วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2551

วันที่ฝนตก และกบร้องเพลง


ตั้งชื่อนี้อาจจะไม่ถูกนัก


เพราะวันนี้เป็นวันที่ฝนไม่ตก ถ้าจำไม่ผิดฝนตกติดต่อกันมาเกือบสัปดาห์แล้ว ☂ เว้นว่างวันนี้เป็นวันแรก (ถ้ามันยังไม่ตกลงมาภายในสามชั่วโมงนี้นะ) 

วันนี้ลืมเอาร่มไป <โอ๊ะ!!  ~วิ่งไปเอาร่มใส่กระเป๋าก่อน~> ดีที่ฝนไม่ตก


ฝนตกทีหลายคนอาจจะหงุดหงิด ถนนเปียกแฉะ น้ำท่วม รถติด  กลับบ้านไม่ได้ ไปไหนก็กลัวเปียก


แต่เราชอบฝนนะ ถึงแม้มันจะทำให้เดินทางลำบากอยู่บ้าง ถ้าฝนตกหนักก็อย่าเพิ่งออกจากบ้าน ถ้ากำลังจะกลับบ้านก็ไม่กลัวเปียกหรอก ถึงบ้านก็เปลี่ยนเสื้อแล้ว หรือไม่ก็พกเสื้อไปเปลี่ยนที่ทำงานซะเลยดีมั้ย อิอิ

เหตุผลแรก คือ พอฝนตกแล้วอากาศจะเย็นสบาย เกลียดอากาศร้อนจริงๆ >_< เพนกวินจะละลาย

เหตุผลที่สอง คือ ชอบอากาศชึ้นๆ ด้วย อากาศแห้งทีไรแสบจมูกทุกที

ข้อสาม ชอบกลิ่นฝน (ยิ่งถ้ามีดินหรือหญ้าอยู่แถวนั้นจะหอมเป็นพิเศษ) 

ข้อสุดท้าย รู้สึกว่าพอฝนตกแล้วมันช่วยชะล้างอะไรหลายๆ อย่างออกไป เขม่ามลพิษในอากาศ หรือฝุ่นผงที่เกาะอยู่ตามใบไม้ ยิ่งตกหนักๆ รู้สึกเหมือนเทวดาเอาน้ำฉีดล้างสิ่งสกปรก


 ☹️ แย่อยู่อย่างเดียว พออากาศเย็นแล้วตอนอาบน้ำหนาวชะมัด (แต่ความจริงฝนตกตอนนี้มันหมายความว่าโลกเราผิดฤดูกาลไปใหญ่แล้วหรือเปล่านะ??)


ขอให้สุขสันต์ไปกับฝนในหน้าร้อนค่ะ Aloha!!

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2551

Vantage Point

ในที่สุดก็ได้ไปดู Vantage point มาแล้ว

ชอบมากๆ เลย รู้สึกดีพอๆ กับตอนที่ดู  phone booth เรื่องแค่นี้ก็ทำให้เราติดตามดูได้นะ 


ตามความคิดของเรา

ถ้าเป็นพวกชอบไขปริศนา หรือชอบมองอะไรหลายๆ มุมล่ะก็ แนะนำให้ดูเลยเรื่องนี้

แต่ถ้าเป็นพวกที่ชอบดูแต่ตอนจบ หรือเล่าให้ฟังหน่อยขี้เกียจดู หนังเรื่องนี้คงจะน่าเบื่อ


ตอนแรกดูโฆษณาคิดว่าจะเป็นเหมือนพระเอกไปสอบสวนคน 8 คนเพื่อค้นหาความจริง แต่ความจริงไม่ใช่

มันเป็นการฉายเหตุการณ์เดียวกันซ้ำๆ จากมุมมองของแต่ละคน (เขาบอกว่า 8 คน แต่พอออกมาจากโรง น้องสาวบอกว่าไม่เห็นถึง 8 คนเลย ก็เลยลองนับกับน้องยังไงก็ไม่ถึง 8)

เหตุการณ์จะเริ่มจากสายตาคนภายนอก ผ่านนักข่าว รู้แค่ประธานาธิบดีถูกยิง มีระเบิด แล้วเวลาก็ย้อนกลับไปดูด้วยสายตาของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ (ชอบมากตอนที่เขาทำภาพถอยหลังย้อนกลับ)

