วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

007: Quantum of Solace and Scar 3D

เมื่อวันเสาร์ไปดูหนังสองเรื่องควบมาอีกแล้ว

เรื่องแรกคือ 007 เรื่องนี้ไม่ได้อยากดูเท่าไหร่ เพราะเกิดอาการเบื่อ 007 มาตั้งแต่ช่วง Die Another Day แล้วก็รู้สึกว่าอีตาพระเอกคนใหม่นี่ไม่หล่อ(หน้าตาบ้านๆเกินไป) ในความคิด 007 ควรเป็นผู้ชายสุดเนี้ยบ ปากหวาน แต่ในความเห็นส่วนตัวหน้าพี่แกไม่ให้ยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็ไปดูด้วยความที่มีคนชวนดู+มีบัตรสะสมแต้มอยู่ (ซึ่งความจริงได้เสื้อมาก็ให้คนอื่นไปอยู่ดี หาเรื่องเสียตังค์จริงๆชั้น)

ไม่ได้ดูภาคที่แล้ว รู้สึกเรื่องมันจะต่อกันเล็กน้อย(และได้ข่าวว่าจะต่อกับภาคหน้าด้วย) ดังนั้นก็เลยงงๆ นิดหน่อย แต่ก็ทำใจไว้แล้วก็เลยไม่หงุดหงิดเท่าไหร่ 007 ก็ยังคงความเป็น 007 บู๊ตลอดเรื่อง มีทั้งวิ่งไล่กัน ขับรถไล่กัน ขับเรือไล่กัน ขับเครื่องบินไล่กัน ดีที่ยังไม่มีปั่นจักรยาน หรือเข็น wheelchair ไล่กัน ซึ่งในภาคนี้(คงจะภาคที่แล้วด้วยมั้ง ไม่ได้ดูภาคที่แล้ว) Bond ได้ลดความเนี๊ยบลงมาติดดิน ซึ่งเห็นหลายๆคนออกจะชอบว่ามันไม่เวอร์เกินไป ภาคอื่นเราจะเห็นพระเอกทำงานเหมือนง่ายๆ แต่ในภาคนี้ออกจะเหมือนกับพวกหนังบู๊ทั่วไป ซึ่งถ้าถามความเห็นก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ 007 รู้สึกขาดอะไรไปสักอย่าง

แต่มาคิดๆ ดูก็ไม่ได้มีฉากที่พระเอกเสียท่าเท่าไหร่นะ โดนอัดลงไปกระอักเลือด อย่างนี้ไม่มี ก็เลยสรุปว่าที่ 007 ดูติดดินขึ้นเป็นเพราะหน้าตาแกนั่นแหละ(วกกลับมาเรื่องนี้จนได้)

แล้วก็ไม่มี Q กับเครื่องมือสุดไฮเทคออกมาเลย T_T ดู 007 เพราะชอบเครื่องมือของเฮียแกนี่แหละ

สรุป ว่า หนังสนุกดี ถ้านับเป็นหนังธรรมดา แต่ด้วยคาดหวัง(ของหนู)ในความเป็น James Bond ในจินตนาการ ตัวอคติเลยมากระซิบว่า "ไม่สนุกๆ" รวมๆ แล้วก็เลยรู้สึกเฉยๆ กับเรื่องนี้นะ ไม่มีฉากไหนประทับใจหรือไม่ชอบเป็นพิเศษอีกต่างหาก เลยไม่มีอะไรเม้าท์

เรื่องย่อไปหาอ่านตาม web แล้วกันนะ ดูแล้วจับใจความไม่ค่อยได้รู้แต่มันไล่ยิงกัน หุหุ

 

แล้วตอนบ่ายเราก็ไปดู SCAR 3D ก็รอดูว่าเทคโนโลยี HD-3D ที่ไม่ต้องปวดหัวกับแว่นแดงฟ้าอีกต่อไปมันจะเป็นอย่างไร พอดูแล้ว ........

