วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ดิ่งทะลุสะดือโลก : Journey to the center of the earth

ชอบชื่อภาษาไทยเรื่องนี้จริงๆ เลย มันขำดี

เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ดูตัวอย่างหนังแล้วคิดว่ามันเป็นอย่างไร มันก็เป็นอย่างนั้นน่ะแหละ แต่ถ้าคิดจะดู แนะนำให้ไปดู 3D จะดีกว่า (ที่ SF ฝาแฟนต้า 5 ฝาลดได้ 50 บาท) เพราะว่ามีหลายๆ ฉากที่รู้สึกว่าคุณคนสร้างเขาทำมาเพื่อให้เป็น 3D ชัดๆ เลยนะเนี่ย ตอนดูไปก็คิดว่าถ้าไม่ได้ดู 3D ฉากนี้มันจะเป็นยังไงนะ คงตลกน่าดู เช่นฉากที่เอาสายวัด(แบบตลับ)ชี้มาทางผู้ชมซะดื้อๆ

เนื้อเรื่องเกี่ยวกับพระเอกที่พี่ชาย(สุดเก่ง) หายสาบสูญไป และวันหนึ่งเขาก็ได้พบหนังสือของพี่ชาย(หนังสือชื่อ Journey to the center of the earth น่ะแหละ) พี่ชายเขาเป็นพวกเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้สามารถเป็นความจริงได้ แล้วก็ปีนเขาแล้วหายไป แน่นอนว่าอีตาพระเอก(และหลานชายที่มาอยู่ด้วยตอนนั้นพอดี) ก็ออกสำรวจภูเขา พร้อมกับไกด์สาว และทั้ง 3 ก็บังเอิญตกลงไปทะลุสะดือโลก ซึ่งเรื่องในหนังสือก็เป็นความจริงซะด้วย พี่ชายของเขาซี้แหงแก๋ไปแล้ว และพวกเขาเหลือเวลาอีกเพียงน้อยนิดที่ลาวาจะทำให้โลกใจกลางโลกร้อนขึ้นจนอยู่ไม่ได้

ถ้าไม่ใช่ 3D ความสนุกคงจะลดไปครึ่งนึงเลยล่ะ แต่ถ้าชอบดูหนังประเภทเพ้อไปเรื่อยๆ ก็คงนับว่าสนุกได้ หนังมีเรื่องให้ติดตามเรื่อยๆ ฉากตื่นเต้นแทรกเป็นระยะ แต่ว่ายังไม่มี ไคล์แมกซ์ เหมือนกับฉากต่างๆ มันตื่นเต้นเท่าๆ กันหมด แม้แต่ฉากก่อนที่จะหลุดออกมาจากใต้โลก ก็ตื่นเต้นนะ แต่ไม่มาก ก็เดาตอนจบได้นี่นา

แต่ถ้าใครดู 3D เตรียมเวียนหัวปวดตาไว้เลย สำหรับเราเวียนหัวไม่ค่อยรู้สึก แต่ปวดตามากเลย อาจจะเพราะใส่แว่นทับแว่นสายตาด้วย แล้วเจ้าแว่น 3D นี่มันก็จะหล่นลงมาอยู่ได้ ถ้าเอาใส่เข้าไปเฉยๆ มันจะค้างอยู่ตรงส่วนกลางๆ ของจมูก(เพราะแว่นสายตากันไว้) น่ารำคาญมากเลย ใครได้ไปออกแบบแว่น 3D ช่วยทำที่เกี่ยวแว่น 3D เข้ากับแว่นสายตาด้วยนะ

แต่ตอนกลางเรื่องขยับแว่นอีท่าไหนไม่รู้มันเกาะอยู่กับแว่นสายตาได้ด้วย lol แต่พอใกล้จบเรื่องก็ตกลงมาใหม่ ต้องพยายามอยู่นานกว่าจะเอามันกลับไปเกาะไว้ทีเดืมได้

จบแล้ว วันนี้เขียนไม่ค่อยยาววุ้ย (นี่ยังไม่ยาวอีกเหรอยะ)

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

The dark Knight : The dark night

ช่วงนี้รู้สึกหนังเริ่มกลับมาแล้ว หลังจากที่เมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน ดูเหมือนหนังจะน้อยๆ

คนอ่านอาจจะเถียง ว่าน้อยอะไร ตอนนี้ใครๆก็ว่าหนังเยอะ มีแต่หนังฟอร์มใหญ่ตบเท้ากันเข้าโรงมากมาย

ถ้าพูดกันในทำนองนั้นก็ใช่ แต่ที่บอกว่าหนังน้อยก็คือ หนังที่อยู่ในโรงมันน้อยเหลือเกิน คงเพราะหนังใหญ่มา หนังเล็กๆ ก็เลยหลบลี้หนีหน้ากันไปหมด ปกติดูรอบหนังที่ movieseer.com จะมี list หนังที่ฉายอยู่ตอนนี้ประมาณ 20 เรื่อง เมื่อสัปดาห์ที่ Hellboy กับ Hancock เข้าดูมันจะหดสั้นลงเหลือแค่สิบกว่าเรื่อง หนังที่หาญกล้าเข้าในช่วงนั้นก็มี Friendship กับ the happening (ฮะเก๋าก็นับว่าเข้าช่วงนี้ก็คงได้มั้ง)

มาพูดถึง batman กันดีกว่า หนังสนุกสมคำร่ำลือจริงๆ หนังเข้มข้นตลอด แต่ทำไมไม่ค่อยประทับใจก็ไม่รู้ - -" (แป่ว)

ไม่รู้ว่าเพราะช่วงนี้ดูหนังเยอะเกินไปหรือเปล่า แต่เท่าที่คิดๆดูมันคงจะไม่ใช่แนวซะมากกว่า

ตอนแรกที่ดูตัวอย่างหนัง ก็รู้สึกว่า ตัวอย่างหนังไม่บอกเลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร Joker ออกมาทำอะไร เรื่องจะไปในทิศทางไหน ความจริงไม่ได้อยากดูมากเท่าไหร่ แต่ด้วยแรง built จากคนรอบข้าง และใครๆก็ว่าหนังเรื่องนี้สนุก ก็เลยอยากดูขึ้นมา

หลังจากไปดูแล้วก็เข้าใจตัวอย่างหนังขึ้นมาทันที เพราะประเด็นใหญ่ของเรื่องไม่มีอะไรเลย ถ้าจะบอกว่า batman begin บอกว่าทำไมบรูซถึงมาเป็น batman ภาคนี้ก็บอกว่าทำไมบรูซถึงไม่สามารถเลิกเป็น batman ได้ Joker ไม่ได้ออกมาเพื่อปล้นธนาคาร ทำลายล้างโลก หรืออะไรทั้งนั้น เขาออกมาเพื่อเล่นกับ batman เป็นตัวร้ายที่โรคจิตจริงๆ(แค่นี้คงไม่ถือว่า spoil นะ) ดังนั้น main หลักของเรื่องคือการ "ไล่จับ Joker" แทบไม่มีการป้องกันเมือง ไม่มีฉากไคล์แมกซ์ แต่มีเรื่องให้ขบคิด และฉากสนุกๆเต็มเรื่องไปหมด

หนังเสนอประเด็นหลายอย่างมาก ความบ้าสติแตกของ joker ซึ่งเชื่อในความชั่วร้ายของมนุษย์ที่มีอยู่ในสันดาน ความดีที่ยังมีเหลืออยู่ในสังคม อัศวินรัตติกาลที่ปกปิดหน้าตา ต่อสู้กับเหล่าร้ายอย่างเงียบๆ และอัศวินแห่งแสงสว่างที่เปิดเผยตัวตนสู้กับผู้ร้ายโดยไม่เกรงกลัว ผู้ที่ผลักดันไปยังด้านมืด และความจริงที่ไม่สมควรถูกเปิดเผย

ถ้าจะวิเคราะห์ให้ลึกคงต้อง SPOIL นะ ดังนั้นต่อจากนี้จะ Spoil แล้ว

ด้านล่างนี้ออกจะเพ้อแบบเครียดๆ หน่อยนะ อ่านไปก็ทำใจไว้ด้วย

ความบ้าของ Joker : Joker เป็นตัวร้ายที่ออกมาด้วยความเพี้ยนเต็มพิกัด ใครเข้าใจว่าพี่แกต้องการอะไรบอกด้วยนะ เท่าที่ดูไปเข้าใจว่า Joker ต้องการแกล้ง batman เท่านั้นเอง ให้คนที่สนับสนุนเปลี่ยนมาต่อต้าน ให้คนที่ดีเปลี่ยนเป็นคนเลว

  • การกระทำบางอย่างของคนบางคนก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล เพียงแค่เขาอยากทำเท่านั้น

ความชั่วร้ายของคน ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ : เมื่อ Joker ออกมาบอกว่าเขาจะฆ่าต่อไปเรื่อยๆ จนกว่า batman จะออกมาเปิดเผยตัว ผู้คนก็อยากให้เขาออกมาสละตัวเอง โดยที่ไม่คิดถึงว่าก่อนหน้านี้ batman ได้ช่วยพวกเขาไว้ขนาดไหน เมื่อ Joker บอกให้ฆ่าคุณผู้ตรวจสอบบัญชี ไม่อย่างนั้นเขาจะระเบิดโรงพยาบาล ก็มีคนหมายจะฆ่าเขาหลายคน ตอนที่ Joker ขู่จะระเบิดเรือ คนส่วนใหญ่ก็ต้องการให้ระเบิดอีกลำเพื่อให้ตัวเองรอดไป

