอนๆ เต็มไปหมด อีกทั้งมีชายท่าทางแปลกๆ ก็มาตามหาพี่เลี้ยงเด็กที่กลับบ้านไปแล้วอีก สาวคนสุดท้ายพยายามตามหาเพื่อนที่หายไปในโรงแรมเก่าๆ แห่งหนึ่ง แต่เธอคงไม่คาดคิดว่าจะเจออะไรเช่นนี้ สุดท้าย ทั้ง 3 คนจะเป็นอย่างไร และทั้ง 3 เรื่องมีความเกี่ยวพันกันหรือไม่ ต้องไปหามาดู!!! หรือไม่ก็อ่าน spoil ข้างล่างนะจ๊ะ

ความเห็น :

หนังตื่นเต้นและน่ากลัวดี แต่ด้วยความที่แบ่งเป็น 3 part ซึ่งในความรู้สึกเราทำให้ความกดดันไม่ต่อเนื่องเพราะเหมือนเรื่องมันจบไปแล้ว ฉากแหวะๆ ก็มีบ้างตามประสาหนังประเภทนี้ แต่ไม่ถึงกับค่อยก็กรีดหน้า หรือตัดแขนออกแบบที่บางเรื่องทำ อื่นๆ ก็เหมือนหนังผีเรื่องอื่น คือ วางโครงเรื่องไว้หลวมๆ แล้วก็ทำให้หลอนแล้วก็ทำให้ตกใจ สุดท้ายก็ต้องวิ่งหนีฆาตรกรให้พ้น ซึ่งมันก็มีจะจุดที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง สุดท้าย หนังเรื่องนี้ดูแล้วปวดหัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเนื้อเรื่องหรือวิธีตัดต่อภาพ หนังผีบางเรื่องดูแล้วหลอน บางเรื่องดูแล้วกดดันมากกว่านี้ แต่ไม่ปวดหัว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดูแล้วกดดันและปวดหัว(เรื่องหนึ่งที่ดูแล้วปวดหัวคือ The Omen)

ความเห็นเกี่ยวกับเนื่องเรื่อง(spoil นะจ๊ะ) :

เรื่องแรกดูจบแล้วก็ยังงงๆ มีการหักมุมเล็กน้อย ว่าคนที่ดูจะเป็นคนร้ายน่ะไม่ใช่คนร้าย(ตามประสาหนังแนวนี้) แต่ก็ยังงงว่าคนร้ายตัวจริงที่หลอกให้ออกนอกเส้นทางตั้งใจจะทำอะไร เพราะในขบวนที่ร่วมทางกันมีคนอื่นอยู่ด้วย @_@ อ่านแล้วอาจจะงง อาจจะต้องดูถึงจะเข้าใจ

เรื่องที่สองนี่รู้สึกว่านางเอกใจแข็งมากๆ ถ้าเห็นตุ๊กตาหน้าหลอนแบบนั้นเต็มห้อง คงย้ายไปนอนโซฟารับแขกจะดีกว่า ในห้องในมีตุ๊กตาตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่งบนเก้าอี้โยก ซึ่งความจริงก็เป็นคนร้ายปลอมมานั่งนี่เอง สงสัยว่าเราจะไม่เห็นการหายใจเลยหรือไง และมีตอนที่เธอไปหยิบรีโมทบนตักตุ๊กตาทำให้เก้าอี้โยก มันไม่มีความรู้สึกว่าหนักกว่าปกติเลยหรือไงนะ

เรื่องสุดท้ายดูแล้วรู้สึกยัยนี่บ้าหรือเปล่า บ้านนั้นเหมือนบ้านผีสิงมากๆ ตอนแรกส่งแฟนตัวเองเข้าไป แล้วเขาหายไป แทนที่จะไปแจ้งตำรวจหรืออะไรดัน แอบเข้าไปซะงั้น - -"

