วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

City of ember : ความหวังที่ยังคุกรุ่น

ตอนดูชื่อเรื่องครั้งแรกก็สงสัยเลยว่า Ember นี่มันแปลว่าอะไรกันแน่ แต่ก็ไม่ได้หาจนกระทั่งไปดูมาแล้วนี่แหละ

จาก web dict.longdo.com Ember แปลว่า ถ่านหรือเถ้าที่ยังคุกรุ่นอยู่ และจาก Dictionary ของ Oxford บอกว่า

ember noun [usually pl.] a piece of wood or coal that is not burning but is still red and hot after a fire has died.

สรุปว่ามันคือถ่านหรือเถ้าแดงๆ หลังจากไฟดับไปแล้ว คนตั้งชื่อตั้งได้เท่ห์มากๆ รู้สึกเห็นภาพมหานครแห่งนี้ขึ้นมาทันทีเลย

ชื่อภาษาไทยก็ กู้วิกฤตมหานครใต้พิภพ ตั้งชื่อได้ตาม standard ชื่อไทยของหนังเทศมากๆ ฟังชื่อไทยเราก็ได้รู้ว่า 1. มันต้องเกี่ยวกับเมืองที่อยู่ใต้ดิน(ท่าทางจะเมืองใหญ่เพราะเป็นมหานคร) 2. เมืองที่ว่านี้ต้องโดนวิกฤตการณ์อะไรสักอย่าง(ไม่งั้นจะกู้วิกฤตไปทำซากอะไร) ที่เหลือก็เดาได้จากการที่อ่าน+ดูเยอะๆ เช่น

    • คนที่กู้วิกฤตก็ต้องเป็นตัวเอก
    • เมืองที่อยู่ใต้ดินก็คงมีไม่กี่อย่าง เมืองของเหล่ามนุษย์จิ๋วในเทพนิยาย เมืองในอนาคตที่มุดลงไปอยู่ใต้ดิน หรือเมืองของคนบางพวกที่เหนื่อยหน่ายกับบนบกจนหลบลงไปแล้วลืมว่ายังมีโลกเบื้องบน
    • วิกฤตก็คงจะเป็น เมืองใกล้ถล่ม, มีคน/ปีศาจจะยึดครองเมือง, ป้องกันคนในเมืองจากมนุษย์บนดินที่โดนนิวเคลียร์จนกลายพันธุ์

ถ้าสงสัยว่าอันไหนเรื่องจริงมาดูเรื่องย่อกันดีกว่า

เรื่องย่อ : นานมาแล้วมนุษย์สร้างเมืองใต้ดินขึ้นและส่งคนลงมาอยู่เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ พวกเขาได้เก็บวิธีซึ่งจะกลับคืนสู่พื้นดินไว้ในกล่องซึ่งจะเปิดออกในอีก 200 ปี แต่กล่องนั้นกลับถูกลืมเลือน และนครแห่งนี้ก็ทรุดโทรมลงทุกที เด็กชาย-หญิงคู่หนึ่งพบกล่องนั้น และช่วยกันค้นหาวิธีที่จะออกไปจากนครแห่งนี้ก่อนที่มันจะสายเกินไป

อ่านแค่เรื่องย่อ ก็รู้ตอนจบแล้ว ตอนจบก็ออกไปจากเมืองได้น่ะสิ (เรียกว่า spoil ไหมเนี่ย) เรื่องนี้สร้างมาจากวรรณกรรมเยาวชนชื่อเดียวกัน และมีฉบับแปลไทยที่สำนักพิมพ์อมรินทร์ ชื่อ "พิภพบาดาล" (ต้องลองไปหามาอ่านซะแล้ว) หนังสือมีเล่มต่อด้วยภาษาอังกฤษมี 4 เล่ม แต่อมรินทร์แปลได้แค่ 2 เล่ม และไม่รู้จะแปลที่เหลือเมื่อไหร่ด้วย - -"

ฟังเรื่องย่อแล้วคงจะรู้ว่าทำไมถึงชอบชื่อเรื่องนี้ อ้าว!ไม่รู้เหรอ รู้สึกว่า ember มันเป็นคำจำกัดความของเมืองนี้มากๆ เป็นถ่านหรือขี้เถ้าที่ยังคุกรุ่นอยู่หลังจากไฟดับไปแล้ว เมื่อไฟของมนุษยชาติเผาผลาญตัวเองจนดับไปยังเหลือแต่เมือง ember ที่ยังคุกรุ่นเป็นสิ่งที่ไฟแห่งเทคโนโลยีของมนุษย์หลงเหลือเอาไว้ แต่ ember ไม่ใช่ดวงไฟ เพราะชาว ember ดำรงชีวิตอยู่ในเมืองโดยไม่คิดจะพัฒนาหรือสำรวจนอกเมือง เถ้าถ่านที่คุกรุ่นรอวันที่กล่องเปิดออกซึ่งจะเป็นเหมือนลมพัดมาและเติมเชื้อให้ไฟประทุขึ้นอีกครั้ง ถ้าปราศจากกล่องนี้ ember ก็เป็นเพียงแสงริบหรี่ และคงจะเย็นลงจนดับไปในสักวันหนึ่ง ก็เลยรู้สึกว่า ember เป็นทั้งความหวังที่ไฟจะลุกโชนอีกครั้ง แต่ความหวังอันนั้นก็ใกล้จะมอดลงเรื่อยๆ ดั่งถ่านที่กำลังเย็นลงเรื่อยๆ เช่นกัน

ดูแล้วรู้สึกอย่างไร?