  • อะไรกันแน่คือสิ่งที่ถูก batman ควรจะออกมาเสียสละตัวเอง เปิดเผยตัว โดนจับ แล้วภาวนาว่า Joker จะไม่ทำอะไรผู้คนอีก หรือเขาควรจะปล่อยให้ Joker ฆ่าคนต่อไป และพยายามตามจับตัว Joker ภายใต้การสังเวยชีวิตของชาวเมือง ถ้า Joker เรียกร้องชีวิตของ batman ล่ะ การเสียสละชีวิตเพื่อหยุดการฆ่าครั้งนี้ ทำได้ ณ ตอนนี้ หรือการเสียสละชื่อเสียง เจ็บปวดกับการทำอะไรไม่ได้ ปล่อยให้มีการฆ่าต่อไปเรื่อยๆ เพื่อรอวันที่จะหยุดการฆ่าตลอดไป ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
  • ถ้าเราตกอยู่ในสถานะการณ์แบบชาวเมืองจะรู้สึกอย่างไร เราจะไม่โกรธแค้น batman ได้หรือไม่ เราจะคิดได้ไหมว่าดีแล้วที่เขาไม่ออกมาเปิดเผยตัว ทั้งๆที่ตัวเรา ครอบครัว เพื่อน เสี่ยงต่อการถูกฆ่าอยู่ทุกวัน? ถ้าการฆ่าคนๆ หนึ่งที่ไม่มีความผิด สามารถช่วยคนมากมายได้ เราควรจะฆ่าเขาหรือไม่? ไม่ว่าอย่างไรคนเราส่วนใหญ่ก็เห็นแก่ตัว ไม่ว่าจะเป็นเห็นแก่ตัวเอง ครอบครัวของตัวเอง เพื่อนของตัวเอง โรงเรียนของตัวเอง ประเทศของตัวเอง และโลกของตัวเอง
  • ผู้คนบอกว่าเรืออีกลำมีแต่พวกนักโทษ และพวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถ้าตกลงใจกดระเบิดเรืออีกลำไป พวกเขาจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันฆ่าผู้อื่นหรือเปล่า เป็นฆาตกรหรือไม่ การฆ่าคนเพื่อให้ตัวเองรอดต่างกับการฆ่าคนในสถานการณ์อื่นหรือไม่
  • สุดท้ายแล้ว ไม่มีใครกดระเบิด เพราะ คุณธรรม? หรือ เพราะไม่อยากให้ตัวเองเป็นฆาตกร? คุณธรรมคืออะไร ทั้งๆ ที่เสียงมากกว่าครึ่งบอกให้มีการกดระเบิด แต่ไม่มีใครสักคนกล้าทำ เพราะว่าการคิด หรือพูดว่าจะทำชั่ว มันง่ายกว่าการลงมือทำหรือเปล่า หรือว่าทุกคนก็แค่กลัว แค่เห็นแก่ตัว ไม่อยากจะรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต ไม่อยากจะถูกมองว่าเป็นฆาตกร บางครั้งคุณธรรมก็เกิดขึ้นจากความเห็นแก่ตัวได้เหมือนกันนะ เหมือนกฎทางสังคม ถ้าเราไม่ทำดีก็จะไม่มีใครรัก ถ้าเราทำชั่วก็จะถูกเกลียด

สิ่งดีๆ ที่ยังเหลืออยู่ในสังคม : เป็นฉากที่ชวนให้อิ่มใจที่สุดในเรื่อง กินเวลาไม่ถึง 3 วินาที่ ตอนที่ผู้ร้ายคนหนึ่งในเรือบรรทุกนักโทษ เดินมาหลอกเอาตัวจุดระเบิดไปจากผู้คุม แล้วทิ้งออกนอกหน้าต่างไป ไม่รู้ว่าเขาทำผิดอะไรมาถึงมาอยู่ในคุก แต่เขาก็รู้ว่าไม่ควรฆ่าผู้บริสุทธิ์ในเรืออีกลำเพื่อให้รอดชีวิต และทางเดียวที่จะตัดใจจากการกดระเบิดไปได้ ก็คือ ทิ้งมันซะเลย (ดูแล้วสะใจจริงๆ) ดูแล้วเขาเป็นคนดีกว่าพวกที่ไม่ใช่นักโทษ แต่พูดปาวๆ ให้กดระเบิดอีก T^T ซาบซึ้ง

ฮีโร่ในเงามืด ฮีโร่ในแสงสว่าง : บรูซออกมาเป็นฮีโร่ในเงามืด ปกปิดตัวเอง คอยปราบเหล่าร้าย แต่ทำไมเขาต้องปกปิดตัวเองล่ะ?? เพราะใส่หน้ากากแบทแมนมันเท่ห์กว่าน่ะสิ (อิอิ) ถ้าไม่นับเรื่องที่ต้องทำให้ตัวการ์ตูนเท่ห์ เพราะอะไรล่ะ เขาอยากปิดทองหลังพระ? เมืองกอธแธมมันเลวร้ายซะจนใช้วิธีตามกฏหมายจัดการไม่ได้? หรือว่าเขาเพียงไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวให้ตัวเขาและคนที่เขารักตกเป็นเป้าของผู้ร้าย ไม่ว่าจะเหตุผลใดดูเหมือนว่าแบทแมนจะรอให้ทุกคนได้รับแรงบันดาลใจจากเขา ลุกขึ้นต่อสู้กับความชั่วร้าย แต่ผลก็คือ มีคนออกมาเลียนแบบเขาเต็มไปหมด แล้วฮาร์วีย์ก็ออกมา เชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นแค่ฮีโร่ของชาวกอธแธม แต่เป็นฮีโร่ของบรูซด้วย แสงแห่งความหวังของกอธแธมถูกจุดขึ้น ถ้ามีคนๆหนึ่งออกมาเปิดเผยตัวสู้กับความชั่วร้าย คงจะไม่ยากที่คนอื่นๆ จะตามเขาไป และในที่สุดบรูซจะได้เลิกเป็นแบทแมนสักที

ฮีโร่ในเงามืดต้องเผชิญกับความไม่เชื่อใจ ไม่สามารถประกาศเจตนารมณ์ของเขาได้ ไม่สามารถบอกใครๆ ได้ว่าเขาทำอะไรอยู่ ไม่สามารถแก้ตัวได้เมื่อมีผู้สงสัยหรือใส่ร้าย แต่ฮีโร่ในแสงสว่างซึ่งทุกคนเห็นว่าเขาทำอะไรอยู่บ้าง และทุกคนก็รวมถึงเหล่าร้ายด้วย แน่นอนว่าเขาตกเป็นเป้าได้ง่ายๆ และแล้วแสงสว่างที่ถูกจุดขึ้นนั้นก็ต้องดับวูบลง เหลือเพียงความมืดของรัตติกาล

สู่ด้านมืด : เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ถ้ายิ่งจิตใจของคนเอนเอียงไปด้านหนึ่งมากเท่าไร ยิ่งเป็นการง่ายที่จะฉุดให้เขาไปสู่อีกด้านหนึ่งมากเท่านั้น ฮาร์วีย์เป็นตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้ จิตใจที่ดีของเขาเมื่อถูกสั่นคลอนด้วยการตายของคนที่รักที่สุด และบวกด้วยการผลักดันอีกเล็กน้อยของ Joker เขาก็ก้าวเข้าสู่ด้านมืดอย่างกู่ไม่กลับ ไม่แบ่งแยกว่าใครเป็นคนดี คนเลว ทั้งๆ ที่บรูซก็ได้สูญเสียคนที่เขารักที่สุดไปเช่นกัน แต่บรูซกลับยังทานทนอยู่ได้ เพราะ Joker ไม่ได้มาพูดกับเขา? เพราะเขายังเหลือเพื่อนพ้องอยู่? เพราะเขาเคยผ่านความเจ็บปวดเช่นนี้มาแล้ว? หรือเพียงแค่คนเราสามารถ"เลือก"ที่จะเป็นได้

ความจริงบางอย่างไม่ควรเปิดเผย : ตามหลักศาสนาพุทธกล่าวว่า ความจริงควรพูดเมื่อสมควรแก่โอกาส แต่ถ้าโอกาสนั้นไม่มาถึงล่ะ? คุณผู้ตรวจสอบบัญชีที่ทราบว่าแบทแมนเป็นใครควรจะเปิดเผยหรือไม่ การโกหกว่าฮาร์วีย์เป็นคนดีจนวาระสุดท้ายจะทำให้ชาวเมืองมีแรงบันดาลใจที่จะต่อสู้กับความชั่วร้ายจริงหรือ แม้แต่อัลเฟรดก็ยังตัดสินใจเก็บความจริงที่ว่าเรเชลจะไม่แต่งงานกับบรูซไว้กับตัวเองตลอดไป

สรุปดูเสร็จแล้วค่อนข้างจิตตก เพราะเนื้อหาอันเข้มข้น ซึ่งสะท้อนสังคมและความเป็นมนุษย์ ถึงแม้ Joker จะถูกจับแต่ Joker ก็ได้ดับแสงเล็กๆ แห่งความหวังของกอธแธมไปแล้ว สุดท้ายแล้ว batman ก็ยังต้องต่อสู้ต่อไปคนเดียว ทำให้รู้สึกว่าคนดีที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความถูกต้องเพียงลำพัง ก็โดนทำร้ายจนไปไม่รอดอยู่ดี

ปล. two face ออกมาไม่ทันไร ตายซะแล้ว(ตกลงเขาตายใช่ไหม) two face ในความทรงจำจะดูเท่ห์ๆ จะทำชั่วทำดีขึ้นกับเหรียญ ประมาณว่าตูจะทำชั่วหรือดีก็ได้ทั้งนั้น แต่ที่เรื่องดู two face ค่อนข้างเป็นพวกแค้นฝังหุ่นมากกว่า โยนเหรียญแล้วดีก็โยนอีก เหมือนพยายามจะแก้แค้นให้จงได้ซะมากกว่า

ปล2. ตอนเห็นฮาร์วีย์โยนเหรียญครั้งแรกก็รู้สึกเลยว่า ไอ้นี่ต้องกลายเป็น two face แหงๆ จริงๆ ซะด้วยสิ

ปล3. เรื่องที่เหรียญมีแต่หัว เคยอ่านมาจากหนังสือเล่มนึง ไม่รู้ใครได้รับแรงบันดาลใจมาจากใครนะ แต่ว่าชอบมากเลย "ผมเลือกชะตาชีวิตให้ตัวเอง" โยนเหรียญเพื่อให้คนอื่นยอมรับเท่านั้นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

หม่ำๆ เนื้อย่าง: Giant Yakiniku

วันนี้ได้ไปกินเนื้อย่างมา หลังจากที่ชวนเตื้อยไปเมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากไปเจอใน web ว่าร้านนี้อร่อยและบริการดี(ถึงจะมีคนบอกว่าช้าไปบ้าง แต่พนักงานก็ยิ้มแย้ม และเต็มใจให้บริการ) หลังจากเลื่อนไปเลื่อนมาอยู่พักหนึ่ง ก็มาตกลงกันได้ว่าเป็นวันพุธ