จอร์จ: มันเป็นเทคโนโลยีที่ดีจริงๆเลยซาร่า!!!

ซาร่า: มันดียังไงรึจอร์จ??

จอร์จ: ด้วยเทคโนโลยีนี้เราจะไม่ต้องปวดหัวกับแว่นแดงฟ้าอีกต่อไป โยนแว่นแบบเก่าทิ้งไปได้เลย!

ซาร่า: โอ้! พระเจ้าจอร์จ มันยอดมาก.......แล้วมันทำงานอย่างไรล่ะ

จอร์จ: มันก็ให้เราปวดหัวกับแว่นสีชาแทน สีแดงฟ้าน่ะสิ

ซาร่า: ........

มันก็ปวดหัวอยู่ดีค่ะ แต่เปลี่ยนแว่นให้ดูไฮโซขึ้น แต่ไม่รู้เพราะสวมทับแว่นสายตาหรือเปล่านะ เลยทำให้ดีกรีความปวดหัวเพิ่มขึ้น สรุปว่ามันก็แว่นอันเดียวกับที่ดู Journey to the center of the earth นั่นแหละ

เข้าเรื่องหนัง พูดถึงตัวหนังคิดว่าทำได้ดีเลยล่ะ แบ่งออกเป็น 2 ประเด็น เนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องดี ภาพที่ทำออกมาเป็น 3D สวยมาก(title สวยมาก ดูเพลินเลย) แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พี่จะทำเป็น 3D ไปเพื่อบิดามารดาหรือไง

อย่าเพิ่งร้องอ้าว! ไหนบอกดีไงล่ะ ดีน่ะดี แต่ 3D ที่ทำออกมาไม่มีเลือดกระเซ็นมาโดนตัวหรือมีดพุ่งมาใส่หน้า(หรือว่ากอง censer เมืองไทยเอาฉากพวกนั้นออกไปหมดแล้ว) 3D มันสวยก็จริงแต่สวยในแง่ที่เหมือนได้ดูคนตัวเป็นๆ มาแสดงหนังผีให้ดูต่อหน้า ประมาณว่าดูละครเวทีอยู่ ซึ่งเทียบกับอาการปวดหัวที่เพิ่มขึ้นแล้วทำให้ความลุ้นลดน้อยถอยลงไปแล้ว ขอเลือกดูแบบ 2D จะดีกว่า ช่วงกลางเรื่องปวดหัวจัด ฉากที่ไม่ใช่ไคล์แมกซ์ ก็เลยถอดแว่นดูซะเลย จะเห็นตัวละครเป็นหลายๆตัวเหมือนทีวีไม่ชัด พอฉากมันทรมานกันค่อยใส่แว่น

เรื่องย่อ : นางเอกเคยเป็นเหยื่อของฆาตรกรโรคจิต แต่ฆ่ามันแล้วหนีออกมาได้ หลังจากนั้นเธอก็ออกไปอยู่นอกเมือง และเธอก็กลับมาเพื่อร่วมงาน(อะไรสักอย่าง)ของหลานสาว และแล้วก็มีฆาตรกรที่ห่าโดยวิธีเดิมโผล่ออกมา ไม่มีใครเชื่อเธอว่ามันกลับมาแล้ว แต่กลับจับเธอเป็นผู้ต้องสงสัยแทน เธอจะต้องหนีออกไปเพื่อช่วยหลานสาวที่หายไปให้ได้

ชอบบทของเรื่องนี้ตรงที่เกมที่ฆาตรกรเล่น (Spoil เล็กน้อย แต่ถึงรู้ก็ไม่ทำให้ความสนุกลดลงหรอกมั้ง) เขาจับคนสองคนที่เป็นเพื่อนกันมาทรมาน โดยคุณสามารถหยุดการทรมานนี้ได้ โดยการบอกให้เขาฆ่าเพื่อนของคุณซะ ถ้าปฏิเสธก็โดนทรมาน แล้วเขาก็จะหันไปถามเพื่อนคุณแทนว่าต้องการให้ฆ่าคุณหรือไม่

