วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2551

Step Up 2 & Water Horse ก็ดีแต่ไม่ประทับใจ


สองเรื่องนี้ไม่ได้ไปดูพร้อมกันหรอกนะ ไปดูคนละสัปดาห์ แต่ไหนๆ เขียนถึงแล้วก็เขียนพร้อมกันเลยแล้วกัน


คงจะ spoil นิดๆ อ่ะนะคะ ถ้าไม่คิดอะไรมากก็อ่านได้ เพราะไม่ถึงกับเฉลยเรื่อง


Step Up 2 : The Street


ใครที่รัก Step Up 1 แล้วหวังว่าจะได้อารมณ์แบบนั้นอีก ก็คงบอกว่าไม่ใช่แนวนั้น แต่ถ้าชื่นชอบการเต้นของ Step up หรือใครที่คิดว่าภาค 1 ดำเนินเรื่องเนือยเกินไป คงจะชอบภาค 2 แน่ๆ


ในขณะที่ภาค 1 เป็นแนวน่ารักๆ นำเสนอเรื่องที่ว่าเด็กมีปัญหาเมื่อพบกับสิ่งที่ชอบก็สามารถกลับตัวมาเข้าเรียนโรงเรียนอย่างจริงจังได้ การเต้นออกจะเป็นแนวสวยงาม

เป็นแนวบัลเล่ต์ ผสม hip hop เป็นหนังแนว คุณธรรม ความรัก ความกล้าแสดงออก อย่างแท้จริง เป็นหนังเด็กดีตามแบบฉบับของ Disney


แต่มาถึงภาค 2 เรื่องออกจะแรงขึ้น นางเอกมีปัญหาทั้งทางบ้านและกับเพื่อน ผู้ปกครองของเธอก็ไม่เข้าใจ ไปเข้าโรงเรียนก็ยิ่งแย่ เพราะว่าการเต้นที่โรงเรียนไม่ใช่แนวของเธอ

โรงเรียนที่มีผู้อำนวยการแสนดีตอนภาค 1 กลับกลายเป็นพวกโรงเรียนไฮโซที่ไม่ยอมรับการเต้นที่แตกต่างออกไป การเต้นในเรื่องก็แรงขึ้นมันขึ้น

 กลายเป็นว่านักเรียนก็รวมตัวกันแหกกฏซะงั้น

ถึงอย่างไรสุดท้ายทุกคนก็เข้าใจกัน (จบตามแบบฉบับหนังเด็กดี)


ฟังดูก็น่าจะสนุดขึ้นเหรอ?? บอกแล้วว่าดีแต่ไม่ประทับใจ แปลว่าไม่ใช่ทาง เราชอบหนังแนวน่ารักๆ ดูแล้วอมยิ้มไปมากกว่าอ่ะนะ

The Water horse Legend of the Deep


หนังที่ดู poster แล้วออกจะเหมือน ไดโนเสาร์ของโนบิตะ ที่เพิ่งเข้าฉายไป


ถามว่าหนังดีมั้ย ดีมากเลยค่ะ ให้ข้อคิด ดำเนินเรื่องได้ไม่น่าเบื่อ มีทั้งขำ ทั้งเศร้า ทั้งลุ้น

แต่ทำไมไม่ประทับใจอ่ะเหรอ เพราะความชอบส่วนตัว(อีกแล้ว)ไม่ชอบหนังสงครามค่ะ


แล้วเจ้าม้าน้ำเนี่ย มันเกี่ยวอะไรกับสงครามล่ะ?

เนื้อเรื่องดำเนินไปโดยมีฉากหลังเป็นสมัยสงครามโลก (ครั้งที่ 1 หรือ 2 ก็จำไม่ได้แล้ว) แต่ไม่ใช่แนวหน้าของการรบนะคะ เป็นบรรยากาศบรรดาลูกเมียที่รอคอยการกลับมาของพ่อหรือสามี


หนุ่มน้อยของเรื่อง เป็นเด็กชายคนหนึ่งซึ่งรอคอยการกลับมาของพ่อ (ซึ่งไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว) เขาค่อนข้างจะเป็นเด็กที่ซึมเศร้า จนกระทั่งได้เจอครูโซ

ครูโซ เจ้าม้าน้ำของเรานี่เอง เขาว่ากันว่าเจ้า water horse นี้เป็นสัตว์ในตำนานซึ่งจะวางไข่ก่อนตาย ดังนั้นมันจึงมีตัวเดียวในโลก และลูก water horse ก็กำพร้าเสมอ


เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นช่วยให้เกิดความเข้าใจระหว่างครอบครัว มอบความกล้าหาญให้แก่เด็กชาย และสอนพวกเราว่าสงคราม เป็นสิ่งโหดร้ายเพียงไร


สรุปว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ชอบสงครามอ่ะดูแล้วหดหู่ T_T ทั้งๆ ที่เจ้าหนูครูโซก็น่ารักดี

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551

Escape


 
T_T หลายรอบแล้วนะเจ้า ESC ทำไมโปรแกรมทั้งหลายถึงชอบตั้ง ESC เป็นปุ่ม reset หรือ exit นะ
 
ชอบพิมพ์ข้อมูลอยู่แล้วจะกดเปลี่ยนภาษา(ที่ปุ่ม ~ ) แล้วดันกดผิดไปกด ESC ซะงั้นที่พิมพ์มาหายหมดเลย
 
วันก่อนก็เอาอีกแล้วที่ office มี survey เข้าไปนั่งพิมพ์อย่างตั้งใจ พอจะจบหน้าก็กด submit เอ๊ะ!! ทำไมมันบอกกรอกข้อมูลไม่ครบล่ะ
เลื่อนขึ้นไปดู เศร้าเลย ที่พิมพ์มานานหายหมด เหลือแต่ข้อล่างๆ อุตส่าห์ทำอย่างตั้งใจ ไปกดโดนตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลย
ตอนแรกงง นึกว่า web มี bug
ก็เลยเซ็งเลิกกรอกเลย ป่านนี้ก็ยังไม่ได้เข้าไปกรอกใหม่เลย ลืมไปแล้วว่าอยาก comment อะไรบ้าง
 
ความจริงก็ความผิดตัวเองแหละน้า แต่ทำไม notebook ต้องเอาปุ่ม ESC มาใกล้กับตัวหนอนขนาดนี้ด้วยน้าาาาาาาาาาาาาา











 

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2551

ทำเสร็จแล้ว....... กระเป๋าเพนกวิน


หลังจากใช้เวลาทำอยู่นาน ก็ออกมาสำเร็จเรียบร้อย


กระเป๋าใส่เศษสตางค์รูปเพนกวิน


แต่คงจะไม่ได้เห็นยู้ใช้หรอกนะ เพราะว่าให้น้องสาวไปแล้ว


ทำโดยการถักโครเชต์ค่ะ ไปซื้อเป็นชุดมามีทั้งวิธีทำและไหมพรมมาให้เสร็จสรรพ(จะได้ไม่ต้องไปหาไหมเองเดี๋ยวผิดสี)

ลูกปัดไว้ทำตากับปากกระเป๋าก็มีให้มาด้วย

ที่ต้องหาเองมีอย่างเดียว เข็มโครเชต์ แต่ไม่เป็นไรที่บ้านมีอยู่แล้ว


ความจริงก็ถักเสร็จเป็นหลายเดือนแล้วล่ะ แต่ทิ้งไว้เป็นชิ้นส่วนไม่เย็บติดกันสักที (วิธีทำคือถักแยกกันค่ะ ตัว ปีก ท้อง ปาก ขา แล้วเอามาเย็บติดกัน)

พอดองให้พอเค็มได้สักพัก และเห็นฝุ่นเริ่มจับก็คิดว่า ไม่ได้ละ เดี๋ยวถ้าฝุ่นมากกว่านี้ต้องเอาไปซักก่อนเย็บ ดังนั้นก็ต้องเย็บซะตอนที่ยังไม่ต้องซัก

ความขี้เกียจก็เลยเป็นบ่อเกิดของความขยัน !!!


เย็บออกมาแล้วพุงก็เบี้ยว T_T ไม่รู้ทำไงก็เลยเย็บขาให้เบี้ยวตามพุงไปด้วย

ถ้ามองแบบมีศิลป์ก็จะเหมือนมันเอี้ยวตัวอยู่ล่ะนะ อิอิ



หลังจากทำเย็บติดกันเสร็จแล้วก็ โชว์ตัวสักหน่อย










พอเย็บเสร็จแล้วก็หากาวมาติดปากกระเป๋า

ใช้เวลาหากาว 2-3 วัน อิอิ

ติดแล้วก็มีกาวเลอะนิดหน่อยตรงแถวปากกระเป๋า เอาเหอะ ทำครั้งแรกแค่นี้ก็ดีแล้วอ่ะนะ


สรุปแล้วก็เสร็จสมบูรณ์โดยใช้เวลาเกือบ 3 เดือน โดยใช้เวลาทำจริงแค่ 2-3 สัปดาห์ ที่เหลือเป็น pending ความขยัน - -"