แต่ทว่าทำไมสรุปคนที่เราชวนหายไปหมดเลยเนี่ย T_T เริ่มจากเหมี่ยวบอกว่าติดธุระ น้องต้นบอกไม่ไป น้องแฮทตอนเช้าบอกจะไป แต่ตอนบ่ายดันมีเรื่องต้องไป clear ด่วน คนอื่นๆไม่ว่างบ้าง ไม่ไปบ้าง เตื้อยโทรไปชวนโบว์ก็ติดนัดกับคุณพ่อพอดี ทำไปทำมาก็เหลือแค่ 3 คน พี่เต่า เตื้อย ยู้ ไม่เป็นไร คนน้อย จะได้ย่างสุกเร็วๆ ไม่ต้องแย่งกันกิน

ว่าแล้วก็โทรไปจองร้าน คุณคนที่ร้านให้เบอร์จองมา แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวจะโทรมา confirm อีกที เพราะว่ามีคนมาเยอะ ขอไปจัดก่อน ประมาณ 5 นาที แต่ผ่านไปครึ่งชม.แล้ว ก็ไม่เห็นมีใครโทรกลับมา ด้วยความที่ติด case ก็เลยใช้พี่เต่าโทรกลับไป สรุปว่า confirm ได้ที่นั่ง เอ้า ลุย

เนื่องจากเราอยู่ไกลถึงศิริราช ก็เลยกะว่าจะออกสัก 5 โมง แต่ทว่า!!!! เมื่อไหร่ที่เราคิดจะออกเร็ว เมื่อนั้น case ด่วนจะเข้ามาเสมอ สรุปก็เลยนั่งแก้ case อยู่กับต้นจนถึง 5 โมงครึ่ง พอเสร็จก็รีบชิ่งออกมาโดยเร็ว

จากกฎของมัวร์(น้องชายของมั่ว) กล่าวไว้ว่า ความถี่ของสายรถเมล์ที่ต้องการนั่งจะแปรผกผันกับความรีบ และสายรถเมล์ที่ปกติจะขึ้น แต่วันนี้ไม่ต้องการขึ้นจะมามากเป็นพิเศษ - -" รอรถอยู่นานมาก ในที่สุดรถก็มา(กำลังคิดว่าถ้ายังไม่มาอีกจะไปอีกทางแล้วนะ) แล้วก็เจอกฏข้อที่ 1 ของการจราจร ทางที่ปกติไม่ค่อยติด เมื่อไหร่ที่รีบมันจะติดขึ้นมาทันที ปกติทางที่ไปนี่รถไม่ค่อยมี แต่ทำไมนะ วันนี้รถเยอะเหลือเกิน ติดมันทุกแยก (เศร้า T_T)

เตื้อยซึ่งวันนี้ไปเทรนที่ปิยะธนา ก็นั่งรออยู่ตรงนั้นแหละ(คงหิวแย่แล้ว) ในที่สุดก็มาเจอพี่เต่าจนได้ ตอนนั้นก็ 6:30 เลยมาแล้วด้วย กำลังจะโทรไปเลื่อน ทางร้านก็โทรมาพอดี๊พอดี จะเลื่อนเป็นทุ่มครึ่ง แต่เขาบอกว่าต้องเป็น 2 ทุ่มเลย ก็ได้ฟะ ยังไงก็ไปไม่ทันทุ่มอยู่แล้ว สงสารก็แต่เตื้อยนั่งรอนานคงจะหิว

หลังจากฟันฝ่ารถติดมา ก็เข้ามาถึงซอยแล้ว ขับตรงๆ ไปก็เห็นว่าน่าจะตึกนี้แหละ เข้าไปเลย แต่พอรับบัตรจอดรถมา ทำไมเป็น resort อะไรเนี่ย - -" เหมือนตึกมันชื่อ Fuji market อะไรสักอย่างนี่นา แต่ก็เข้ามาแล้ว แถวนั้นก็ไม่เห็นตึกอื่นแล้ว ก็เลยตกลงใจจอดซะ ถ้าผิดตึกค่อยเดินไปก็ได้น่า แต่ก็สรุปว่ามาถูกตึก โชคดีไป

ไปถึงร้านทุ่มครึ่งพอดี ก็เลยถามว่าเข้าไปเลยได้ไหม เขาก็บอกว่าให้รอแป๊บนึง และให้สั่งอาหารไว้ก่อนได้ ก็เลยซัด เนื้อไปอย่างละ 2 (เนื้อติดมัน เนื้อลาย เนื้อสันใน รวมเป็น 6), กุ้ง 2, ปลาแซลม่อน, เห็ดเออรินจิ พี่เต่าสั่งข้าวไป ไอ้เราก็กลัวกินไม่หมด ก็เลยยังไม่สั่งข้าว รออยู่ไม่นาน ก็ได้เข้าไปนั่งกินสบายใจ กินกัน 3 คนขอให้เขาเปิด 2 เตาเลย ย่างกุ้งเตานึง ย่างเนื้อเตานึง แล้วก็สรุปว่าสั่งข้าวมากินด้วย เพราะว่าเนื้อมันค่อนข้างเข้มข้น กินเปล่าๆ อาจจะเลี่ยนได้ ไอ้ที่กลัวว่าจะกินไม่หมด สรุปก็กินหมด (ถ้าใครเห็นเราลังเลว่าจะสั่งอะไรแล้วกลัวกินไม่หมดเนี่ย ให้บอกว่าเดี๋ยวช่วยกิน ถ้าเราตกลงสั่งมา เดี๋ยวก็กินหมดคนเดียวเอง - -" สรุปที่กลัวกินไม่หมดเนี่ย แค่กลัวตัดกำลัง หรือกลัวอิ่มเกินเหตุ)

กินแล้วอร่อยสุดๆ ตอนแรกกะว่าจะนับ กินไปกินมาลืมนับ รู้แต่กุ้งไม่ต่ำกว่า 5 จาน น่าจะเกิน 30 ตัว(กุ้งนี่ส่วนใหญ่เห็นเตื้อยกิน) เนื้ออีกอย่างน้อย 15 จาน ปลา 1 เห็ด 2 กินไปแอบคิดในใจว่าจะกินไก่ด้วย (เขาโฆษณาว่าเป็นเนื้อน่อง ไม่มีอก กินแล้วนิ่มแน่นอน) แต่พอเองเนื้ยเข้าปากอีกชิ้น ก็คิดว่า สั่งเนื้อดีกว่า

ตอนกินๆ ไปไฟดับ ก็เลยสงสัยเอ๊ะ! เขาจะไล่เราแล้วเหรอกินยังไม่อิ่มเลย T.T แล้วก็เห็นเทียนแว๊บๆ อ๋อ++ โต๊ะข้างๆ เขาเป่าเค้กวันเกิด สุขสันต์วันเกิดนะคะ ^_^

กินกันจนอิ่มแล้ว ก็กินของหวานกัน ไอซ์ เยลลี่ ซึ่งก็คือน้ำแข็งใสใส่เยลลี่ ราดน้ำแดง แต่ไม่มีนม รสชาติ ก็น้ำแดงน่ะแหละ(ชอบน้ำเขียวมากกว่า) พี่เต่ากับเตื้อยกินของหวานแล้ว แต่เราขอเนื้ออีกจานนะ แหะๆ แล้วก็ตบด้วยของหวานเหมือนกัน

สรุปราคาแล้ว 450 บาทถ้วน มีน้ำ refill ให้ด้วย อิ่มอร่อยมากค่ะ วันหลังอาจจะมีชวนไปกินอีก เขาบอกว่าถ้าจะไปวันศุกร์ให้จองล่วงหน้าสัก 2 วันนะคะ (งั้นคงไม่ไปวันศุกร์แล้วล่ะค่ะพี่)

ใครอยากอ่าน review หรือแผนที่ร้านลอง search ใน google หรือ google map ดูนะคะ หาไม่ยากหรอก

->> มาเพิ่ม link แผนที่ให้ค่ะ

วันนี้อิ่มแล้วก็ไปนอนก่อนล่ะ บ๊าย บาย

ปล. พิมพ์ไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่เพิ่งได้มา up ดังนั้นที่บอกว่าวันนี้ก็คือเมื่อวานนะ

วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

หนีเที่ยวไปหลบฝน : Part 2 อาหารกลางวัน

ตอนกลับมาจากไปเที่ยวรู้สึกว่ามีเรื่องจะเขียนเต็มเลย ดังนั้นเรื่องนี้คงยาวมากแน่ๆ ถ้าไม่ขี้เกียจพิมพ์จนลืมไปก่อนนะ
คราวที่แล้วถึงเวลาอาหารแล้ว พวกเราก็พากันออกจากเต็นท์ และแล้วฝนก็เริ่มตกปรอยๆ ลงมา แย่ล่ะสิ T_T จะได้เที่ยวไหมเนี่ย แต่พนักงานบอกว่าสองสามวันก่อนหน้านี้ที่ฝนตกหนักในกรุงเทพฯ ที่เขาเขียวไม่ตกเลย ซึ่งหลังจากกินข้าวเสร็จ ฝนปรอยๆ นั่นก็หยุดสนิท และไม่ตกลงมาอีกเลย(ดีจริงๆ)
มาว่ากันด้วยเรื่องอาหารดีกว่า อาหารเป็นแบบเติมไม่อั้น มีกลุ่มพนักงานบริษัทมาสัมมนากลุ่มนึงสิบกว่าคน ซึ่งเขาจะได้กินเป็นแบบ line buffet ให้เดินไปตักเอง ส่วนพวกเรา เขาตักกับข้าวใส่จานมาให้แล้ว มีกับข้าว 4 อย่าง + สปาเกตตี้เป็น 5 อย่าง แล้วคุณพนักงานก็บอกว่า "ไม่พอเติมได้นะคะ" อาจจะไม่หมดมากกว่าไม่พอนะคะ



เห็นมีหนุ่มสาวคู่นึงคงซื้อ package เหมือนกัน มากันสองคน เขาก็ตักอาหารให้เท่ากับที่กินสี่คนนี่เลย เห็นแล้วเสียดาย เพราะคงเหลือแน่ๆ สงสัยถ้าตักไม่เต็มจานจะดูไม่สวยล่ะมั้ง
สรุปว่าก็กินเข้าไปกันจนหมด อาหารอร่อยใช้ได้เลย แล้วก็ขอสปาเกตตี้มาอีกจาน บอกเขาไปว่าขอจานเล็กๆ แบบกินกันสองคนพอ เขาก็ทำมาจานใหญ่เท่าเดิมเลย แต่ถึงอย่างไรก็กินเข้าไปจนหมดอยู่ดีล่ะนะ
กินอิ่มแล้วเหลือเวลาเล็กน้อย ก็ไปเข้าห้องน้ำ เตรียมตัวไปทัวร์ให้อาหารสัตว์