สุดท้ายก็ได้รู้ว่า 3 คนนี้เคยเป็นเพื่อนกันตอนเด็กแล้วก็เป็นเพื่อนกับคนโรคจิตด้วย ซึ่งเขาก็ตามมาแก้แค้นเธอสามคนเพราะเคยโดนหัวเราะเยาะ แล้ว 3 คนนั้นก็ไม่ขำกับมุขโรคจิตของเขา มีเอาผู้หญิงสองคนแหวะท้องแล้วขึงเปิดท้องไว้ ก็สงสัยอยู่ว่าไม่ตายเหรอ แต่ปรากฎมันแค่เอาของปลอมมาแปะท้องเฉยๆ (ตอนดูรู้สึกว่าเอางี้เลยนะ) นางเอกช่วยเพื่อนออกมาได้ด้วยการทำเป็นหัวเราะไปกับความโรคจิต เหมือนกับที่เขาหัวเราะตลอด แต่ตอนวิ่งนี้เพื่อนสองคนตายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้คิดว่าจะช่วยมาทำไมเนี่ย (คนนึงตายหลังจะหลุดจากที่ขึงไม่ถึงนาที) แล้วผู้ร้ายก็ตกจากที่สูงไปพร้อมกับเพื่อนอีกคน เพื่อนตาย แต่ผู้ร้ายไม่ตาย(ตามประสาหนังอีกแล้ว) ซึ่งก็มาวิ่งไล่กันอีกแป๊บนึงแล้วนางเอกก็จิ้มสมองผู้ร้ายตายไป(สงสัยตายเพราะเวลาหมด)

สรุป : ดูเพลินๆ ดี ตอนออกมามีคนคุยกันว่า หนังฆาตรกรโรคจิตน่ากลัวกว่าหนังผีอีกเนอะ ---- เห็นด้วยค่า++

ปล. เจอสาว 2 คนข้างๆ คุยกันเหมือนดูหนังอยู่ที่บ้านอีกแล้ว แต่คราวนี้ไม่รำคาญมากเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไม

ปปล. ที่บอกว่าเหมือนอยู่บ้านเพราะคุณเธอคุยเรื่องหุ่นของนางเอก ว่าหุ่นดีหรืออ้วนหรือผอม!!! O_o ดูหนังผีอยู่นะน้องนะ

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Book Expo #13

หายไปนาน บังเอิญเป็นช่วงจิตตก เลยไปหาอย่างอื่นทำแก้เครียดแทน พอหลังจากนั้นมาอีกก็ขี้เกียจ(หุหุ) ความจริงมี space ที่เขียนทิ้งไว้ครึ่งๆกลางๆ ด้วย เหมือนจะต่อไม่ติดแล้ว ไม่ได้เป็นอารมณ์ตอนนั้น
แต่ว่าวันนี้เป็นวาระพิเศษนั่นก็คือ งานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 13 ใครสนใจจะไปก็ 11-23 ตุลาคม 2551 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์นะจ๊ะ
คราวนี้ไปถึงก็แวะนานมีบุคส์ก่อนเลย เนื่องด้วยคราวที่แล้วกว่าจะไปถึงผู้คนก็มากมายจนเบียดเข้าไปดูหนังสือไม่ได้ ก่อนหน้านี้มี e-mail ส่งมาบอกว่าให้ไปรับบัตรลด 30% ได้โดยไปแจ้งชื่อและ e-mail (เฉพาะคนที่มี mail ส่งมาให้เท่านั้น) ก็สงสัยอยู่ว่าเราไปเป็นสมาชิกกับนานมีตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็คาดว่าคงจะเพราะสั่งจองแฮร์รี่น่ะแหละ ไปถึงก็ได้บัตรลดมา 30%

ขอย้อนกลับไปเมื่อเดือนที่แล้ว มีงานหนังสือที่ Double A book Tower ลด 30% ทั้งตึก ก็เลยดี๊ด๊าไปซื้อการ์ตูนมาเยอะแยะ ซึ่งปกติงานหนังสือนานมีจะลดแค่ 20% ก็เลยตัดสินใจซื้อหนังสือชุดมนตร์น้ำหมึกมาชุดหนึ่งด้วยความงกที่มันลดมากกว่างานหนังสือ แต่ว่ายังไม่ได้ซื้อชุดอยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย(ที่อยากได้มานานแล้ว) ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากรอมัน pack เป็นชุดขาย เผื่อจะมีกล่องใส่สวยหรู