แล้วก็ผ่านสายตาของผู้ที่ใกล้ชิดเหตุการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็เป็นสายตาของผู้ก่อการร้าย ว่าพวกเขามีแผนอย่างไร

ทำให้เราได้เห็นว่าเหตุการณ์ที่เราเห็นทีแรกนั้น เป็นแค่เศษเสี้ยวของเหตุการณ์จริงที่ซ่อนอยู่อีกมาก (ทำให้คิดว่าจริงๆ แล้วรัฐบาลหลอกเราอย่างนี้หรือเปล่านะ)


ที่ชอบอีกอย่างนึงก็คือ การที่เราเห็นตัวละครตัวหนึ่งจากสายตาของตัวละครอีกตัวหนึ่ง ถ้ามองเห็นแค่นั้นเราคิดไปได้อย่าง แต่ถ้ามองจากอีกตัวละคร ก็คิดได้อีกอย่าง

อย่างที่เขาว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่เป็นเสมอไป.......

วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2551

ธุลีปริศนา (His Dark Material)

หนังสือชื่อ

His Dark material (ธุลีปริศนา)

ชื่อไทยอยู่ในวงเล็บนะคะ ส่วนชื่อภาษาอังกฤษเป็นชื่อของต้นฉบับเขา


ชุดนึงมีสามเล่มคือ

 - The Golden Compass(มหัตภัยขั้วโลกเหนือ)

 - The Subtle Knife(มีดนิรมิต)

 - The Amber Spyglass(สู่เส้นทางมรณะ)


ผู้แต่ง : Phillip Pullman

ผู้แปล : เอื้อนทิพย์ พีระเสถียร


สำนักพิมพ์ : นานมีบุ๊คส์



ความเห็นของอยู่ยู้....
เป็นเรื่องหนึ่งที่แนะนำให้อ่าน สนุกกว่าแฮรี่ พอตเตอร์อีกนะจะบอกให้ 


หนังสือชุดนี้ไม่ได้เป็นชุดที่ตั้งใจไปซื้อ แต่ซื้อด้วยความที่ว่าปกสวย และเรื่องย่อก็ดูดี ประกอบกับอยากซื้อหนังสือจากนานมีอีกสักชุดนึง เห็นสามเล่มจบแล้ว ก็เลยหยิบติดมือกลับบ้านมา
ดังนั้นมันจึงถูกเก็บไว้เป็นลำดับท้ายๆ (ถึงจะไม่ท้ายสุดก็เหอะ) แต่พอหยิบมาอ่านแล้วบอกได้คำเดียวว่า "ชอบ" 


ตอนนั้นที่อ่านไม่ถึงกับขนาดวางไม่ลง อ่านเพลินไปได้เรื่อยๆ แต่เมื่อไหร่ที่ว่างก็อดใจไม่ได้ที่จะหยิบมาอ่านต่อ ต้องหยิบมาอ่านทุกเย็นก่อนนอน พกไปอ่านตอนรอรถเมล์
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นหนังสือที่อ่านง่าย ไม่สลับซับซ้อนเหมือนหนังสือจำพวกดาวินชีโค้ดที่มีประวัติศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ มาให้ปวดหัวเต็มไปหมด
ถึงเรื่องนี้จะเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ แต่ก็เป็นวิทยาศาสตร์ภาคแฟนตาซี!!!


อีกเหตุผลหนึ่งที่ชอบเอามากๆ  คือ หนังสือชุดนี้เป็นหนังสือแนวที่ไม่เคยอ่านเลยในชีวิต ขอตั้งชื่อเองแล้วกันว่าเป็นแนวแฟนตาซีเสมือนจริง

- -" แฟนตาซีกับจริงดูจะเป็นคนละขั้ว แต่ความรู้สึกตอนที่อ่านคือ ถ้าจะมีโลกคู่ขนานอยู่ ก็คงจะเป็นอย่างนี้ล่ะ