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ชีวิต ชิว ชิว : Museum Siam

เมื่อวันอาสาฬหบูชาที่ผ่านมาได้หยุด 1 วัน ก็เลยไปเที่ยว Museum Siam มา เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งใหม่ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงว่ามีสื่อที่ปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมได้อย่างไม่น่าเบื่อ(ดูจะใช้ศัพท์สูงจังเลยวันนี้)

มาพูดถึงความหมายกันก่อน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 กล่าวไว้ว่า
พิพิธภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของต่างๆ ที่รวบรวมไว้เพื่อประโยชน์ในการศึกษา เช่น โบราณวัตถุ หรือ ศิลปวัตถุ
พิพิธภัณฑสถาน หมายถึง สถาบันถาวรที่เก็บรวบรวมและแสดงสิ่งต่างๆ ที่มีความสำคัญด้านวัฒนธรรม หรือ ด้านวิทยาศาสตร์ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาเล่าเรียน และก่อให้เกิดความเพลิดเพลินใจ
<ที่บ้านก็ไม่มีพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหรอก ไปลอกน้องวิกกี้(พิเดีย)มา>



ดังนั้นที่พวกเราเรียกว่าพิพิธภัณฑ์กันนั้นผิดหมดเลย(เพิ่งจะรู้เหมือนกันนะเนี่ย)
ไปถึงประมาณ 10:30 อย่างแรกเลยที่รู้สึกว่าที่นี่ต่างกับที่อื่นจริงๆ อย่างแรกที่เห็นชัดๆ คือคนเยอะ ปกติไปพิพิธภัณฑสถานอื่น ที่จะกว้างๆ ไม่เบียดกัน ต่างคนก็ต่างดูไป ยิ่งบางที่ไม่ค่อยมีคนไปแทบจะไม่เห็นหน้าค่าตาคนอื่นเลย จนบางทีกลัวใครมาดักปล้น
อย่างที่สองคือเหมือนนิทรรศการมากกว่า พิพิธภัณฑสถาน ถ้าว่ากันตามความหมายที่นี่ก็มีสิ่งของที่รวบรวมเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา เหมือนกัน แต่ที่เราจะคุ้นเคยกันก็คือ สถานที่ซึ่งมีของเก่าเยอะๆ ถ้วย ชาม ไห มีด กระดูก อะไรต่อมิอะไร อยู่ในตู้กระจก (ยกเว้นถ้าเป็นวิทยาศาสตร์จะเป็นอีกแบบ) แต่ที่นี่ของเก่ามีอยู่ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นป้าย รูปภาพ คำอธิบาย วีดีโอ อธิบายความเป็นมาของไทยเรา
อย่างสุดท้ายคือ ดูไฮเทคมาก ไม่รู้คนอื่นเป็นหรือเปล่า แต่ภาพติดตาของเราพิพิธภัณฑสถานในบ้านเรามันจะเก่าๆโทรมๆ ถ้ามีปุ่มให้กดฟังคำอธิบายก็ให้เตรียมใจไว้เลยว่า ถ้าปุ่มไม่หายไป ก็กดแล้วไม่มีเสียง คงจะเนื่องด้วยงบประมาณอันมหาศาลในการบำรุงนั่นเอง แต่ที่นี่บอกได้เลยว่าของ 95% ยังใช้ได้ดีอยู่ สนุกสนานกับการดูมากๆ ไม่รู้เพราะยังใหม่อยู่หรือเปล่า ก็ได้แต่หวังว่าผู้เข้าชมจะช่วยกันรักษาของให้อยู่ไปนานๆ
web ของ Museum Siam www.ndmi.or.th อ้อลืมบอกไปเข้าฟรีนะคะ
 
ปล.







nunita
July 18 5:23 AM


ได้ข่าวว่า เฮลล์บลูบอยภาค 2 ไม่ค่อยสนุก

จริงเหรอๆ




ความจริงโดยรวมก็สนุกนะหนูนิด ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ชอบ Hellboy กัน แต่เขาไม่ชอบ Hancock นะ เราเป็นส่วนน้อย T_T








July 17 10:30 PM


พี่ก็ชอบเรื่องนี้มากกว่า Hell Boy นะ ถึงแม้จะบู้น้อยไปนิดนึง แต่ฮาและซึ้งกว่า



รู้สึกว่าพี่เต่าพยายาม comment มากเลย ไม่รู้จะ comment อะไร อ่านเฉยๆ ก็ได้ หนูไม่ว่าอะไรแล้ว :P










SoCrys
July 16 10:46 AM

อ่าน แต่ไม่เม้น จะทำมะ



ไม่ทำไมค่ะ ใครจะกล้าทำอะไรน้องแฮทล่ะคะ










วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Hancock : หนังที่มีฮีโร่ แต่ไม่ใช่หนังฮีโร่

up อีกแล้ว คนอ่านคงจะเริ่มขี้เกียจอ่านกันบ้านแล้วล่ะมั้ง ช่วงนี้ถึงไม่มีคนเม้นเลย(ความจริงเห็นเม้นกันอยู่ไม่กี่คน คงเม้นกันจนไม่รู้จะเม้นอะไรแล้ว)

ถ้าอารมณ์ยังค้างอยู่เดี๋ยวจะมี entry เพ้อเจ้อตามมาภายในวันสองวัน แต่ตอนนี้มาเข้าเรื่อง Hancock กันก่อนเถอะ

ถ้าตามการจัดพวกหนังของยู้ Hancock ไม่ใช่หนังฮีโร่เลย เพราะ..... ไม่มีตัวร้ายให้ปราบน่ะสิ ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ร้ายเลย แต่ว่ามีแต่ผู้ร้ายตัวประกอบ ปกติหนังฮีโร่ต้องมีผู้ร้ายเก่งๆ ให้พระเอกกระอักเลือดสักทีสองทีก่อนแล้วค่อยชนะ และพอออกจากโรงเราก็ต้องตอบได้ว่าตัวร้ายของภาคนี้เป็นใคร แต่ตัวร้ายของเฮียวิลแกคือโจรปล้นธนาคาร ปล้นร้านขายของ ชื่อยังไม่มีด้วยซ้ำมั๊ง(ถ้าใครรู้ว่าผู้ชายที่ยิงพุง Hancock ชื่ออะไรก็ช่วยบอกที)

สรุปแล้วตามการจัดประเภทของยู้ Hancock เป็นหนัง Drama~!! ถึงแม้จะเป็น comedy ซะเยอะ แต่เราไม่ขำซะอย่าง(คนสร้างคงด่า อีนี่หนังตูทำมาให้ตลก) ถ้าเทียบกับ Hellboy ชอบเรื่องนี้มากกว่านะ แต่ถ้าดูจากผล vote ส่วนใหญ่จะชอบ Hellboy มากกว่า คงเพราะมันบู๊กว่าล่ะมั๊ง

ถ้าลองอ่านวิจารณ์ดูเหมือนหลายๆ คนจะไม่ชอบเนื้อเรื่อง แต่แปลกที่เรารู้สึกชอบเนื้อเรื่องนี้มากๆเลย(มีหนังหลายเรื่องที่คำวิจารณ์ไม่ค่อยดี แต่ว่าชอบอ่ะ) บางคนบอกว่า wanted สนุกกว่า(ถ้าเทียบแต่ฉากบู๊ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น) บางคนบอกว่าหนังเหมือนเอา 2 เรื่องมาต่อกัน บางคนไม่ชอบที่เหมือนหนังสามี ภรรยาทะเลาะกัน บางคนบอกว่าบทหนังไม่มีดูขาดๆ เกินๆ แต่หนังเรื่องนี้ก็เรียกน้ำตาของเราได้ตอนดูแล้วกัน (หรือว่าชั้นบ่อน้ำตาตื้นเองนะ)

ข้างล่างนี้ spoil นะตัวเอง

ตัวอย่างหนังอันแรกที่เปิดมาไม่อยากดูเรื่องนี้เลย รู้สึกเหมือนหนังตลกทำลายข้าวของ แต่หลังจากที่ตัวอย่างหนังแบบยาวออกมาก็เริ่มอยากดูขึ้นมา น่าจะเป็นเรื่องราวของฮีโร่แย่ๆ ซึ่งมาเจอกับนัก PR ช่วยปรับภาพลักษณ์ของเขาให้ดีขึ้น ก่อนดูก็คิดว่าคงจบอยู่ 2 แนว ถ้า Hancock ไม่กลายเป็นฮีโร่ที่ดี ก็เป็นประมาณว่าการดูแลแต่ภาพลักษณ์กลับทำให้ช่วยคนได้น้อยลง และในที่สุดก็กลับไปเป็นอย่างเดิม(หรืออาจจะดีกว่าเดิมหน่อย)

แต่ดูแล้วหนังกลับจับประเด็นคนละเรื่อง (ความคาดไม่ถึง เลยอาจจะทำให้ชอบก็ได้) ประเด็นหลักสำคัญของหนังคือ ความโดดเดี่ยวของ Hancock ไม่ว่าใครจะดูเป็น 2 ประเด็นคือ 1 การปรับปรุงภาพลักษณ์ และ 2 เรื่องในอดีตระหว่าง Hancock กับภรรยา แต่ถึงอย่างไรใน 2 ประเด็นนี้ก็มาจากเรื่องเดียวกัน คือ ความโดดเดี่ยวของ Hancock

หนังครึ่งแรกก็เป็นอย่างที่เห็นๆกันในตัวอย่างหนัง Hancock ออกจะเป็น Hero ประเภททำลายบ้านเมือง โดยปกติคงจะไม่แปลกถ้า Hero จะทำลายบ้านเมืองบ้างตอนสู้กับผู้ร้าย แต่นี่พี่แกเล่นทำลายบ้านเมืองโดยเอารถของผู้ร้ายไปเหวี่ยงชนตึกเพราะโมโหที่โดนด่า ไม่ใช่ว่าสู้กับผู้ร้ายอยู่แล้วโดนเหวี่ยงไปชนตึกพัง จนวันหนึ่ง Hancock ได้ไปช่วยชีวิตประชาสัมพันธ์หนุ่มไว้ (โดยทำรถไฟและรถพังไปอีก) ซึ่งในขณะที่ทุกคนกำลังด่า Hancock อยู่ เรย์(PR หนุ่มคนนั้น)ก็พูดขึ้นมาว่าถึงแม้ว่าพี่แกจะทำไม่ถูกนัก แต่ Hancock ก็ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ และกล่าวขอบคุณ Hancock พร้อมกับชวนไปกินข้าวเย็นที่บ้าน เรย์ได้บอกกับ Hancock ว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้เพราะเขารู้สึกโดดเดี่ยว และหาทางออกด้วยการกินเหล้า และอาละวาด ซึ่งทำให้ผู้คนไม่ยอมรับ และวนกลับมาทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวอีก เรย์อยากใช้ความเป็นนักประชาสัมพันธ์ปรับภาพลักษณ์ให้ Hancock เสียใหม่

