วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551

The Day The Earth Stood Still

เป็นหนังที่ชื่อเป็นเอกลักษณ์มาก เป็นคำง่ายๆ หกคำเรียงกัน แต่แปลไม่ออก เมืองไทยไม่เคยสอนไวยากรณ์แบบนี้ มี noun ติดกันสองตัว แล้วทำไม still ไปอยู่หลัง stood ล่ะนี่ (ตอนแรกๆ ยังเถียงกับน้องอยู่เลยว่า stood still หรือ still stood หรือว่ามันเป็น stand still หว่า??)

the day = วัน    the earth = โลก    stood = ยืน(เป็น v2 หรือ v3)   still = ยังคงอยู่

THE DAY THE EARTH STOOD STILL = วันที่โลกยังคงยืนอยู่

แปลแบบเอาสีข้างถูๆหน่อย แต่ก็คงพอได้ล่ะนะ เพราะสุดท้ายโลกก็ยังไม่ตาย (อิอิ)

เรื่องย่อ : เมื่อดาวหางที่จะพุ่งชนโลกกลายเป็น ลูกกลมประหลาด และจากลูกนั่นดันมีมนุษย์เกิดออกมาซะอีก เขาและวัตถุนั้นมาจากไหน เขาเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือ เขา(และพวก) ตั้งใจจะทำอะไรกับโลกนี้กันแน่??

หนังสนุกไหม? ก็พอใช้ หนังไม่ค่อยมีฉากตื่นเต้น สัตว์ประหลาดบุกโลก วิ่งหนีป่าราบ หรือถล่มเมือง (จะว่าไปก็มีแต่ถ้านับเวลาเป็น % แล้วมีไม่มาก) ดำเนินเรื่องด้วยเนื้อเรื่องมากกว่า แต่ก็ชวนติดตาม และไม่จบแบบที่ทำให้คิดว่า "คิดได้ไงจบแบบนี้" เหมือนตอน war of the world ฉากต่างๆที่เป็นฝีมือมนุษย์ต่างดาวก็ทำออกมาได้สวยงามดี ข้อเสียก็คือดูไปแล้วอยากจะไปตบกระโหลกเด็กในเรื่องเป็นระยะ

ความเห็นที่ spoil เนื้อเรื่อง

1) ตัวอย่างหนังมีฉากนึงที่คีนูรีฟ บอกนางเอกว่า ถ้าคุณตายโลกจะรอด ถ้าคุณอยู่โลกจะตาย และถ้าโลกตายคุณก็จะตาย ประมาณนี้แหละจำประโยคเป๊ะๆ ไม่ได้ ตอนที่ดูตัวอย่างนึกว่านางเอกต้องเสียสละชีวิตเพื่อโลก ทำให้กรี๊ดๆ อยากดูมาก เพราะอยากรู้ว่านางเอกสำคัญยังไง และมันจะจบยังไงให้ดูดี แต่พอไปดู ปรากฎว่าตูคิดไปเองนี่หว่า คำว่า 'คุณ' ในประโยคนั้นหมายถึงมนุษยชาติต่างหาก ไม่ใช่นางเอก

2) ทำไมคนในโลกถึงบ้าเลือดกันจัง มีแต่คนจะพยายามยิง,ทำลาย,สู้ กับมนุษย์ต่างดาว ทั้งๆที่สิ่งที่เขาแสดงให้ดูแต่ละอย่างก็แสดงแล้วว่าเทคโนโลยีพวกเขาช่างสูงยิ่งนัก เจรจาก่อนแล้วถ้าเขายังพยายามจะทำลายโลกแน่ๆแล้วค่อยสู้ยิบตาก็ได้นะ ทั้งลูกนางเอก รัฐมนตรีกลาโหม และประธานาธิบดี เอาแต่จะพยายามต่อสู้กับเขาจังเลย

3) สงสัยว่าทำไมฝูงแมลงที่กินเมืองได้ในเวลาแป๊บเดียว ดันให้พระเอกวิ่งฝ่าไปได้ตั้งนาน กว่าเสื้อผ้าจะเริ่มขาด และเริ่มบาดเจ็บ ลำเอียงนี่นา

4) ดูเรื่องนี้แล้วสอนให้รู้ว่าตอนนี้คนเราตระหนักว่ามนุษย์กำลังทำลายโลก แต่ก็ยังไม่อยากตายไปเพื่อให้โลกอยู่รอดอยู่ดีนั่นและ

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สุดท้ายแล้วมันก็อยู่ที่ความรู้สึก....