เป็นส่วนผสมที่อยู่ตรงกลางระหว่างความจริงและแฟนตาซี หนังสือไม่เครียดแบบ lord of the ring ยังมีพระเอก นางเอก ผู้ร้าย มีแม่มด แต่ก็ไม่เป็นนิทานมากเท่า harry potter
เพราะตัวละครในเรื่องกระทำอะไรอย่างค่อนข้างมีเหตุผล ไม่ใช่กล้าอย่างไรสาเหตุ ไม่ว่าเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นอีตานี่ก็อยู่ในเหตุการณ์อยู่เรื่อยสิน่า
ตัวละครก็ไม่ได้แบ่งเป็น 'ดี' หรือ 'เลว' แน่นอนว่ามีพวกที่เป็นคนดี และคนเลวอยู่บ้าง แต่ก็มีตัวละครที่ซับซ้อนซึ่งเราไม่แน่ใจเลยว่าสุดท้ายแล้วเขา(หรือเธอ) จะอยู่ฝ่ายไหนกันแน่
(ไม่ได้เป็นแบบสเนปนะ ที่ไม่ว่าจะตีลังกาอ่านยังไงก็รู้สึกว่าพี่แกต้องอยู่ฝั่งแฮร์รี่แน่นอน)
ถึงจะมีแม่มด หรือมีเวทย์มนต์ก็จริง แต่ส่วนหนึ่งก็จะคล้ายเป็นวิทยาศาตร์ของโลกนั้น ส่วนแม่มดก็ไม่ได้สาปคนเป็นหินได้ แต่จะใช้มนต์เล็กๆน้อยๆ ประกอบกับสมุนไพรมากกว่า(เหมือนหมอผีบ้านเรา แต่เก่งกว่าเยอะ)


ใครที่คิดว่า harry potter เด็กๆ เกินไป แต่ lord of the ring ก็อ่านแล้วหลับ หนังสือชุดนี้น่าจะโดนใจ


หนังสือเกี่ยวกับอะไรล่ะ??

His Dark Material ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับ Material Code ของ SAP แต่อย่างใด

แต่เรื่องกล่าวถึงวัตถุอย่างหนึ่งเป็นผงลอยอยู่บนฟ้า โดยดูเหมือนเจ้าผงนี้จะเกาะอยู่ตามมนุษย์ และอะไรที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเท่านั้น


เล่มแรก กล่าวถึงเด็กหญิงคนหนึ่งในอีกโลกหนึ่งชื่อไลร่า ซึ่งเธอได้รับเครื่องมือมาอันหนึ่งซึ่งหน้าตาเหมือนเข็มทิศทองคำ เจ้าเข็มทิศนี่เป็นเครื่องมือที่สามารถตอบปัญหาใดๆ ที่คนถามมันได้ตามความเป็นจริง ไลร่าต้องเผชิญกับเรื่องมากมาย และพยายามตามไปช่วยเพื่อนของเธอจาก "ตัวกินเด็ก" ที่จับเด็กๆไปมากมาย และไม่มีใครทราบว่าเด็กเหล่านั้นหายไปไหน


เล่มที่สอง กล่าวถึงวิล เด็กชายจากโลกของเรา เขาไปพบทางเชื่อมต่อระหว่างโลกอื่นเข้า และในที่นั้นเขาก็ได้พบกับไลร่า พร้อมกับได้รับมีดนิรมิตร ซึ่งสามารถเปิดช่องข้ามระหว่างโลกต่างๆ ได้ ทั้งสองได้ร่วมผจญภัยเพื่อตามหาพ่อของวิล


เล่มที่สาม จะเป็นตอนต่อยอดจากสองตอนแรก ปริศนาทั้งหมดจะถูกค่อยๆคลี่คลายออกมา การสู้รบมาถึงจุดสิ้นสุด เข็มทิศทองคำ และมีดนิรมิตร คืออะไรและมีบทบาทอย่างไร และเด็กทั้งสองจะช่วยโลกนี้ไว้ได้หรือไม่ และตอนจบของหนังสือที่น่าประทับใจ



เหมือนโฆษณาขายของให้เขาเลยนะ

อ้อ! ได้ไปดูหนังมาแล้ว แต่ว่าไม่สนุกเท่าที่ควร หนังไม่สามารถยัดเรื่องราวทั้งหมดลงไปในสองชั่วโมงได้ แต่ก็พยายามเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด ผลก็คือการดำเนินเรื่องออกจะเร็วเกินไป และมีบางส่วนที่คิดว่าคนดูคงจะไม่เข้าใจถ้าไม่อ่านหนังสือมา(หรือว่าถ้าไม่ได้อ่านเขาจะไม่ใส่ใจหว่า)

บางตอนที่อ่านแล้วรู้สึกว่าลึกซึ้ง แต่หนังไม่สามารถทำออกมาได้เลย(เพราะต้องใช้ตัวหนังสือบรรยายเท่านั้น) ก็เลยกลายเป็นไม่ค่อยชอบหนังเรื่องนี้