ดูแค่ฉากนี้ก็หลงรักตานี่เข้าอย่างจัง ผู้ชายอะไรเป็นคนดีมากๆ ตอนนี้เวลาจะพูดถึงเรย์ จะหลุดเรียกว่าพระเอกอยู่เรื่อย ฟังจากที่เรย์พูดก็น่าคิด ทุกคนมองแต่ผลเสียหาย จนมองข้ามสิ่งดีๆที่ Hancock ทำลงไป เหมือนกับมีเพื่อนมาช่วยเราทำงานซึ่งจะต้องส่งพรุ่งนี้แล้วที่บ้าน แต่ดันทำแจกันเจ้าคุณปู่ของเราตกแตก การจะไปโวยวายว่าแกไม่มาช่วยก็ดีอยู่แล้ว มันก็คงเป็นการทำร้ายจิตใจเขามากไป (ถึงแม้เรื่องแจกันจะเป็นอุบัติเหตุ แต่เรื่องของ Hancock ดูเหมือนเป็นการตั้งใจก็เหอะ) ลองคิดดูว่าถึงแม้ Hancock จะเป็นพวกขี้เหล้า ใจร้อน โมโหง่าย และต้องโดนด่าอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็เลือกที่จะนำพลังของเขาไปช่วยคนอื่นอยู่เสมอ ทั้งๆที่ถ้าเขาแค่เมาเหล้าไปวันๆก็ได้

ตอนไปกินข้าวที่บ้าน แมรี่ ภรรเมียของเรย์ ก็ทำหน้าทำตาแปลกๆ อยู่ตลอดและยิ่งตอนที่เรย์บอกว่าจะเปลี่ยนแปลง Hancock เธอบอกว่าคนอย่างนี้เปลี่ยนไม่ได้หรอกฉันรู้จักดี ทำให้สงสัยขึ้นมาตะหงิดๆ ว่าสองคนนี้จะเคยเป็นแฟนกันแล้วเลิกกันไปหรือเปล่าเนี่ย แต่ดูท่าทาง Hancock จะไม่รู้จักแมรี่มาก่อน?? ก็เลยได้แต่เก็บความสงสัยไว้

ในที่สุดรัฐบาล(หรืออะไรเทือกนั้นแหละ) ก็ประกาศจับ Hancock เข้าคุก ซึ่งเรย์ก็เห็นเป็นโอกาสดีและส่ง Hancock เข้าคุกไปเลย เรย์ไปเยี่ยม Hancock อยู่เสมอพร้อมกับอบรมวิธีช่วยปรับภาพลักษณ์ ซึ่ง Hancock ก็ฟังด้วยสีหน้าแบบที่ไม่คิดจะทำตามอยู่เสมอ และระหว่าง Hancock อยู่ในคุกก็มีแสดงอาการใจร้อนออกมาบ้าง แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะเชื่อใจเรย์ และรออยู่ในคุก(ทั้งๆที่จะหนีก็ง่ายนิดเดียว) ระหว่างนั้น Hancock ได้เข้ากลุ่มบำบัด(ไม่รู้เรื่องเหล้า หรือเรื่องใจร้อนนะ) เป็นการนั่งล้อมวงเล่าเรื่องตัวเองให้คนอื่นฟัง ซึ่งตลอดมาเขาเป็นผู้ฟังมาตลอด พอถึงตาเขาเล่าก็จะผ่าน แต่มาวันหนึ่งหลังจากโดนขยั้นขยอ Hancock ได้เราเรื่องตัวเองออกมา 2 ประโยค และได้รับเสียงปรบมือ เป็นจุดเล็กๆของหนังที่ทำให้รู้สึกว่า Hancock ได้รับรู้ว่าการมีผู้คนยอมรับนั้นเป็นอย่างไร แล้วในที่สุดก็เป็นไปตามแผน เมื่อแมวไม่อยู่ หนูร่าเริง อาชญากรรมสูงขึ้น จนผบ.ตร.ต้องเชิญ Hancock ออกไปช่วยปราบผู้ร้าย

เข้าตามภาษิตที่ว่าต้องเสียไปก่อนถึงจะเห็นคุณค่า ซึ่งกลับมาคราวนี้ Hancock ทำตามคำแนะนำของเรย์ทุกอย่าง ถึงแม้จะขัดๆเขินๆ ไปบ้างแต่เขาก็ได้รับการยอมรับและเสียงปรบมือจากผู้คน

เรื่องเหมือนจะจบ แต่ไม่จบถึงจะได้รับการยอมรับ แต่ก็ในฐานะ Hero แต่เราเพิ่งจะได้รู้ตอนนี้เองว่าเขาความจำเสื่อมเขาฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลเมื่อ 80 ปีก่อน(หลังจากโดนใครก็ไม่รู้ผ่าหัวแยก) พบว่าตัวเองมีพลังแบบนี้อยู่แล้ว และจำอะไรไม่ได้เลย ไม่มีใครสักคนที่จะมาบอกว่าเขาเป็นใคร เขาสงสัยว่าตัวเขาเลวถึงขนาดไม่ยอมมีใครมาบอกว่ารู้จักเขาเลยหรืออย่างไร

ตรงนี้เองคงเป็นสาเหตุของปมในใจของ Hancock และเป็น point ที่ทำให้อีกครึ่งเรื่องดำเนินต่อไปได้ ถึงแม้จะได้รับการขอบคุณการยอมรับ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ดี ไม่เหมือน Batman Superman หรือ Spiderman ที่ยังมีชีวิตอีกด้านหนึ่งซึ่งไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นฮีโร่ ไม่เหมือน The Hulk ซึ่งมีแฟนรออยู่ แม้แต่ Hellboy ก็ยังมีลิซ มีเพื่อนๆ แต่ Hancock อยู่ตัวคนเดียว

ตอนที่บอกว่าฟื้นมาเมื่อ 80 ปีก่อนไม่ผิดหรอกค่ะ เฮียแกบอกว่าตัวเองหน้าตาแบบนี้มานานแล้ว กรี๊ด!!!!! 80 ปี ตอนที่บอกว่าความจำเสื่อม อุตส่าห์ลุ้นว่าเป็นแฟนเก่าแมรี่ก่อนประสบอุบัติเหตุ ถ้า 80 ปีก็ไม่มีทางสินะ แต่แล้ว.......

ที่คิดไว้จริงๆ ด้วย สองคนเป็นแฟนเก่ากัน แต่ที่คาดไม่ถึงคือ แมรี่มีพลังด้วย ตอนนี้จะมีมุขตลกและฉากบู๊ พ่อแง่แม่งอนเล็กน้อย แล้วเรย์ก็มาเห็นว่าแมรี่มีพลังพิเศษด้วย ซึ่งสรุปแล้วก็คือเขาสองคนถูกสร้างมาให้คู่กัน จะมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ซึ่งในอดีตพวกเขาเป็นสามีภรรยากันและดีๆ เลิกๆ อยู่หลายครั้ง จนแมรี่ตัดสินใจจะมาแต่งงานกับคนธรรมดาแทน

งานนี้ Hancock ก็เครียดสิครับ อุตส่าห์รู้ว่าไม่ใช่ตัวคนเดียว แต่เขาดันไม่เอาอีก ระหว่างจะไปซื้อเหล้ากิน  เจอกับโจรปล้นร้านพอดี แล้วก็โดนยิงเข้าที่ท้อง แต่!! คราวนี้กระสุนยิงเข้า O_o แมรี่ตามมาอธิบายว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาทั้งคู่อยู่ใกล้กันพลังจะเสื่อมเพื่อให้พวกเขาสามารถมีชีวิตร่วมกันอย่างคนธรรมดา แก่เฒ่าไปด้วยกันได้ แต่ในอดีตที่ผ่านมาเมื่อเขาอยู่ด้วยกันมักจะเกิดเหตุร้ายทำให้ Hancock ต้องปกป้องแมรี่จนปางตาย ทุกครั้งแมรี่จะหนีออกมา ทำให้พลังของเขาฟื้นคืนและรักษาตัวเองได้ แต่ในครั้งสุดท้ายเมื่อ Hancock ฟื้นขึ้นมากลับจำอะไรไม่ได้ แมรี่จึงเห็นเป็นโอกาสดีที่จะไม่ทำให้เขาต้องเจ็บตัวอีก

ดูท่าสองคนจะเข้าใจกัน ทำตาหวานใส่กัน กรี๊ดๆๆ แล้วเอาเรย์ไปทิ้งไว้ไหนล่ะ ผู้ร้ายก็แหกคุกออกมาแก้แค้นพอดี ซึ่งก็ทำให้ทั้งแมรี่และ Hancock ปางตาย สุดท้ายเรย์ก็โผล่มาช่วยเอากระบองทุบหัวคนร้ายไป (เท่จริงๆ ควรเป็นพระเอกแทนมากๆ) และจังหวะที่ดูเหมือนทั้ง 2 คนกำลังจะตาย Hancock ก็ฟื้นขึ้นมาและพยายามพาตัวออกไปห่างจากแมรี่ สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้พลังคืนมา และรักษาตัวเองได้ทัน

จบแบบ Happy Ending แมรี่กับเรย์ ยังหวานแหววกัน ส่วน Hancock ดูจะยอมรับการเป็นฮีโร่อยู่คนเดียวได้แล้ว เพราะเขาได้ตระหนักว่ายังมีคนที่เหมือนเขาอยู่อีกคนหนึ่ง ไม่ได้โดดเดี่ยว และการที่เขาอยู่คนเดียวนี้เป็นการปกป้องเธอไม่ให้เจออันตราย

ตอนแรกนั้นแมรี่จะเป็นฝ่ายหนีแล้ว Hancock ตามตลอด คงเป็นเพราะว่าแมรี่ไม่อยากให้ Hancock มีอันตราย ซึ่งตัว Hancock เองคงไม่กลัวตายหรอก แต่เมื่อ Hancock ได้ลิ้มรสความรู้สึกที่เห็นอีกฝ่ายกำลังจะจากไปแล้ว เขาก็คงทนได้ที่จะอยู่คนเดียวเพื่อปกป้องอีกฝ่าย (แถมยังมีสามีซึ่งเป็นคนดีมากๆ อีกด้วย)

อื่นๆ

- เรย์เป็นคนดีมากๆ ไม่รู้เป็นนักประชาสัมพันธ์หรือองค์กรการกุศล มีอย่างที่ไหนไปเสนอให้บริษัทเขาปรับภาพลักษณ์โดยการบริจาคของให้สังคม(โดยที่ไม่มีแผนโฆษณาอื่นเลย) เขาพยายามจะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นด้วยตัวเอง ไม่เอาแต่ด่าคนนู้นคนนี้

- ไม่รู้ 80 ปีที่ผ่านมา Hancock ทำอาชีพอะไร มีเงินซื้อเหล้าเป็นลังๆ แต่ถ้ามีร่างกายอมตะแบบนี้กินเหล้าแล้วเมาด้วยเหรอ?? อย่างนี้จะเป็นตับแข็งไหมนะ??