ถ้าลองคิดดูเป็นคำถามที่น่ากลัวมาก ว่าเราจะยอมทนทรมานได้สักเท่าไหร่กว่าที่จะยอมสั่งฆ่าใครสักคน(และยิ่งคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทด้วยแล้ว) การบอกให้ฆ่านั้นทำเพื่อตัวเอง หรือว่าทนเห็นเพื่อนทรมานไม่ได้แล้วกันแน่ ถ้าบอกให้ฆ่าไปตั้งแต่แรกเราก็จะไม่โดนทรมานเลย แต่แน่นอน ว่าคุณต้องเล่นเกมนี้กับคนต่อไปเรื่อยๆ และบอกให้ฆ่าทุกคนไปเรื่อยๆ เราจะทำอย่างนั้นได้หรือ? หรือว่าเราจะยอมโดนทรมานสักสองสามครั้งก่อนจะทนไม่ไหว เราควรจะหยุดการทรมานในครั้งนี้ แล้วรอเริ่มใหม่ในเกมหน้า หรือว่าทนทรมานต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเพื่อนจะบอกให้ฆ่า เราจะได้ไม่ต้องทนเล่นเกมบ้าๆนี้ต่อไป

และถ้าเราสั่งให้ฆ่าใครสักคนไป แล้วรอดมาได้ ความรู้สึกผิดจะเกาะกินในไปนานเท่าไรกันนะ.....

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

City of ember : ความหวังที่ยังคุกรุ่น

ตอนดูชื่อเรื่องครั้งแรกก็สงสัยเลยว่า Ember นี่มันแปลว่าอะไรกันแน่ แต่ก็ไม่ได้หาจนกระทั่งไปดูมาแล้วนี่แหละ

จาก web dict.longdo.com Ember แปลว่า ถ่านหรือเถ้าที่ยังคุกรุ่นอยู่ และจาก Dictionary ของ Oxford บอกว่า

ember noun [usually pl.] a piece of wood or coal that is not burning but is still red and hot after a fire has died.

สรุปว่ามันคือถ่านหรือเถ้าแดงๆ หลังจากไฟดับไปแล้ว คนตั้งชื่อตั้งได้เท่ห์มากๆ รู้สึกเห็นภาพมหานครแห่งนี้ขึ้นมาทันทีเลย

ชื่อภาษาไทยก็ กู้วิกฤตมหานครใต้พิภพ ตั้งชื่อได้ตาม standard ชื่อไทยของหนังเทศมากๆ ฟังชื่อไทยเราก็ได้รู้ว่า 1. มันต้องเกี่ยวกับเมืองที่อยู่ใต้ดิน(ท่าทางจะเมืองใหญ่เพราะเป็นมหานคร) 2. เมืองที่ว่านี้ต้องโดนวิกฤตการณ์อะไรสักอย่าง(ไม่งั้นจะกู้วิกฤตไปทำซากอะไร) ที่เหลือก็เดาได้จากการที่อ่าน+ดูเยอะๆ เช่น

    • คนที่กู้วิกฤตก็ต้องเป็นตัวเอก
    • เมืองที่อยู่ใต้ดินก็คงมีไม่กี่อย่าง เมืองของเหล่ามนุษย์จิ๋วในเทพนิยาย เมืองในอนาคตที่มุดลงไปอยู่ใต้ดิน หรือเมืองของคนบางพวกที่เหนื่อยหน่ายกับบนบกจนหลบลงไปแล้วลืมว่ายังมีโลกเบื้องบน
    • วิกฤตก็คงจะเป็น เมืองใกล้ถล่ม, มีคน/ปีศาจจะยึดครองเมือง, ป้องกันคนในเมืองจากมนุษย์บนดินที่โดนนิวเคลียร์จนกลายพันธุ์