แต่ว่าภาพสวยมากค่ะ ถึงแม้จะดูมีบางอย่างที่ไม่ค่อยสื่อความหมายตรงกับในเรื่องก็เถอะ แต่ถ้าคิดถึงว่าเพื่อความสวยงามของหนังแล้วก็รับได้ค่ะ

วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2551

โลกร้อน เพนกวินละลาย

ใครเข้ามาอ่านคงว่าอีนี่บ้าอัพ blog


แต่เท่าที่ดูไม่ค่อยมีคนเข้ามาอ่าน(อาจจะเขียนยาวไป) 

เข้าเรื่องดีกว่า


วันก่อนไปดูหนังที่ SF เห็นหนัง animation เรื่องภาวะโลกร้อนลูกเพนกวินจมน้ำตายเพราะน้ำแข็งแตก น่าสงสารมาก T_T

ตอนนี้ก็เลยบ้าลดภาวะโลกร้อนขึ้นมา(จะพยายามทำให้ได้นานๆ) สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้คือ


1. ตอนซื้อของ ถ้าไม่จำเป็นก็บอกคนขายว่าไม่ต้องใส่ถุงค่ะ เอามาใส่รวมกับถุงที่หิ้วอยู่ก็ได้ บางทีก็ลืมไปบ้างแต่จะพยายามนะคะ >_< งานหนังสือที่ผ่านมาหิ้วถุงผ้าไปด้วย ประสบความสำเร็จในการลดการใช้ถุงพลาสติกไปได้หลายใบ


2. ใช้ทิชชู่แต่พอเหมาะ เช็ดปากก็ใช้แผ่นเดียวพอ(ปากก็เล็กนิดเดียว ใครใช้เยอะแปละว่าปากกว้างนะ เอ้า) เข้าห้องน้ำก็ใช้แต่พองาม แค่เอามาเช็ดนะไม่ได้เอาไปทำผ้าอ้อม เคยเข้าห้องน้ำได้ยินห้องข้างๆ สาวทิชชู่ซะจนนึกสงสัยว่าเขาจะออกมาเป็นมัมมี่หรือเปล่า - -" ถ้าให้ดีคงต้องพกผ้าเช็ดหน้า แต่ยังทำไม่ได้ขนาดนั้น บางทีก็มีใช้ทิชชู่เปลืองบ้าง แต่พยายามลดอยู่นะคะ


3. พยายามเปิดไฟให้น้อยที่สุด มาอยู่ห้องเดียวกัน เปิดแอร์เครื่องเดียว (อันนี้ทำได้บ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นน้องสาวที่ย้ายมานั่งห้องเรา เพื่อลดการใช้ไฟ) ไม่ใช่ปิดแค่ชั่วโมงเดียวที่เขารณรงค์


4. รถเมล์ รถไฟฟ้า เดิน ไปไหนก็ไปรถสาธารณะนี่แหละ(ก็ขับรถไม่เป็นนี่) แต่ก็พยายามชวนคนอื่นนะ เวลาไปไหนก็นั่งรถไฟฟ้าไปก็ได้ ถ้าไม่ลำบากเกินไป



แต่ก็มีสิ่งที่ยังทำไม่ค่อยได้เหมือนกัน

- เล่น net พักนี้บ้าเล่น net คงเพราะ com ใหม่ ก็เปลืองไฟหน่อย จะพยายามเพลาๆ ลงแล้ว (หวังว่าหายเห่อคงไม่เล่นเยอะอย่างนี้)

- เปิดแอร์ หน้านี้ ร้อนไม่ไหวแล้ว ต้องเปิดแอร์แต่หัวค่ำ ปกติก็รอจนอาบน้ำเสร็จก่อน บางทีเย็นๆ ก็ไม่เปิดพัดลมด้วย แต่ช่วงนี้ทำไม่ได้อ่ะ


วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2551

ว่าด้วยงานหนังสือ



ไปงานหนังสือมาแล้ว
 
เดินงานหนังสือเป็นกิจกรรมประจำครึ่งปีของเราไปแล้ว ไม่ได้ไปแล้วจะลงแดงตาย แล้วไปไม่ไปเปล่า ต้องขนเงินไปแล้วแลกเป็นหนังสือกลับมาพอให้อ่านไปอีกครึ่งปี
 