หลังจากติดปากกระเป๋า แล้วก็เสร็จสมบูรณ์ (เหมือนหน้าจะแบนลง) นะ



วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2551

สยองขวัญ 3 เรื่องรวด ~ ~ ~ ~ ~


กลับมาอีกแล้ว blog เกี่ยวกับหนังของเรา กะว่าจะอัพเรื่องอื่นด้วยนะ แต่พักนี้เป็น Movie Mania หรือไงก็ไม่รู้อ่ะนะ 


เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมามีอาการว่างงาน ...... ความจริงก็ไม่ว่างหรอก แต่เกิดอาการ ลงแดง ทุรนทุราย อยากดูหนังอย่างหนัก (ทั้งๆที่เพิ่งดูไป) ก็เลยจัดการชวนน้องไปดูหนัง 3 เรื่องรวด!!!


มีแต่คนถามว่าไม่ปวดหัวเหรอ ตอบว่า "ไม่" ค่ะ หนังส่วนใหญ่ดูแล้วจะคลายเครียดทำให้หายปวดหัวมากกว่า

ยกเว้นบางเรื่องที่มีการจับภาพแบบแปลกๆ หรือที่ซูมมากจนจับการเคลื่อนไหวยากอ่ะนะ


เข้าเรื่องดีกว่า 3 เรื่องนั้นคือ

1. No country for old man รอบ 9.45 ที่ลิโด

2. The Mist รอบ 12.30 ที่ อีจีวี แกรนด์

3. P2 รอบ 16.20 ที่ เอสเอฟ มาบุญครอง

สรุปดู 3 เรื่อง 3 โรง เวลาประมาณนั้นแหละอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้างเล็กน้อย


ผลที่ได้คือ

1. ตังค์หายแว๊บๆ ไปเนื่องจากออกค่าตั๋วคนเดียวไม่พอ ดั๊นชวนน้องสาวไปด้วย ก็ต้องออกตังค์ X2 อ่ะนะ

2. สนุกดี ไม่ได้ดูพวกหนังสยองๆ มานานละ ความเห็นก็ตามด้านล่างนะคะ


ตามเคยคงมีการ spoil นะคะ ^_^ ถ้าจะไปดูก็อย่าอ่านแล้วกันน้า


ปล. ตัวหนังสือเป็นพรืดไปหน่อยนะคะ เพ้อมากไปหน่อย แล้วก็ขี้เกียจจัด


No country for old man หนังดีมีรางวัล


อาจมีคำถามว่าไอ้เรื่องนี้มันสยองขวัญเหรอ ??

ถ้าถามจริงๆก็คงต้องบอกว่าไม่ใช่ แต่ก็นะ ยิงกันเลือดสาด มีศพวางให้ดูเล่น ถึงจะบอกว่ามันออกไปทางบู๊ แต่ก็บู๊แบบสยองอ่ะนะ (ไม่แน่ใจแฮะว่าเขาจัดหนังเรื่องนี้เป็นแนวไหน)


บางคนอาจบอกว่าชื่อคุ้นๆ บางคนบอกว่าไม่ หนังเรื่องนี้คือที่ได้ออสการ์ เยอะๆ น่ะค่ะ

แต่การไปดูครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับออสการ์แต่อย่างใด

เพียงแต่ดูตัวอย่างแล้วเห็นมันเลือดสาดดี ไม่ได้ดูหนังเรทอาร์มานานแล้วตั้งแต่โคโยตี้แข้งปืนกล(จำชื่ออังกฤษไม่ได้แฮะ) ดูแล้วจะได้จรรโลงใจ โรคจิตไปไหมเนี่ย

แต่บางทีดูหนังแบบนี้มันก็ช่วยระบายความรุนแรงในตัวออกมาเหมือนกันนะ ............หา.....อะไรนะ ทำให้เพิ่มความรุนแรงมากกว่าเหรอ..............ไม่หรอกน่า...