- ขัดใจจริงๆ ที่ว่า Hancock แค่ออกห่างจากแมรี่พลังก็คือนมาแล้ว อย่างนี้ตอนที่โดนยิงที่ร้านขายของแปลว่ามีแมรี่สะกดรอยตามมาใกล้ๆหรือไงเนี่ย!!!

- อีตาเรย์อยากให้ Hancock เป็น Hero ช่วยผู้อื่นไม่ส่งเมียตัวเองไปกอบกู้โลกบ้างล่ะจ๊ะ

ปล. ตรงสีฟ้าทั้งหมดเป็นเรื่องที่ดูแล้วคิดเอาเองทั้งสิ้น อย่าไปถามคนอื่นเชียวว่าอยู่ส่วนไหนของหนัง

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Hellboy II : ตอน Pan's Labyrinth ทะลุจักรวาล

ชื่อจริงๆ คือ Hellboy II : The Golden army ส่วนชื่อข้างบนเป็นชื่อที่เรียกกันกับน้องสาว ทำไมน่ะเหรอ?? ใครที่ดูโฆษณาหนังแล้วจำได้ เหล่าสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายในภาคนี้สร้างโดยทีมผู้สร้าง Pan's Labyrinth และถ้าใครเคยดู Pan's Labyrinth หน้าตาตัวละครเหมือนกับย้ายสำมะโนครัวมาจากหนังเรื่องเก่าเลย จนก่อนดูพูดเล่นๆกับน้องว่าความจริงตอนนี้เป็นตอนที่ตัวร้ายจากเรื่อง Pan's Labyrinth เจาะประตูมิติมาอาละวาดในหนังอีกเรื่อง ใครไม่เคยดู Pan's Labyrinth ลองเข้าไปดู web ของเขาได้ http://panslabyrinth.com/

ดูแล้วก็สนุกดี วันเดียวกันนี้ไปดู Hancock มาด้วย ซึ่งถ้าให้แนะนำระหว่าง 2 เรื่องนี้ ถ้าคนที่ชอบดูหนังเอามันส์ ก็ไปดู Hellboy เถอะ ส่วน Hancock เป็นอย่างไร ไว้ไปอ่านใน entry ของ Hancock แล้วกันนะ โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าชอบภาค 1 มากกว่า

ถ้าจะให้วิจารณ์แบบ spoil หน่อยๆ

จากที่ภาคแรก(เท่าที่จำได้) หนังมี focus ที่ตัว Hellboy เรื่องของชาติกำเนิด นิสัย ความรัก และเล่นกับประเด็นที่ว่าเขาจะเป็นผู้ทำลายล้างโลกหรือไม่ ซึ่งในตอนจบ แน่นอนว่าเขาก็เลือกที่จะปกป้องโลกนี้ไว้(ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด หรือสถานการณ์แบบไหนก็เหอะ)

แต่ภาคนี้เรื่องราวจะขยายออกมาที่สภาพรอบตัวเขามากขึ้น ทั้งลิซ(นางเอก) เอ๊บ(มนุษย์ปลา) เหล่าเอลฟ์ที่โผล่มา ตัวละครใหม่ และความรู้สึกของมนุษย์ต่อสิ่งมีชีวิตประหลาดอย่างพวกเขา อาจจะเพราะภาพกว้างขึ้น ความรู้สึกต่างๆที่คิดว่าหนังต้องการสื่อเลยรู้สึกไม่ลึกเท่าที่ควร หนังพยายามสร้างเหตุผลเพื่อนำเรื่องจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง แต่ดูๆแล้วเหตุผลเหล่านั้นบางอันดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ เรื่องราวเหมือนจะจับประเด็นที่ว่ามนุษย์เห็นแก่ตัวขึ้นมาใช้ แต่เอาเข้าจริงๆแล้วหนังก็ไม่ได้ทำให้คนดูสะเทือนใจไปกับความเลวของมนุษย์สักเท่าไหร่ จะไป focus ที่เนื้อเรื่องและการต่อสู้ซะมากกว่า

แต่ด้วยเหตุผลที่เป็นหนัง action เรื่องเหล่านี้จึงพอมองข้ามไปได้ และส่วนที่ดีๆ ของหนังก็มีเยอะแยะ เช่น ฉากการต่อสู้ที่มีทั้งแบบสวยงาม และแบบบู๊ล้างผลาญ การพัฒนาของตัวละคร และฉากสวยๆ อีกมากมาย สรุปแล้วหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังที่น่าดูอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

ต่อจากจุดนี้จนจบจะเป็น spoil แล้วนะ

เนื้อเรื่อง :

นานมาแล้วโลกของเรามีทั้งมนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ ภูต ฯลฯ อาศัยอยู่ร่วมกัน แต่มนุษย์นั้นเกิดความโลภจึงก่อสงครามขึ้น สงครามทำลายล้างเหล่าภูตไปจำนวนมาก ช่างตีเหล็กก๊อบลินจึงทูลพระราชาขอสร้างกองทัพทองคำขึ้นเพื่อต่อสู้ศัตรู โดยกองทัพจะบังคับได้โดยผู้ครองมงกุฏซึ่งมีเลือดขัตติยะเท่านั้น กองทัพทองคำเอาชนะมนุษย์ได้ แต่ยิ่งสร้างความเศร้าใจให้กับราชาเนื่องจากกองทัพที่ไม่มีหัวใจยิ่งจะทำให้คนตายมากขึ้น ทั้งสองฝ่ายจึงของสงบศึกกับโดยตกลงกันว่ามนุยษ์จะได้พื้นที่ในเมือง ส่วนภูตครองพื้นที่ในป่า และราชาก็แบ่งมงกุฏออกเป็น 3 ส่วนมอบให้มนุษย์ไปส่วนหนึ่ง และเก็บไว้ 2 ส่วน เจ้าชายไม่เชื่อใจมนุษย์จึงได้เดินทางจากไปเพื่อรอวันที่จะกลับมาอีกครั้ง

จากเรื่องเล่าตัดกลับมาเป็นเรื่องจริง เจ้าชายมาเข่นฆ่าและแย่งชิงส่วนของมงกุฎไปจากงานประมูล และกลับไปฆ่าและแย่งอีกส่วนมาจากท่านพ่อของเขา แต่เจ้าหญิงหนีออกมาได้พร้อมกับชิ้นส่วนซึ่งตนเองเก็บไว้ พร้อมกันนั้น Hellboy และเพื่อนๆ ซึ่งทำคดีซึ่งเกี่ยวข้องกับการงานประมูลที่เจ้าชายมาขโมยของ Hellboy ซึ่งไม่อยากหลบๆซ่อนๆ ก็เผยตัวต่อสาธารณะชน(โดยแกล้งทำเป็นอุบัติเหตุ) พวกเขาตามรอยไปจนถึงตลาดโทลว์ และได้พบกับเจ้าหญิง พวกเขาจึงได้ช่วยเจ้าหญิงมา แต่ในที่สุดเจ้าชายก็ตามมา จับตัวเจ้าหญิงไป และทำร้าย Hellboy บาดเจ็บ เจ้าชายได้บอกให้หาชิ้นส่วนของมงกุฎไปแลก(เจ้าหญิงซ่อนชิ้นส่วนไว้ในห้องสมุดของเอ๊บ) สุดท้ายมงกุฎก็กลับมารวมกันอีกครั้ง และ Hellboy ก็ท้าสู้กับเจ้าชายเพื่อชิงสิทธิความเป็นเจ้าของมงกุฏ แน่นอนว่าสุดท้ายก็ชนะ และทำลายมงกุฏได้ แต่พวก Hellboy ก็ไม่คิดที่จะกลับไปที่ศูนย์อีกแล้ว พวกเขาจะไปอยู่ด้วยกันอย่างคนธรรมดาที่ชนบทที่ไหนสักแห่ง

เรื่องที่ขอบ่นหน่อยเหอะ

- เปิดเรื่องมาเลย ความสงสัยอย่างแรกคือ คุณผู้ดูแลในภาค 1 ที่พ่อของ red หามาให้หายไปไหนซะแล้วล่ะ นักแสดงไม่รับเล่นเลยตัดออกไป หรือว่าถ้าเพิ่มเข้ามาแล้วจะเพิ่มความลำบากให้กับบทที่จะเขียนก็ไม่ทราบได้

- เจ้าชายดูเหมือนจะเก่งมากๆ ฝ่าองครักษ์เกือบสิบคนไปฆ่าราชาได้อย่างง่ายดาย แต่ว่าก็แพ้ Hellboy อย่างง่ายๆเหมือนกัน ที่บอกว่าง่ายเพราะ Hellboy ไม่ได้แผลเลย ที่โดนทำร้ายไปครั้งแรกดูจะเป็นเพราะกำลังเมาเบียร์ซะมากกว่า ทั้งๆที่ Hellboy น่าจะเป็น Hero ประเภทบู๊ลุย เอาแรงเข้าว่า ถ้าเจอศัตรูประเภทใช้ดาบและความเร็วแล้ว ก็น่าจะฟันโดน จะบอกฟันไม่เข้าก็ไม่น่าใช่ เพราะครั้งแรกยังแทงเข้าเลย

