วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

บริจาคเลือด หลังจากห่างหายมานาน(มากกก)

ไปบริจาคเลือดมาหลังจากที่ว่างเว้นไปนาน(น่าจะมากกว่าหรือเท่ากับห้าปี)

ที่ไม่ได้ไปไม่ใช่เพราะอะไร น้ำหนักไม่ถึง……………………………………………ไม่ใช่แล้ว!! (ตอแหลมาก)

หลังจากบริจาคครั้งแรกไปก็เป็นวัณโรคต่อมน้ำเหลือง

–> ชื่อเหมือนจะน่ากลัวแต่ว่า อาการที่เป็นก็แค่ต่อมน้ำเหลืองบวมนั่นแหละ พอไปตรวจหมอเลยผ่าออกมาตรวจ เจอว่าเป็น เลยโดนกินยาติดต่อกัน 6 เดือนห้ามขาด ไม่งั้นมันจะกลายเป็นวัณโรคดื้อยา

หลังจากหายแล้วเคยไปถามคุณหมอที่สภากาชาดว่าบริจาคได้ไหม เพราะเป็นโรคที่ต่อมน้ำเหลืองมันดูเกี่ยวกับเลือด คุณหมอบอกว่าไม่ได้(โดยไม่บอกว่าทำไม)

พักหลังมานี่รู้สึกว่าน้องสาว กับแม่ไปบริจาคเลือดแล้วเลือดจางทำให้บริจาคไม่ได้บ่อยๆ แล้วคนที่เลือดไม่จางอย่างเราดันบริจาคไม่ได้ซะนี่ ประกอบกับน้องสาวชอบเหน็บแนมว่าเธอไม่น่าเป็นโรคนั้นเลย เสียดายเลือดดีๆ (เหมือนเม็ดเลือดแดงของน้องกับของแม่มันไม่ค่อยสมบูรณ์) ประกอบกับ(รอบสอง) รู้สึกว่าในแบบสอบถามเขาไม่ได้ถามว่า “เคย” เป็นวัณโรคหรือเปล่า แต่เป็นอยู่หรือเปล่า

ก็เลยไปหาข้อมูล google ช่วยไม่ได้เลย - -“ มีแต่บอกว่าถ้าเป็นมะเร็งปกติจะไม่ให้บริจาคแม้จะหายขาดแล้ว เพราะว่าคนเคยเป็นมะเร็งร่างกายจะอ่อนแอ กลัวว่าบริจาคแล้วจะกลับมาเป็นใหม่ แต่เจอ web ของสภากาชาดไทย เลยลองไป post ถามดู ได้คำตอบมาว่า ปกติแล้วถ้าหายขาดแล้ว 2 ปี จะสามารถบริจาคได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์อีกครั้ง

พอดีแม่กับน้องสาวจะไปบริจาคเลือดก็เลยไปด้วยซะเลย ตอนแรกไปถามคุณเจ้าหน้าที่ เขาเหมือนจะไม่ให้ แต่พอบอกว่าใน web ว่าน่าจะได้ เขาเลยพาไปหาคุณหมอในห้อง คุณหมอคนแรกคุยๆๆๆ ถามว่าเป็นนานหรือยัง หลังจากหายหมอมีนัดตรวจทุกปีหรือเปล่า แล้วก็เหมือนไม่มั่นใจเลยพาไปหาหมอสาวๆ อีกห้องนึง(สงสัยมากว่าทำไม หรือคนแรกไม่ใช่หมอ) ก็เจอถามคำถามอีกประมาณเดิม ซึ่งก็บอกประมาณว่าไม่มีนัดตรวจ แต่ว่าก็มีตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี X-ray ปอดก็ไม่เจออะไร สรุปแล้วคุณหมอก็เลยบอกว่าหายแล้ว กินยาครบแล้ว บริจาคได้ เย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้

ก็เลยไปเขียนใบบริจาค ซักประวัติ แล้วก็ตรวจความเข้มเลือด  บังเอิญไปเจอคุณหมอสาวๆ คนนั้นเลยคุยกันซะนานเพื่อความแน่ใจอีกรอบ สรุปว่าแม่ความเข้มเลือดไม่ผ่าน และแล้วนั่งรอแป๊บนึงก็ได้บริจาค จากคราวที่แล้วหน้ามืดไป คราวนี้เลยไม่กล้าบีบเร็วๆ พอเสร็จแล้วก็นอนพักจนเขามาถามว่าไม่ปวดหัวนะคะ ถึงลุกออกมา รอบนี้ก็ไม่หน้ามืดแม้แต่นิดเดียว

ออกมาจะไปเอารูปที่ถ่ายไว้ ฝนก็กระหน่ำลงมา ต้องกางร่มฝ่าฟันไปเอารูป แค่ตูบริจาคเลือดได้ ไม่ต้องฝนตกฉลองก็ได้นะ

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

มาดูหนัง thriller กัน : Thick as Thieves กะ The Horsemen

เมื่อวันเสาร์เรียนเสร็จก็ชิ่งไปดูหนังมา 2 เรื่อง

Thick as Thieves

หนัง excusive movie ที่ฉายแต่ SF บางโรงเท่านั้น เหมือนเรื่อง international ถ้าจะให้ sure ต้องไปดูที่ CTW เพราะว่าฉายตลอดรายการ ถ้าเป็นโรงอื่นมันจะฉายแค่ประมาณอาทิตย์เดียว

เข้าไปดูเพราะป็นหนังขโมย ชอบหนังขโมยมากๆ พวก Italian Job, Ocean Eleven แล้วก็ชอบมอร์แกน ฟรีแมน (อันโตนิโอจะทำหน้าหล่อช่างหัวมันชอบตาแก่นี่) เขาชอบเล่นเป็นบทนิ่งๆ คนบงการอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายดีหรือฝ่ายร้ายก็เหอะ