จัดว่าดี สำหรับหนังเรื่องนี้ ดูไปรู้สึกว่ามีความสุข ทั้งลุ้น ทั้งอมยิ้มไปกับตัวละคร แต่ต้องบอกว่าเรื่องนี้เป็นหนังเด็ก ความตื่นเต้น ก็เป็นในระดับเด็กเท่านั้น แต่ถ้าใครชอบนิทานหรือเทพนิยายคงจะชอบเรื่องนี้ เข้าใจว่าเมืองทำขึ้นจาก CG ซึ่งทำได้สวยมากๆ ชอบโคมไฟมากมายที่แขวนอยู่เหนือเมือง รู้สึกว่ามันเก่า พร้อมจะหล่นลงมาทุกเมื่อ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เมืองนี้มีแสงสว่างอยู่ได้

แล้วก็ไปคัดตัวเอกมาจากไหนไม่รู้ ดูหน้าตาแล้วเหมือนพวกภาพประกอบที่มักจะวาดในหนังสือเลย แขนขายาว หน้าจืดๆหน่อย หรืออาจจะเพราะชุดก็ได้ พวกตัวละครเหล่านี้ทำให้รู้สึกได้ว่าเมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่อยู่ใต้ดินจริงๆ หนังได้ค่อยๆ แสดงเงื่อนงำต่างๆออกมาทีละน้อย จนมาเฉลยในภายหลังว่า สิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยินไปก่อนหน้านั้น มีความเกี่ยวพันกันอย่างไร ส่วนที่ชอบที่สุดในเรื่องนี้คงจะต้องยกให้ idea ทั้งหลายของการวิถีชีวิตใน ember ที่ทำให้รู้สึกได้ว่าเมืองนี้ถูกออกแบบมาให้อยู่ได้ 200 ปี ซึ่งต้องอยู่ให้ถึง และจะไม่เกินนั้น

spoil -> idea ที่บอกว่าชอบคือ วิธีดำเนินชีวิตของชาวเมือง ทุกคนจะได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ไปทำ โดยการจับฉลาก!! ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าอาชีพไหนจะขาดคน ซึ่งความจริงเด็กแต่ละคนก็คงมีอาชีพในดวงใจของตัวเอง แต่จะจับได้หรือเปล่านั้นเป็นอีกเรื่อง(หรือถ้าจับไม่ได้จะไปแอบแลกมาได้หรือไม่) ที่เป็นอย่างนี้ได้คงเพราะค่าตอบแทนของแต่ละอาชีพคงไม่ต่างกันมาก เพราะอย่างไรอาหารก็ต้องปันส่วนกัน สิ่งที่ทุกคนทำอยู่ก็เพียงเพื่อให้เมืองอยู่ได้ถึง 200 ปีเท่านั้นเอง แน่นอนว่าเหล่าผู้คนในเมืองต่างไม่รู้ถึงเรื่องโลกเบื้องบน (ถ้ารู้คงต้องมีคนไปสำรวจเป็นแน่) ผู้คนต่างบอกต่อกันมาว่าภายนอก ember มีแต่ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด แต่ความอยากรู้อยากเห็นของคนเราห้ามกันไม่ได้ ember จึงมีกฎเหล็กห้ามออกไปนอกเมืองเด็ดขาด และยังมีผู้ร้องเพลงขับกล่อมให้เชื่อว่า ember จะจีรังตลอดไป เป็นแสงสว่างเพียงแห่งเดียวในโลกนี้(คงคล้ายๆ ศาสนาคอยปลอบประโลมจิตใจคน)

จึงไม่แปลกที่ยังไม่มีใครออกไปสำรวจภายนอกสำเร็จ อาจจะเพราะออกไปยากด้วย หรือว่าเทคโนโลยีที่ชาวเมืองทราบก็แค่เปลี่ยนท่อ ทำให้เครื่องกำเนิดพลังงานทำงานต่อไปได้ ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าสิ่งทั้งหลายรอบๆ ตัวทำงานอย่างไร มีคนพยายามออกไปเหมือนกันแต่ไม่สำเร็จ ผู้คนส่วนใหญ่ยังพยายามอยู่ในกรอบ ถึงแม้จะรู้ว่าเมืองใกล้จะเสื่อมสลาย เสบียงใกล้จะหมด แต่ก็ยังมีคนที่เชื่อว่าวันหนึ่งผู้สร้างจะกลับมาช่วยอีกครั้ง แต่การออกไปของตัวเอกของเราถึงแม้ว่าจะเป็นการผจญภัย แต่ก็เป็นแค่การทำตามคำสั่งที่ทิ้งไว้ ไม่มีการมุดดินเสี่ยงอันตรายมากมาย ถึงบอกว่าเป็นหนังเด็กๆ ไงล่ะ

ก็นับเป็นหนังอีกเรื่องที่ดูแล้วปิ๊งเลยล่ะ

2 ความคิดเห็น:

  1. นึกถึง Artimist Fawl
    แต่อันนั้นเป็นเมืองใต้ดินของคนจิ๋ว

    ตอบลบ
  2. ใน Artimist ไม่จิ๋วนะ อาจจะตัวเล็กนิดหน่อย
    ที่จิ๋วคืออาเทอร์

    ตอบลบ