- ตอนจบ Hellboy ก็ไม่ฆ่าเจ้าชายถึงแม้จะชนะแล้ว แต่ในขณะที่เจ้าชายจะลอบทำร้าย Hellboy นั้นเจ้าหญิงก็ฆ่าตัวตาย ส่งผลให้เจ้าชายตายไปด้วย (สองคนนี่เขาเป็นแฝดกัน ประมาณว่าทำอะไรคนนึงอีกคนจะเป็นไปด้วย) ความจริงถ้าจะฆ่าตัวตายก็ทำไปตั้งแต่ตอนที่เจ้าชายบุกมาฆ่าพ่อไม่ดีเหรอจ๊ะน้องสาว ข้อนี้พอจะให้อภัยได้เพราะถ้าทำอย่างนั้นเรื่องคงไม่มี และเจ้าหญิงอาจจะต้องการเวลาทำใจล่ะมั๊ง

- พี่ปลาซึ่งภาคที่แล้วดูเหมือนจะไม่อยากออกจาก tank มาเลย แต่ภาคนี้เห็นพี่แกอยู่ใน tank แค่ฉากเดียวเอง แถมบางทีออกมายังไม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจด้วย ถ้าหลังๆ ยังรู้สึกว่าเป็นเพราะพิษรัก แต่ก็เห็นเดินไปเดินมาตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วนี่นา

- แล้วอีกอย่างพี่ปลานี่แหละที่ดันเอามงกุฏไปให้เจ้าชาย เพราะกลัวว่าเจ้าชายจะทำร้ายเจ้าหญิง แต่ก็พี่แกนี่แหละที่โวยวายว่าอย่าทำร้ายเจ้าชายเพราะเจ้าหญิงจะเจ็บไปด้วย แล้วเจ้าชายจะไปทำร้ายเจ้าหญิงให้ตัวเองเจ็บทำไมยะ!!!!!!!!!!!!!!!  หรือว่าแค่อยากได้เจ้าหญิงคืนมา ทำอย่างนั้นมันจะเห็นแก่ตัวไปหน่อยมั้งเพ่ แล้วทำเจ้าหญิงอุตส่าห์หนีมาจะมีประโยชน์อะไรเล่า เฮ้อ!!

- เรื่องสุดท้ายที่ดูแล้วขัดใจสุดๆ คือตอนที่หนูแดง สู้กับคุณต้นไม้แล้วช่วยเด็กทารกออกมา อุ้มไปด้วยสู้ไปด้วย แต่ตอนจบทุกคน(รวมทั้งแม่เด็ก) กลับกลัว และหาว่าจะมาทำร้าย แถมตะโกนด่าอีก ก็เข้าใจนะว่าต้องการสื่อว่ามนุษย์มองคนที่หน้าตา แต่มนุษย์ไม่ได้ตาบอดนะคะ ดูยังไงก็รู้ว่าเขาพยายามช่วย แล้วยังเอามาส่งคืนให้ดีๆอีก แล้วก็ใช่ว่าจะเห็นกันเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านั้นก็ออกทีวีกันไปแล้ว อย่างมากก็น่าจะเป็นแค่รีบมารับลูกไปแล้ววิ่งหนีเพราะกลัว ทุกคนหลบไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ กล้าคุย ไม่มีใครขอบคุณ แค่นี้ก็น่าจะสะเทือนในพอแล้ว ฉากนี้ซึ่งเหมือนเป็นฉากซึ่งทำให้ Hellboy รู้สึกว่าไม่มีใครชอบเขา น่าจะทำให้เศร้า แต่กลับดูแล้วหงุดหงิดคุณป้านั่นมากกว่า เขาช่วยลูกแกมานะเฟ้ย มนุษย์อาจชอบทำร้าย หรือแบ่งแยกจากผู้ที่ไม่เหมือนตัวเองก็จริง ซึ่งจะเป็นเพราะความกลัว ความเห็นแก่ตัว ความโลภ หรืออะไรก็ตาม แต่เราก็ยังเชื่อว่ามนุษย์ยังมีจิตใจที่ดีอยู่ ยังสำนึกบุญคุณ ยังแบ่งแยกดีชั่วจากการกระทำ

- อื่นๆ ก็มีเช่น กองทัพมันเยอะเหลือเกิน ก๊อบลินตัวเดียวจะต้องใช้เวลาสร้างนานเท่าไหร่เนี่ย ตอนที่เจ้าชายฆ่าพระราชาดูเหมือนปู่แกจะลุกขึ้นมารับดาบเองเลย หรือเรื่องที่เหล่าเอลฟ์ ภูต ยักษ์ โทลว์ ดูน่าจะแข็งแรงกว่ามนุษย์เยอะ แต่ทำไมในอดีตดันแพ้มนุษย์จนต้องสร้างกองทัพทองคำขึ้น

ความเห็นทั่วไป -  เหล่าภูตในเรื่องนี้ดูจะสีหม่นๆ ซะส่วนใหญ่ ออกเป็นโทนน้ำตาล กับฟ้าตุ่นๆ หรือไม่ก็ลงสีแล้วเอามาลด brightness กับ contrast ลง ไม่ใช่ว่าไม่สวย รายละเอียดของตัวละครแต่ละตัวสวยมาก แต่สีแบบนี้ถ้าอยู่ใน Pan's Labyrinth ซึ่งเนื้อเรื่องอยู่ในสมัยสงครามค่อนข้างหดหู่ก็เข้ากันดีหรอกนะ แต่ Hellboy มันเป็นหนังบู๊ ตามความเห็นส่วนตัวน่าจะใส่สีให้สดใสขึ้นหน่อย ถ้าเอาไปเทียบกับเอลฟ์ใน the lord of the ring แล้ว lord จะเหมือนกับป่าเขตร้อน หรือป่าเขียวชอุ่มในฤดูฝน มองแล้วชุ่มชื่นใจ แต่เอลฟ์เรื่องนี้ออกจะเป็นแนวป่าในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งกำลังผลัดใบอยู่ ดูแล้วก็สวยดี แต่บางทีก็ให้ความรู้สึกเหงาได้เหมือนกัน

ส่วนที่ชอบ (โม้มาไกลมากๆ)

- ชอบคุณต้นไม้รุขเทพมากๆ (อาจจะเป็นเพราะเขาสีเขียวก็ได้) ตรงหน้าเหมือนหุ่นรบเลย แต่ที่ชอบที่สุดคือตอนที่ตาย (ขอโทษนะคะคุณต้นไม้ T_T) ไม่ได้อยากให้ตายนะคะ แต่ตอนตายสวยมากๆ ตอนที่ราชา เจ้าชาย เจ้าหญิงตายจะกลายเป็นหินอ่อน แต่ตอนคุณต้นไม้ตายกลายเป็นต้นไม้ไปจริงๆ ไม่ใช่ต้นไม้แบบเป็นเปลือกไม้ แต่แต่เหมือนมีเถาวัลย์ และต้นไม้เล็กๆ ขึ้นเต็มไปหมด ให้ความรู้สึกว่าตรงนั้นกลายเป็นป่าไปเลย และชอบดอกไม้ที่บานและส่งละอองเกสรออกไปด้วย ให้ความรู้สึกว่าถึงเขากำลังจะตายไปแต่เขาก็กำเนิดชีวิตมากมาย และละอองเกสรจะบินไปตกยังที่ไกลๆ และจะมีต้นไม้เล็กๆ ดอกไม้สวยๆ งอกขึ้นมา รู้สึกได้ว่าธรรมชาติกำลังดิ้นรนต่อสู้กับการรุกรานของมนุษย์อยู่

- ส่วนคำพูดที่ชอบที่สุดมาจากปากของราชาว่า "ถ้าการผิดสัญญาเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เราควรทำตามธรรมชาติของเราคือการรักษาสัญญา" คงไม่ใช่คำนี้เป๊ะๆ หรอกนะ แต่ก็ประมาณนี้แหละ ถึงแม้เราจะถูกเอาเปรียบ หรือถูกคนเลวกระทำเช่นไร ก็ไม่ได้เป็นเหตุผลให้เราต้องกลายเป็นคนเลวกับเขาไปด้วยเลย

ชักจะเพ้อมาไกลเกินไปแล้ว หนังเรื่องนึงก็มีอะไรให้คิดถึงมากขนาดนี้เลยนะเนี่ย

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

หนีเที่ยวไปหลบฝน : Part 1 ออกเดินทาง

เมื่อ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นฤกษ์งามยามดี ก็เลยโดดงานไปเที่ยวซะ(ความจริงก็ลางานปกติน่ะแหละ เรียกว่าโดดซะ) ทำไมต้องเป็นศุกร์นี้ด้วย?? คนทั่วไปอาจจะไม่คิดอะไร ก็แค่วันที่ set ขึ้นมา แต่ทว่ามันมีที่มา วางแผนจะไปเที่ยวตั้งนานแล้ว เนื่องด้วยยัยน้องสาวยังเรียนอยู่ ถ้าโดดไปจะไม่ดี จะไปบอกให้อาจารย์เลื่อนสอนก็ไม่ได้ ก็เลยต้องไปมันตอนปิดเทอมนี่แหละ ช่วยมีนา-เมษา เป็นช่วงที่เสาร์อาทิตย์ไปลงเรียนภาษาอังกฤษไว้ ดังนั้นเรื่องเที่ยวก็เลยตกไป หลังจากนั้นแม่ก็ต้องปิดงบของปีที่แล้วให้กับบริษัท ถัดมาอีกน้องสาวก็ดันต้องไปต่างจังหวัด ด้วยวิชาเวชศาสตร์ชุมชนที่จะต้องเรียน สรุปแล้ว มีวันศุกร์ที่ 30 นี่แหละ ที่ว่างก่อนจะเปิดเทอมในเดือนมิถุนายน
ความจริงไปแค่ 2 วันเอง ทำไมไม่ไปเสาร์อาทิตย์น่ะเหรอ 1. กลัวคนเยอะ  2. อยากลาหยุดอ่ะ เดี๋ยวใช้วันลาไม่หมด ที่กะว่าจะไปญี่ปุ่นกับเพื่อนก็ดันล่มไปซะแล้ว T-T
เขียนมาป่านนี้แล้วยังไม่ได้บอกเลยว่าไปไหนมา ไป es-ta-te มาค่ะ สำหรับคนที่ไม่รู้จักเป็นที่พักในเขาเขียวค่ะ
ผ่านมาเดือนกว่าเพิ่งจะได้มาเขียนถึง ความจำคงกระท่อนกระแท่นอยู่บ้าง แต่คงยืดยาวเหมือนเดิม เขียนอะไรสั้นๆ ไม่เป็น
ตื่นมาออกเดินทางตั้งแต่ 8 โมงทำอย่างกับจะไปไกล เวลา check in ตั้ง 11 โมงแน่ะ แต่มันก็เป็นวัฒนธรรมของที่บ้านอยู่แล้ว ว่าจะไปไหนต้องออกแต่เช้า ไม่เป็นไร ถ้าไปถึงเร็วเกินไปก็เที่ยวเล่นแถวนั้นก่อนก็ได้
ว่าแล้วก็ออกเดินทาง ประมาณ 9 โมงก็ใกล้จะถึง เห็นในแผนที่มีสวนผีเสื้อ ก็เลยคุยกันว่าจะเข้าไปดูดีไหม แต่สรุปแล้วไม่ได้เข้าไป เพราะขับเลยทางเข้า (แป่ว) ก็เลยเข้าไปเขาเขียวเลยแล้วกัน