ถ้าสงสัยว่าอันไหนเรื่องจริงมาดูเรื่องย่อกันดีกว่า

เรื่องย่อ : นานมาแล้วมนุษย์สร้างเมืองใต้ดินขึ้นและส่งคนลงมาอยู่เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ พวกเขาได้เก็บวิธีซึ่งจะกลับคืนสู่พื้นดินไว้ในกล่องซึ่งจะเปิดออกในอีก 200 ปี แต่กล่องนั้นกลับถูกลืมเลือน และนครแห่งนี้ก็ทรุดโทรมลงทุกที เด็กชาย-หญิงคู่หนึ่งพบกล่องนั้น และช่วยกันค้นหาวิธีที่จะออกไปจากนครแห่งนี้ก่อนที่มันจะสายเกินไป

อ่านแค่เรื่องย่อ ก็รู้ตอนจบแล้ว ตอนจบก็ออกไปจากเมืองได้น่ะสิ (เรียกว่า spoil ไหมเนี่ย) เรื่องนี้สร้างมาจากวรรณกรรมเยาวชนชื่อเดียวกัน และมีฉบับแปลไทยที่สำนักพิมพ์อมรินทร์ ชื่อ "พิภพบาดาล" (ต้องลองไปหามาอ่านซะแล้ว) หนังสือมีเล่มต่อด้วยภาษาอังกฤษมี 4 เล่ม แต่อมรินทร์แปลได้แค่ 2 เล่ม และไม่รู้จะแปลที่เหลือเมื่อไหร่ด้วย - -"

ฟังเรื่องย่อแล้วคงจะรู้ว่าทำไมถึงชอบชื่อเรื่องนี้ อ้าว!ไม่รู้เหรอ รู้สึกว่า ember มันเป็นคำจำกัดความของเมืองนี้มากๆ เป็นถ่านหรือขี้เถ้าที่ยังคุกรุ่นอยู่หลังจากไฟดับไปแล้ว เมื่อไฟของมนุษยชาติเผาผลาญตัวเองจนดับไปยังเหลือแต่เมือง ember ที่ยังคุกรุ่นเป็นสิ่งที่ไฟแห่งเทคโนโลยีของมนุษย์หลงเหลือเอาไว้ แต่ ember ไม่ใช่ดวงไฟ เพราะชาว ember ดำรงชีวิตอยู่ในเมืองโดยไม่คิดจะพัฒนาหรือสำรวจนอกเมือง เถ้าถ่านที่คุกรุ่นรอวันที่กล่องเปิดออกซึ่งจะเป็นเหมือนลมพัดมาและเติมเชื้อให้ไฟประทุขึ้นอีกครั้ง ถ้าปราศจากกล่องนี้ ember ก็เป็นเพียงแสงริบหรี่ และคงจะเย็นลงจนดับไปในสักวันหนึ่ง ก็เลยรู้สึกว่า ember เป็นทั้งความหวังที่ไฟจะลุกโชนอีกครั้ง แต่ความหวังอันนั้นก็ใกล้จะมอดลงเรื่อยๆ ดั่งถ่านที่กำลังเย็นลงเรื่อยๆ เช่นกัน

ดูแล้วรู้สึกอย่างไร?

จัดว่าดี สำหรับหนังเรื่องนี้ ดูไปรู้สึกว่ามีความสุข ทั้งลุ้น ทั้งอมยิ้มไปกับตัวละคร แต่ต้องบอกว่าเรื่องนี้เป็นหนังเด็ก ความตื่นเต้น ก็เป็นในระดับเด็กเท่านั้น แต่ถ้าใครชอบนิทานหรือเทพนิยายคงจะชอบเรื่องนี้ เข้าใจว่าเมืองทำขึ้นจาก CG ซึ่งทำได้สวยมากๆ ชอบโคมไฟมากมายที่แขวนอยู่เหนือเมือง รู้สึกว่ามันเก่า พร้อมจะหล่นลงมาทุกเมื่อ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เมืองนี้มีแสงสว่างอยู่ได้