เมื่อบ่ายๆ วันเสาร์ที่ผ่านมา(29 มีนา) ได้ไปมาแล้ว แต่ไม่ได้อะไรติดมือกลับมาเลย เพราะว่าคนเยอะมาก จะเดินยังไม่ค่อยมีที่เลย ถ้าซื้อหนังซื้อแล้วหิ้วไปเนี่ยจะฝ่าฝูงชนไปได้ไหม
 


ในที่สุดก็ตัดสินใจลางาน (ไม่รู้เป็นข้ออ้างเพราะอยากหยุดอยู่แล้วหรือเปล่า) พี่โจ้คงคิดว่ายัยนี่หยุดอีกแล้ว
นัดกับน้องสาวไว้ว่าจะไปถึง 10 โมงเช้าตอนเปิดงาน คนจะได้น้อยๆ แต่ว่าน้องสาวต้องไปทำงานที่คณะตอนเช้าก่อนก็เลยนัดเจอกันที่สถานี MRT ที่โน่นเลย
ตอนนั่งรถไฟใต้ดินไปก็รู้สึกว่าทำไมคนเยอะอย่างนี้ หวังว่าคงไม่ไปงานหนังสือกันหมดนี่นะ >_<
พอไปถึงสถานีคนลงเพียบเลย T_Tถึงจะไม่ทั้งหมดก็เหอะ แล้วยิ่งคนที่นั่งมาจากทางบางซื่ออีก เพียบเลย
แล้วก็ไปยืนรอน้องอยู่พักนึงเห็นคนเดินเข้าไปเป็นชุดๆ โห จะรีบมาทำไมกันแต่เช้าอย่างนี้คะ (ว่าแต่คนอื่นแล้วทีเอ็งล่ะ) แต่ก็เห็นว่าบางคนใส่เสื้อพนักงาน อย่างน้อยทั้งหมดนั้นก็ไม่ใช่คนที่มาเดินงานล่ะ






 
ว่าแล้วก็เข้าไปเดิน Plenary hall ก่อนเลย เพราะเป็นโซนที่คนเยอะที่สุด ตอนแรกก็คนน้อยๆ อยู่ บางร้านก็ยังไม่เปิด แต่ไม่เป็นไรร้านพวกนั้นไม่ได้ซื้ออยู่แล้วล่ะ
เดินไปเดินมาคนก็เยอะขึ้นๆ ถึงนานมีบุ๊คส์ที่ท้ายห้อง คนเต็มเลย ไม่รู้โผล่มาจากไหน อย่างกับอะมีบาแบ่งตัวเลย
คนเยอะก็เลยหาหนังสือเล่มที่อยากได้ของนานมีไม่เจอ จะถามพนักงานเขาก็ไม่ว่างสักที เลยตัดสินใจไว้ซื้อคราวหน้าแล้วกันนะ
ยังดีที่ตอนไปถึง pearl คนยังไม่เยอะ ไปยืนเลือกๆๆๆ หนังสือมาหลายเล่ม เจอคนขายชวนซื้อนู่นซื้อนี่ เลยหยิบใหญ่เลย พอออกจากบูธกระเป๋าก็หนักหนังสือขึ้นมา ส่วนกระเป๋าตังค์ก็เบาไปเลย ตอนนี้คนขายชี้เล่มไหนก็บอกว่ามีแล้วๆๆๆ เกือบทุกเล่ม ไม่งั้นอาจจะได้เสียเงินเยอะกว่านี้ก็ได้









สรุปร้านหนังสือที่คนเยอะมาก ควรจะรีบๆ ไปซื้อก่อน ตอนเปิดงาน
1. นายอินทร์ -> ที่นี่สุดยอด ไม่ทันไรคนก็เต็มไปหมด กว่าจะแทรกตัวไปซื้อได้
2. แจ่มใส -> คนเยอะ บูธเล็ก แต่ยังดีที่เขามีระบบ catalog สั่งของได้โดยไม่ต้องโผล่หัวเข้าไปดู (ร้านนี้ไม่ได้ซื้อหรอก แต่ผ่านทีไรคนเยอะทุกที)
3. นานมีบุ๊คส์
4. ร้านการ์ตูนทั้งหลาย - บงกช สยาม วิบูลย์ เนชั่น
5. Biss, Pearl, SE-ED, สถาพร, เนชั่น -> พวกนี้คนเยอะแบบพอรับได้ค่ะ
ตกหล่นหรือเปล่าไม่รู้ เพราะปกติซื้อแต่ร้านพวกนี้