กลับมาที่งานวันนี้ ตอนที่บอกว่าได้บัตร 30% ก็คิดว่า โอ๊ะ! ลดเท่ากับตอนนั้นเลยอย่างนี้ชุดอยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้ายก็ซื้อได้ราคาถูกสินะ ลัลลา~ แต่ยังสงสัยว่าบัตรมันจะใช้ได้กับเล่มเดียวหรือเปล่านะ? ซึ่งเปิดเข้าไปใน web นานมีพบว่าถ้าสั่งทั้งชุด(13 เล่ม)ทาง web จะได้ลด 30% ก็เลยคิดกันกับน้องว่าถ้าในงานใช้บัตรลด 30% ได้แค่เล่มเดียว หรือมีเงื่อนไขอื่นๆ ก็จะมาสั่งทาง web แทน แต่ว่าพอเดินดูที่บูทแล้วแทบกรี๊ด ถ้าซื้อครบชุดลด 40% เหลือ 999 แถมอัตชีวประวัติไม่ธรรมดาของคนเขียนอีกเล่ม (โล่งใจมากที่ไม่ได้ซื้อไปก่อน) แต่ในความโล่งใจก็รีบกวาดตาดูอย่างหวาดๆ แล้วมนตร์น้ำหมึกล่ะ ลดเท่าไหร่ >.< และแล้วก็โล่งใจ ลด 29% (อาจจะสงสัยว่าทำไมต้อง 29 ด้วย ไม่รู้เหมือนกันก็นานมีเขาวงเล็บไว้ว่าอย่างนั้นน่ะ คาดว่าคงจะทำให้เลขลงตัวกว่าลด 30%)
สรุปแล้วก็ได้หนังสือมาแล้ว 14 เล่ม เงินลอยออกไป 999 บาท เลขสวยเป็นอย่างมาก แล้วก็บัตร 30% เลยไม่ได้ใช้ ใครอยากซื้อหนังสือนานมีมาขอไปได้นะคะ แต่สำหรับใช้ในงานหนังสือเท่านั้นนะ
แล้วก็ไปนายอินทร์พยายามเลือกหนังสือที่อยากอ่านที่สุดออกมาจากหนังสือมากมายในบูท ก็ได้มา 5 เล่ม แล้วก็เลี้ยวกลับไปที่ pearl ไม่รู้ pearl ใช้ยาอะไรมามอมหรือเปล่า ใครช่วยไปตรวจสอบที T^T เพราะโดนน้องคนขายปลดทรัพย์ไป 2,779 น้องแกยังจะหลอกล่อให้ซื้อครบ 4 พันอีก ดีนะไม่หลวมตัว ปีนี้ก็เลยได้กระเป๋าจาก pearl มาอีก 1 ใบ
พอซื้อหนังสือหลักๆ ครบ ก็เอาไปฝากไว้แล้วก็เริ่มเดินเที่ยวงาน ไปได้การ์ตูนมาอีก 1 ตั้งกับหนังสือ 3 เล่มร้อย นอกนั้นเดินๆ แล้วเหมือนกับกระเป๋ามันเบาๆ พาลอยออกจากบูทไป
ออกจากบ้าน 9:30 งานเริ่มประมาณ 10:00 เดินเสร็จบ่าย 3 พอดี ตอนแรกคิดว่าจะไปกินข้าวที่อื่นต่อ แต่พอคิดถึงน้ำหนักของหนังสือแล้ว ก็เลยแว่บเข้า black canyon ในศูนย์ฯ กินเสร็จแล้วก็จรลีกลับบ้าน
พอเอาหนังสือมาแผ่ สภาพก็เป็นแบบนี้

 
ที่เห็นถุงๆ อยู่ข้างหนังนั่นมีใบซ้ายสุด(สีส้ม)ใบเดียวที่ได้มา ใบอื่นเป็นใบที่พกไปเพื่อลดการใช้ถุงพลาสติก ลดโลกร้อน
ที่งานมีติดโฆษณาไว้ด้วยว่าถุงใบเดียวเที่ยวทั่วงาน(คือให้ใช้ถุงผ้านั่นแหละ) แต่หนูใช้ถุงใบเดียวไม่พอนะคะ~~~~
ถ้าใครดูภาพข้างบานแล้วยังไม่รู้สึกว่ามันเยอะแยะมากมายเลื่อนลงมาด้านล่างนี่เลย
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เอาหนังสือมาตั้งเรียงกันดู ตอนแรกจะเอาการ์ตูนไปซ้อนด้วย แต่กลัวมันถล่มลงมา เห็นมันสูงเลยลองวัดดูได้ดังภาพ

สามเล่มข้างบนสุดนั่นคือที่ไปซื้อมาตอนงาน double A แต่ก็นับเป็นงบของเดือนตุลานี้ด้วย
ถ้านับรวม 3 เล่มนั้นด้วย เฉพาะหนังสือได้ 36 เล่ม 5,547 บาท
ถ้ารวมการ์ตูนก็เป็น 56 เล่ม 6,177 บาท
มองหนังสือแล้วก็มีความสุข แต่พอมองกระเป๋าเงินแล้วก็เศร้า
 
"ในความสุขย่อมมีความทุกข์อยู่เสมอ"

                                 ยู้, เด็กน้อยธรรมดาคนหนึ่ง