ทุกวันนี้เราใช้อะไรตัดสินว่า 'ใช่' หรือ 'ไม่' 'มาก' หรือ 'น้อย' 'ต่ำ' หรือ 'สูง' 'ดี' หรือ 'เลว'

ความยาว 5 เซนติเมตร

ถ้าเป็นริบบิ้น 5 เซนติเมตร คงสั้นจนใช้ประโยชน์ได้น้อยมาก

แต่ถ้ามีมดตัวยาว 5 เซนติเมตร มันคงเป็นมดกินคน(หรืออาจจะกินช้าง)

ความยาว 5 เซนติเมตร วัดเป็นตัวเลขได้ แต่ สั้น หรือ ยาว อยู่ที่ความรู้สึกต่อสิ่งที่วัด

 

"ขอทิชชู่เช็ดปากหน่อย" ฉันหยิบส่งให้เอ 2 ท่อน

เอบอกว่า "ขออีกหน่อยสิใช้ไม่พอหรอก"

"ขอทิชชู่เช็ดปากหน่อย" ฉันหยิบส่งให้บี 2 ท่อน

บีบอกว่า "ท่อนเดียวก็พอแล้ว เปลือง"

ทิชชู่ 2 ท่อน มาก หรือ น้อย อยู่ที่ความรู้สึกของแต่ละคน

 

ซี ฆ่า ดี ตาย

ซีเลวหรือไม่ ศาลสั่งประหารซี ยุติธรรมหรือไม่

ซีฆ่าดีทำไม

  ถ้าดีทุบตีน้องสาวของซี จนซีบันดาลโทสะ

  ถ้าดีขับรถชนพ่อแม่ของซี

  ถ้าดีฆ่าพ่อแม่พี่น้องของซีโดยเจตนา

  ถ้าดีทรมานและฆ่าพ่อแม่พี่น้องของซี

  ถ้าดีเป็นโจรที่ฆ่าคนมาเป็นร้อยคน

  ถ้าซีทราบมาว่าดีกำลังจะวางแผนฆ่าคน

  ถ้าซีทราบมาว่าดีกำลังจะวางระเบิดห้างสรรพสินค้า

  ถ้าซีป้องกันตัวเอง ที่ดีเข้ามาทำร้าย

  ถ้าดียึดโรงเรียนไว้ และจับเด็กเป็นตัวประกัน

  ถ้าดีกำลังจะจุดชนวนระเบิดซึ่งวางไว้ในโรงเรียนอนุบาล

เหตุผลใดบ้างที่ทำให้การสั่งประหารซี ดูอยุติธรรม

เหตุผลใดบ้างที่ควรจะลดโทษ

เหตุผลใดบ้างที่ควรจะอภัยโทษ

หรือดูแค่ผลลัพธ์ก็เพียงพอ ฆ่าคน ชดใช้ด้วยชีวิต ไม่สนใจเหตุผล

กฎหมายที่ยุติธรรม คือความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ที่คิดว่ายุติธรรม

 

สุดท้าย ไม่ว่าอะไรก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนั่นแหละ

ความรู้สึกมันก็คือ ความคิดซึ่งเป็นผลมาจากสิ่งที่สะสมมาในตัวคนๆหนึ่งจากประสบการณ์ การอบรมสั่งสอน และสันดาน(บางคนมีประสบการณ์เดียวกัน ได้รับการอบรมเหมือนกัน แต่คิดไม่เหมือนกันก็มี) และสมองก็จะประมวลผลเหล่านี้ออกมาเป็นความรู้สึก

"จงใช้เหตุผลแทนที่จะใช้ความรู้สึก" ประโยคนี้ทำได้จริงหรือ คนเราจะคุยกันด้วยเหตุผล ได้ย่อมต้องมีความรู้สึกร่วมกัน เพราะการที่จะยอมรับว่าเหตุผลนั้น สมเหตุสมผล ก็ต้องใช้ความรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลเช่นกัน เพราะชีวิตไม่ใช่วิชาตรรกศาสตร์ จึงจะพิสูจน์ได้ว่าประพจน์นั้นสมเหตุสมผลหรือไม่