 

สรุปยอดการใช้จ่ายครั้งนี้ 4630 บาท


ประกอบด้วย หนังสือ 19 เล่ม 3846 บาท และการ์ตูนอีก 784 บาท อะไรนะ เยอะเหรอ ปีที่แล้วซื้อไปห้าพันแปด ถ้าไม่นับการ์ตูนก็ประมาณห้าพันกว่าๆ(25 เล่ม)
 
ความจริงจะบอกว่าซื้อน้อยลงก็ไม่ได้เพราะว่าอยากจะซื้อของนายอินทร์อีก แต่เดี๋ยวฝากน้องแฮทซื้อ
 
คำถามต่อมาคงจะเป็นว่า อ่านหมดเหรอ เคยไม่คนถามว่าซื้อไปถมที่เหรอ - -" ซื้อมาอ่านซิคะ อ่าน
มันก็มีบ้างบางเล่มที่ยังอ่านไม่หมด ส่วนใหญ่เป็นเล่มที่ซื้อมาตอนเรียนลาดกระบัง ตอนนั้นทำกิจกรรมหนักไปหน่อย เลยไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ พอจะอ่านหนังสือก็(ดัน)อยู่ที่บ้าน (ตอนนั้นพักอยู่หอค่ะ)

 แต่ 25 เล่มที่ซื้อมาคราวที่แล้ว ตอนนี้กำลังอ่านเล่มสุดท้ายอยู่


สรุปแล้วหนังสือที่ซื้อมาทั้งหมด เกือบทุกเล่มได้รับการอ่านแล้ว บางเล่มตัวเองยังไม่ได้อ่านแต่น้องสาวอ่านแล้ว
ถึงแม้ว่าพี่น้องจะอ่านหนังสือแนวเดียวกัน แต่ก็มีบางเล่มที่ชอบต่างกัน เล่มนั้นก็จะมีคนอ่านแค่คนเดียว
หนังสือที่ยังไม่ถูกอ่านก็เป็นพวกที่ลดราคาถูกมากก็เลยซื้อมาด้วยความงก (555) จะพยายามทยอยอ่านให้หมดนะคะคุณหนังสือ อย่าน้อยใจไป
 
กลับมาตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว แต่หนังสือยังกองอยู่เต็มเลย ว่าแล้วก็ขอไปจัดก่อนนะคะ











April Fool Day

ผ่านมาแล้วกับ April Fool Day (เขียนอย่างนี้หรือเปล่าหว่า)

 

เป็นเทศกาลแปลกๆ อีกอันหนึ่ง

มีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบ

มีทั้งคนเข้าร่วมแกล้ง และคนโดนแกล้ง

 

แต่ทุกคนไม่ควรลืมว่าการโกหกกันในเทศกาลนี้จะต้องไม่ทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่น

 

 

บางคนอาจเห็นว่าเทศกาลนี้ไม่ดี ทำไมต้องโกหกกันด้วย ไม่มีประโยชน์

แต่เรากลับเห็นว่า ชีวิตนี้ถ้าทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์คงเบื่อแย่

บางครั้งการทำอะไรแบบไม่มีเหตุผลก็ดีเหมือนกัน

 

การโกหกใดๆ มันก็ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ ซึ่งการอำใน April Fool นี้ควรจะสร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคน รวมทั้งคนถูกอำด้วย

โดยส่วนตัวเห็นว่าเทศกาลนี้นอกจากจะสร้างสีสรรให้ชีวิต ทำให้มีเสียงหัวเราะแล้ว

อีกอย่างที่จะได้เรียนรู้คือ "การให้อภัย" เรื่องเล็กน้อยถ้าเรามองข้ามไปไม่ถือโทษโกรธเคืองกันได้ โลกนี้คงน่าอยู่ขึ้นเยอะ

 

 

 

ปล. การมองข้ามเรื่องเล็กน้อย ต้องไม่ใช่ความ "มักง่าย" ด้วยนะ คนเราชอบเอามาปนกัน

ปล2. ที่เขียนมานี่บางส่วนก็ไปอ่านของเขามา(จำไม่ได้แล้ว web ไหน) บางส่วนก็เป็นความเห็นตัวเองนะคะ