เข้าไปถึงเขาก็ยอมให้ check in เลย คงเป็นเพราะคืนก่อนหน้านั้นไม่มีคนพัก แต่รอน๊านนานกว่าจะได้เข้าห้อง สงสัยเขายังจัดห้องไม่เรียบร้อย ก็เล่นมาตั้งแต่ไก่โห่ขนาดนี้ ระหว่างนี้ก็เลยถ่ายรูปแถวๆ lobby เล่นไปก่อน
เขาเอาน้ำส้มมาเสริฟ ก็ไปทำน้ำส้มเขาหกอีก(ไม่ใช่เราทำนะ แต่เป็นป่าป๊าที่ทำหก) น้ำส้มอร่อยด้วยเสียดายจัง T_T
รอไปรอมา นานเหลือเกินก็เลยออกไปเดินเล่นด้านหน้า เห็นกรงสมเสร็จอยู่ มีสมเสร็จ 2 ตัวนอนหลับอุตุอยู่ด้านในทั้ง 2 ตัวเลย ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่ไปถ่ายเจ้าแมลงปอสีแดงมาแทน ด้วยเหตุที่เจ้าสมเสร็จนอนอยู่นั้นเอง ก็เลยคุยกับน้องสาวว่า มันหลับเหมือนใหม่เลยนะ (หมายเหตุ-ใหม่ เป็นนามสมมุติของเพื่อนน้องสาวคนหนึ่งที่ตอนเช้าพวกเราได้นินทาถึงการนอนของเขาไป) น้องสาวก็เลยตะโกนไปว่ามะม่วง (เพราะใหม่เป็นคนชอบกินมะม่วงมากๆ) และแล้ว เจ้าสมเสร็จก็กระดิกหู!!! เหมือนตอบสนองต่อคำว่ามะม่วง หลังจากนั้นก็เลยตั้งชื่อให้มันว่าน้องมะม่วงซะเลย





หลังจากเอ้อระเหยอยู่นานก็ได้เข้าห้องพักสักที ไปครั้งนี้ซื้อ package 2800 บาท ต่อคน (บัตร KTC ลด 10%) ซึ่งรวมที่พัก อาหาร 3 มื้อ และทัวร์ให้อาหารสัตว์ตอนกลางวัน + night safari ตอนกลางคืน (night safari คงจะเป็นตอนกลางวันไม่ได้หรอกเนอะ) แต่ต้องขับรถไปเองนะจ๊ะ ดังนั้นอาหารเที่ยง es-ta-te จะมีจัดไว้ให้ตอนประมาณ 11 โมง เมื่อกินเสร็จแล้วจะไปทัวร์ให้อาหารสัตว์กัน
ระหว่างรอเวลาก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็นอนเล่น+ถ่ายรูปไปพลางๆ ก่อน


รูปที่พัก กับน้องกวางที่อยู่ในบ่อด้านหลังเต็นท์ ที่เรียกว่าบ่อเพราะมันไม่ใช่กรง แต่เป็นกำแพงเตี้ยแค่เอว และเป็นบ่อลึกลงไปเพื่อไม่ให้กวางข้ามมาได้



น้องสาวพกตุ๊กตาน้องแกะไปด้วย ก็เลยเอามาถ่ายรูปเล่นฆ่าเวลาซะเลย

ตอนที่คุณพนักงานบอกเบอร์เต็นท์ก็รู้สึกคุ้นๆ พอเขาขับรถกอล์ฟมาส่งก็ใช่เลย!!! เต็นท์หลังเดียวกับที่นอนตอนไป core senior เลย - -"
เป็นเต็นท์ แบบแยกเป็นสองห้อง ห้องละสองคน ทุกคนเลยไม่ต้องเลือกห้องเพราะต้องให้ยัยนี่นอนคนละห้องกับคราวที่แล้วเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง (อะไรจะดวงสมพงศ์กับห้องนี้ขนาดนี้เนี่ย)
นอนรอตั้งนานเดี๋ยวก็จะถึงเวลาที่รอคอยแล้ว(อาหารกลางวัน) แต่ไว้ต่อคราวหน้าแล้วกันนะ

วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Wanted : สมาคมนักฆ่าเวอร์ทะลุมิติ

ใครที่ชอบดูหนังบู๊ยิงกันล้างผลาญแนะนำให้ไปดูเลยเรื่องนี้

แต่ใครชอบดูหนังที่สมจริง ดูหนังแล้วชอบคิดว่าจุดนี้เป็นไปไม่ได้ จุดนี้แหกกฎธรรมชาติ ควรหนีให้ไกลเรื่องนี้เลย

เพราะ wanted เป็นหนังที่ทั้งมัน ทั้งยิงกัน และเวอร์สุดๆ ตั้งแต่ฉากแรกจนฉากสุดท้าย !!!

ไม่รู้จะวิจารณ์อะไรเพราะดูแบบไม่ใช้สมอง ดูแล้วสนุก ไม่มีฉากไหนรู้สึกสะดุด มีแต่รู้สึกว่าพระเอกหน้าตาไม่ดี อ้อ! แล้วก็ตอนกลางๆเรื่องรู้สึกว่าพระเอกเก่งขึ้นมา แต่ยังไม่เก่งมาก แต่พอท้ายเรื่องพี่แกจู่ๆก็เก่งเวอร์ขึ้นมาซะงั้นน่ะ

ไม่รู้จะเขียนอะไร spoil เรื่องสักหน่อยแล้วกัน

ฉากเปิดเรื่องเปิดมาด้วยการฆ่ากันตายแบบเวอร์สุดๆ มีการกระโดดข้ามตึก แล้วยิงปืนโดยส่องจากระยะ 10 กิโล(ในหนังไม่ได้บอกระยะทางหรอกนะ แต่ความรู้สึกคือไกลมากๆๆๆๆๆๆ

ตัดมาที่พระเอก เป็นคุณพนักงานที่ต้องผจญกับความเครียด เจ้านายห่วย เพื่อนเลว แฟนนอกใจ ซึ่งเจ๊โจลี่ ก็มาพาพี่แกไปฝึกเป็นนักฆ่า โดยที่บอกว่าพ่อเขาเพิ่งถูกฆ่าตายไป การฝึกโหดโดยมีการล้างแค้นเป็นเดิมพันก็เริ่มขึ้น

ฝึกอยู่นาน พระเอกก็ได้ออกไปทำงานแรก ซึ่งองค์กรนี้เนี่ยฆ่าคนตามคำสั่งของ เครื่องทอผ้า!!! ประมาณว่าแปลรหัสลับจากเครื่องทอผ้ามาเป็นชื่อคน แล้วก็ไปฆ่าซะ ตอนแรกพระเอกก็สงสัยอยู่ แต่เจ๊โจแกเล่าว่าเคยมีคนบุกเข้าไปฆ่าครอบครัวเธอ ซึ่งนักฆ่านั้นมีชื่อที่ออกมาจากเครื่องทอผ้า แต่องค์กรดันฆ่าไม่สำเร็จ ซึ่งก็คงเป็นสาเหตุให้เจ๊มาอยู่ในองค์กรนี้แหละ

ในที่สุดคำสั่งฆ่าของคนที่ฆ่าพ่อของพระเอกก็ถูกส่งให้กับพระเอก แต่หลังจากฆ่าไปแล้วพระเอกก็ได้ค้นพบความจริงว่าคนที่ตัวเขาฆ่าไปนั้นเป็นพ่อของเขาเอง ส่วนคนที่ตายไปตอนแรกนั้นเป็นแค่คนในองค์กรคนหนึ่งเท่านั้น และก็ได้ค้นพบว่าเจ้าเครื่องทอผ้าได้ส่งชื่อของหัวหน้าองค์กรออกมา แต่เขากลับแปลเป็นชื่ออื่นออกมา และฆ่าคนเพื่อตัวเอง

หลังจากรู้ว่าโดนหักหลังพระเอกก็เก่งขึ้นทันตาเห็น เข้าไปบุกเดี่ยวในองค์กร จนไปถึงห้องหัวหน้าใหญ่ และเปิดโปงเขาได้สำเร็จ แต่กลับกลายเป็นว่าหัวหน้าใหญ่บอกว่าเครื่องทอผ้านั้นได้ส่งรายชื่อของนักฆ่าทุกๆคนออกมาเช่นกัน ในขณะที่ทุกคนเล็งปืนใส่พระเอกและกำลังลังเลอยู่ (ตอนนี้หัวหน้าใหญ่ก็หนีไปแล้ว) โจลี่ซึ่งก็กำลังเล็งปืนอยู่เหมือนกันเพราะเจ๊แกจงรักภักดีต่อองค์กร ก็สะบัดปืนยิงลูกโค้งในตำนานไปยังคนข้างๆ แล้วลูกก็เลี้ยวเป็นวงกลมทะลุหัวทุกคน(ซึ่งยืนล้อมพระเอกเป็นวงกลมอยู่) แล้วก็ทะลุหัวตัวเองตาย เอากับเจ๊แกสิ เชื่อเจ้าเครื่องทอผ้านั่นสุดๆ เลย

สุดท้ายพระเอกก็ตามฆ่าหัวหน้าใหญ่ได้ และก็จบเอาซะดื้อๆ (- -")

เนื้อเรื่องก็เดิมๆ แต่สนุกตรงทำแต่ละฉากออกมาสวย และน่าตื่นเต้นดีค่ะ