 

ปล. หดหู่ไปหน่อยหรือเปล่าไม่รู้ จู่ๆ ก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา น่าจะเป็นเพราะสถานการณ์ทางการเมือง คนจะชอบหรือเกลียดทักษิณ คนจะเป็นกลาง คนจะคิดว่าการปิดสนามปิดทำให้ชาติเสียหาย หรือคิดว่าการปิดสนามบินมันจำเป็น สุดท้ายมันก็คือความรู้สึกของแต่ละคนล่ะนะ เถียงกันไป คนที่ชนะก็คงเป็นคนที่มีพวกมากกว่า

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Twilight

ช่วงนี้มีเรื่องโน่นนี่ตั้งหลายเรื่องที่น่าจะเอามาอัพได้ แต่เพราะมีเรื่องเยอะนี่แหละก็เลยไม่มีเวลา

มีทั้ง ไป outing, ไปพิพิธภัณฑ์+พระเมรุ, ไปกินข้าววันเกิด, ไปเที่ยวภูกระดึง

อย่างไรก็ตาม เราก็ยังจะอัพเรื่องหนังที่ไปดูอยู่ดี เพราะว่าจะเอาไว้เป็นสถิติ

พอเลื่อนการเลี้ยงทีมออกไปเพราะเหตุการทางบ้านเมือง เราก็รีบฉกฉวยเวลาว่างนี้ไปดู Twilight

เรื่องนี้เกี่ยวกับแวมไพร์ที่ดูจะไม่เหมือนแวมไพร์ที่รู้ๆจักกันเท่าไหร่(นอกจากดูดเลือดได้) เพราะเฮียแกไม่กลัวแดด ไม่กลัวไม้กางเขน ไม่กลัวกระเทียม เรื่องนี้ทำมาจากหนังสือที่ดังมากๆ ในต่างประเทศ และเท่าที่อ่าน review ของคนที่อ่านฉบับแปลแล้ว เสียงตอบรับก็ดีทีเดียว

คำเตือน การอ่าน review ด้านล่างนี้อาจทำให้เกิดอคติในการดูหนังได้(ถึงแม้จะไม่ spoil เยอะก็เถอะ)

ตัวอย่างหนังน่าดูมากๆ แต่ก็ได้ข่าวว่าความจริงมันเป็นหนังแนวโรแมนติก ซึ่งก็มาช่วยฉุดความคาดหวังลงมาหน่อย แต่ไปดูก็ยังรู้สึกเฉยๆ ที่เพลินไปกับหนังส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะภาพ และหน้าตาคุณพระเอกเอ็ดเวิร์ด ที่ทำให้เคลิ้มไปกับหนัง ตัวเรื่องดำเนินไปแบบราบเรียบเกินเหตุ ฉากที่ดูตื่นเต้นก็อยู่ในตัวอย่างหนัง ส่วนที่เหลือก็คือเข้าไปปะติดปะต่อเนื้อเรื่อง ดูแล้วก็สงสัยว่าพระเอกกับนางเอกไปชอบกันตอนไหน จู่ๆ ก็รักกันบานจะกลืนกิน

แต่พอดูแล้วก็คิดว่าหนังสือน่าจะสนุกกว่า เพราะดูแนวเรื่องแล้วน่าจะสนุกที่รายละเอียด หนังมีเวลาแค่ 2 ชั่วโมงเลยได้มาแต่โครง (อันนี้จากการสันนิษฐานนะ เพราะยังไม่ได้อ่าน) ซึ่งตอนนี้ก็ยังคิดอยู่ว่าจะไปซื้อมาอ่านดีไหม เหมือนจะไม่ใช่แนว

อีกอย่างที่เซ็งก็คือไอ้แนะนำตัวละครหน้าโรงนี่มันอะไรกัน ดูไม่เป็นเรื่องเดียวกันกับที่เข้าไปดูเลย(เรื่องนี้น้องสาวเซ็งกว่าอีก เห็นบ่นอยู่หลายรอบ) หรือว่านั่นจะเป็นหนังอีกเรื่องนึง!!!

ว่าแต่เรื่องเขาเขียวก็ยังเขียนไม่จบสักที จะพยายามมาเขียนต่อไปนะ ถ้ายังจำได้อยู่ เหอๆ