เอาเป็นว่าตอนนี้คงยังไม่ไปยิงใครนะคะ หาปืนยังไม่ได้


ว่าแล้วก็วกเรือจากทะเลกลับมาที่ฝั่ง

ถ้าชอบดูหนังอาร์ตๆ แบบจบให้ไปคิดเอง หรือจบเหมือนไม่จบ จบแบบตัวร้ายไม่ตาย ใครเป็นพระเอกไม่รู้ ก็ไปดูเลยค่ะ Go! Go!

ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับหนังมานะคะ แต่ดูแล้วก็รู้สึกได้ว่าเขาทำดี ดูแล้วน่าติดตามไปเรื่อยๆ ดูแล้วลื่นไหลไม่เหมือนหนังบางเรื่องที่พอเปลี่ยนฉาก ก็รู้สึกเหมือนโดนตัดฉับ

แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นแนวหนังรางวัล ไม่ใช่หนังที่คนส่วนใหญ่จะบอกว่าสนุกนะคะ


เรื่องย่อ : พระเอก ก. ไปเก็บกระเป๋าที่มีเงินอยู่เต็มมาได้ใบนึง ท่ามกลางศพที่เขายิงกันตาย ประมาณว่าขายยากันแล้วตกลงกันไม่ลงตัวเลยยิงกันตายหมด ซึ่งเขาก็โดยมาเฟียตามล่าตามระเบียบ โดยคนที่ตามเขาเป็นนักฆ่าโรคจิตสุดๆ ส่วนพระเอก ข. ก็เป็นตำรวจวัยแก่ที่พยายามจะจับผู้ร้ายและช่วยพระเอก ก. ให้ได้ เรื่องก็เป็นแนวคนนึงตามคนนึงหนี ที่เรียก พระเอก ก. กับ พระเอก ข. เพราะมีตัวเด่นอยู่ 2 คนนี่แหละ ถ้าไม่นับตัวร้ายนะ แต่ตัดสินไม่ได้ว่าใครเป็นพระเอกนี่สิ ดูพระเอก ก. ก็บทเยอะดีอยู่หรอกนะ แต่ว่าดันตายไปก่อนจบซะตั้งนาน (- - ")


แล้วก็ตอนออกจากโรงระหว่างคุยกับน้องอยู่ ก็มีคุณลุงคนนึงหันมาบอกว่า "จบไม่รู้เรื่องเนอะ" 5555

อยากจะบอกคุณลุงว่าหนังแนวนี้มันก็เป็นงี้แหละค่ะ แต่กลัวเดี๋ยวลุงจะคุยด้วยยาว ประกอบกับอึ้งที่จู่ๆลุงก็หันมาคุยด้วย ก็เลยได้แต่ยิ้มตอบไป


The Mist อะไรก็เกิดขึ้นได้


นี่ก็จบเศร้าอีกเรื่อง หนังสมัยนี้เป็นอะไรกันเนี่ย จะจบให้มันจรรโลงใจหน่อยก็ไม่ได้ ใจร้ายจริงๆ


อันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเมืองที่จู่ๆ ก็มีหมอกลง (ฝุ่นมลพิษเหมือนเชียงใหม่อ๊ะป่าว) แล้วก็ดันมีแมลงประหลาดอยู่ในหมอกด้วย

เรื่องจับประเด็นที่ว่าชาวบ้านที่ต่างจิต ต่างใจ ต่างนิสัย มาติดอยู่ใน ซุปเปอร์มาร์เกต เดียวกันแล้ว จะทำอะไรกันบ้าง??


หนังถ่ายทอดออกมาดีตรงที่ดึงนิสัยของมนุษย์ออกมาได้ ว่าการเจอความกดดันขนาดนั้นแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง

การต่อสู้ ความตื่นตระหนก ความเห็นแก่ตัว ความกล้าหาญ คุณธรรมกับการเอาตัวรอด ความเชื่อ ไสยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ถ้าดูดีๆ มันจะรวมอยู่หมด

เรื่องนี้ก็ไม่รู้จะชมหนัง หรือหนังสือดี เพราะไม่ได้อ่านหนังสือก็เลยไม่รู้ว่ารายละเอียดสื่ออารมณ์ทั้งหลายในหนังเนี่ย มันมาจากหนังสือหรือเปล่า