แล้วก็ไปคัดตัวเอกมาจากไหนไม่รู้ ดูหน้าตาแล้วเหมือนพวกภาพประกอบที่มักจะวาดในหนังสือเลย แขนขายาว หน้าจืดๆหน่อย หรืออาจจะเพราะชุดก็ได้ พวกตัวละครเหล่านี้ทำให้รู้สึกได้ว่าเมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่อยู่ใต้ดินจริงๆ หนังได้ค่อยๆ แสดงเงื่อนงำต่างๆออกมาทีละน้อย จนมาเฉลยในภายหลังว่า สิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยินไปก่อนหน้านั้น มีความเกี่ยวพันกันอย่างไร ส่วนที่ชอบที่สุดในเรื่องนี้คงจะต้องยกให้ idea ทั้งหลายของการวิถีชีวิตใน ember ที่ทำให้รู้สึกได้ว่าเมืองนี้ถูกออกแบบมาให้อยู่ได้ 200 ปี ซึ่งต้องอยู่ให้ถึง และจะไม่เกินนั้น

spoil -> idea ที่บอกว่าชอบคือ วิธีดำเนินชีวิตของชาวเมือง ทุกคนจะได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ไปทำ โดยการจับฉลาก!! ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าอาชีพไหนจะขาดคน ซึ่งความจริงเด็กแต่ละคนก็คงมีอาชีพในดวงใจของตัวเอง แต่จะจับได้หรือเปล่านั้นเป็นอีกเรื่อง(หรือถ้าจับไม่ได้จะไปแอบแลกมาได้หรือไม่) ที่เป็นอย่างนี้ได้คงเพราะค่าตอบแทนของแต่ละอาชีพคงไม่ต่างกันมาก เพราะอย่างไรอาหารก็ต้องปันส่วนกัน สิ่งที่ทุกคนทำอยู่ก็เพียงเพื่อให้เมืองอยู่ได้ถึง 200 ปีเท่านั้นเอง แน่นอนว่าเหล่าผู้คนในเมืองต่างไม่รู้ถึงเรื่องโลกเบื้องบน (ถ้ารู้คงต้องมีคนไปสำรวจเป็นแน่) ผู้คนต่างบอกต่อกันมาว่าภายนอก ember มีแต่ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด แต่ความอยากรู้อยากเห็นของคนเราห้ามกันไม่ได้ ember จึงมีกฎเหล็กห้ามออกไปนอกเมืองเด็ดขาด และยังมีผู้ร้องเพลงขับกล่อมให้เชื่อว่า ember จะจีรังตลอดไป เป็นแสงสว่างเพียงแห่งเดียวในโลกนี้(คงคล้ายๆ ศาสนาคอยปลอบประโลมจิตใจคน)

จึงไม่แปลกที่ยังไม่มีใครออกไปสำรวจภายนอกสำเร็จ อาจจะเพราะออกไปยากด้วย หรือว่าเทคโนโลยีที่ชาวเมืองทราบก็แค่เปลี่ยนท่อ ทำให้เครื่องกำเนิดพลังงานทำงานต่อไปได้ ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าสิ่งทั้งหลายรอบๆ ตัวทำงานอย่างไร มีคนพยายามออกไปเหมือนกันแต่ไม่สำเร็จ ผู้คนส่วนใหญ่ยังพยายามอยู่ในกรอบ ถึงแม้จะรู้ว่าเมืองใกล้จะเสื่อมสลาย เสบียงใกล้จะหมด แต่ก็ยังมีคนที่เชื่อว่าวันหนึ่งผู้สร้างจะกลับมาช่วยอีกครั้ง แต่การออกไปของตัวเอกของเราถึงแม้ว่าจะเป็นการผจญภัย แต่ก็เป็นแค่การทำตามคำสั่งที่ทิ้งไว้ ไม่มีการมุดดินเสี่ยงอันตรายมากมาย ถึงบอกว่าเป็นหนังเด็กๆ ไงล่ะ

ก็นับเป็นหนังอีกเรื่องที่ดูแล้วปิ๊งเลยล่ะ