แต่ออกจะจบโหดไปนิดนึง

ทำให้รู้ได้เลยว่าทำไมคนที่ไปดูมาแล้วถึงบอกว่า "ก็ดี หนังดี (แหละ)" เพราะหนังดีมากๆ แต่การจบแบบนี้คงจะไม่โดนใจคนไทยเท่าไหร่ (คนต่างประเทศจะชอบหรือเปล่าไม่รู้)


spoil ตอนจบให้ฟังแล้วกันเผื่อว่าคนอยากรู้แต่ไม่อยากดู

ทำสีเดียวกับพื้นหลังไว้นะคะ น้องสาวสอนมา ถ้าอยากอ่านก็ป้ายๆ หรือ กด Ctrl+A ให้มันโผล่ขึ้นมา

-->> หลังจากตอนแรกที่เนื้อเรื่องดำเนินตามแบบแผนหนัง (ต่อสู้กับแมลงที่เข้ามาในร้านได้ มีบุกไปเอายาจากร้านข้างๆ) ทุกคนก็ออกจะทนแรงกดดันไม่ไหวไปเข้าลัทธิประมาณบูชายัญ โดยจะเอาลูกชายประเอกไปให้แมลงกิน(มีเจ้าแม่ลัทธิอยู่คน พยายามเป่าหูทุกคน) ซึ่งในที่สุดพระเอกกับเพื่อนก็หนีออกมาจากที่นั่น และเหลือรอดไปถึงรถ 5 คน รวมลูกชายพระเอกด้วย ซึ่งได้วางแผนว่าจะขับรถไปเรื่อยๆ เผื่อว่าจะพ้นหมอกออกไป แต่จนน้ำมันหมดก็ยังไม่พ้นหมอกอยู่ดี กระสุนเหลืออยู่ 4 นัด ซึ่งพระเอกก็เสียสละให้อีก 4 คนไป และออกไปเตรียมรับความตาย แต่เรื่องกลับกลายเป็นว่า มีกลุ่มทหารกำลังช่วยเหลือทุกคนและกำจัดหมอกออกไปจนหมด!!! ถ้ารออีกสัก 5 นาทีทุกคนก็จะรอดแล้ว T_T

ที่โดนใจคือในตอนต้นเรื่องมีผู้หญิงคนนึงบอกว่าจะฝ่าหมอกกลับไปหาลูกที่บ้านเธออยากได้ใครสักคนไปส่งเธอ (ซึ่งแน่นอนไม่มีใครยอมไป) ตอนจบนี้เห็นเธอคนนั้นปลอดภัยดีอยู่กับลูกของเธอ แสดงให้เห็นได้จริงๆ ว่าชีวิตนี้เป็นสิ่งไม่แน่นอน <<--


P2 หน้าตาดีก็พาซวยได้นะ


เรื่องที่กะว่าต้องไปดูให้ได้ เพราะ ซอว์ ที่อยากไปดูมาตั้งแต่แรก ตอนนี้ภาคสี่แล้วยังไม่ได้ดูภาคแรกเลย

เขาบอกว่าทีมสร้างเดียวกัน ก็ต้องดูสักหน่อย


ตามตัวอย่างหนังล่ะค่ะ ไอ้คุณยามในที่จอดรถดันถูกใจนางเอกสาวสวย ก็เลยจับมานั่งดินเนอร์กันในวันคริสต์มาสอีฟซะเลย


เรื่องไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่ก็ตื่นเต้นตลอด เรื่องเหมือนจะมีเหตุผลแต่ก็ไม่มีเหตุผล

นางเอกก็อึดซะเหลือเกิน ฉากแบบสยองๆ ตามเละๆ มีให้เห็นอยู่เป็นพักๆ แต่ก็ไม่นับว่าเยอะ ส่วนใหญ่จะเน้นที่นางเอกหนีไปสู้ไปซะมากกว่า

อย่างที่บอกว่าไม่เคยดูซอว์ แต่คิดว่าน่าจะเละน้อยกว่า เพราะเรื่องนี้เน้นที่ความฮึดสู้ของนางเอกมากกว่า


เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

1. ตึกที่มียามแค่ 2 คนมันไม่ปลอดภัย

2. taxi เมืองนอกไร้น้ำใจสุดๆ เห็นคนออกจากตึกไม่ได้ แต่ดันขับออกไปเฉยเลย

3. อย่าจอดรถในที่ๆ มีประตูปิดทางออก ถ้าคิดว่าหน้าตาคุณอาจจะไปต้องใจยามเข้า

สุดท้าย อย่าทำงานหนักนัก กลับบ้านก่อนคนอื่นก็ไม่โดนอย่างนี้แล้วววววววว


ยาวไปหน่อย พบกันใหม่คราวหน้าจ้า >_<