หนังก็สนุกใช้ได้ ถึงแม้ว่าตอนขโมยจะดูบ้านๆ ไปหน่อย ดูลำบากมาก(อ้าว! ก็ที่เซฟนั่นมันขโมยยากมากนี่นา) มันดูไม่เท่ห์แบบว่ามีการวางแผนสิบเอ็ดชั้นเพื่อให้ขโมยได้(แน่สิ ก็มีคนแค่สองคนจะใช้แผนซับซ้อนมาได้ไง) แต่ก็เป็นหนังขโมยนี่นะ ตอนจบขโมยก็ต้องชนะ มอร์แกน ฟรีแมนก็ลอยนวลหนีไปพร้อมกับของที่ขโมยไปได้ หุหุ ชอบที่พี่แกทำหน้านิ่งตอนจะโอนจับมากๆ มีการหักมุมอยู่หลายมุมเหมือนกัน บางมุมก็มองออก บางมุมก็แปลกใจตอนมันเฉลย แต่ก็รู้สิว่า….มิน่าล่ะ

spoil –> สรุปตอนจบพระเอก(อันโตนิโอ) เป็นตำรวจที่ปลอมตัวมาเพื่อจับมอร์แกน ฟรีแมน มิน่าล่ะบุคคลิกพี่แกไม่เหมือนโจรเลย เหมือนพวกตำรวจจะล่กๆ หน่อยนึง ตอนดูจบไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว มอร์แกน ฟรีแมนเอาพระเอกมาช่วยเพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นตำรวจเลยวางแผนไว้ แต่ว่าทางพระเอกคิดจะทำยังไงให้มอร์แกน ฟรีแมนรับเข้ามา ถ้าเฮียแกดันไม่ตามไปเห็นพระเอกขโมยเพชรตอนแรกจะทำยังไงฟะ - -“

ปล. excusive movie เรื่องต่อไป Righteous Kill หนังตำรวจแอบไปฆ่าผู้ร้ายที่ศาลปล่อยตัวไป ชอบๆ แนวนี้อีกแล้ว

The Horsemen

หนังแนว seven (ไม่ใช่ 7-11 นะ) แต่ภาพออกจะโหดกว่า(rate R จ้ะ) เป็นเรื่องของการฆ่าเลียนแบบในไบเบิล(อีกแล้ว) ซึ่งทำตัวเป็น 4 อัศวินม้า(ถึงชื่อ horsemen) และฆ่าเหยื่อ 4 คน ใครจะถูกฆ่าบ้าง และเพื่ออะไรนั้น พระเอกก็ต้องตามสืบแล้วล่ะ

เรียกได้ว่าสนุกนะ ชอบบุคคลิก ของคนร้ายแต่ละคนที่ต่างๆ กันไป เด็กนั่นหลอนดี คุณหมอก็เก่งเวอร์ แต่ว่าการดำเนินเรื่องบางส่วนยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ มันไม่ค่อยรู้สึกว่า ตึ๊ง! เหยื่ออีกรายโดนฆ่าแล้ว แต่มันราบเรียบไปหน่อย(ทั้งๆ ที่ภาพน่าจะกระชากความรู้สึกได้มากๆ) แล้วก็จบได้บ้านๆ อีกแล้ว แต่โดยรวมถือว่าดีนะ

ได้ดูเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าการทำอาชีพที่เป็นคนของประชาชนก็ลำบากนะ ความจริงก็เห็นในหนังหลายๆ เรื่องแล้ว ถ้าทำอาชีพพวกตำรวจ หมอ ถ้ามีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ทำอยู่ หรือถ้าคนไข้ของตัวเองมีปัญหา คนอื่นก็คงคาดหวังให้ต้องรีบไปหาทันที ทั้งๆ ที่เหตุการณ์นั้นจะเล็กหรือใหญ่ก็ไม่รู้ ถ้าไม่สนใจก็โดนว่าอีก เวลาที่ให้ตัวเองและครอบครัวก็คงจะเหลือน้อย ต้องมีครอบครัวที่เข้าใจกัน

ใครที่ชอบบอกว่าต้อง balance ชีวิตส่วนตัวและชีวิตทำงานให้ได้ ลองมาทำงานแบบนี้ดูสิ คุณก็คงเป็นได้แค่หมอหรือตำรวจห่วยๆ เท่านั้น

วันนี้เขียนได้สั้นแฮะ เหมือนพักนี้ไม่ค่อยมีสมอง~~

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

5 Movie / Indian Food / Parfait

ชีวิตช่วงนี้ยุ่งๆ เลยไม่ค่อยมีเวลามา update blog เลย
ช่วงที่หายไปก็เลยไปดูหนังมาแล้วทั้งหมด 5 เรื่อง ดังนั้น entry นี้จึงยาวมาก(ทำไมไม่แตกเป็น 2 entries ล่ะยะ)

1) Monster vs Alien

ไปดูแบบที่เป็น 3D มา จัดว่าใช้ได้ แต่ยังไม่รู้สึกว่าการทำเป็น 3D จะช่วยให้สนุกมากขึ้นหรือภาพสวยขึ้นมากมาย ที่ชอบก็คือไม่ได้มีฉากไหนที่ตั้งใจ present 3D มากจนเกินงาม (3D ตอนนี้ที่ชอบมีแค่เรื่อง Polar Express หรือว่ามันเป็นเรื่องแรกเลยประทับใจหว่า?)
พูดถึงตัวเนื้อเรื่อง ตัวเนื้อหาและโครงเรื่องก็ดีนะ เป็นเรื่องของมิตรภาพในหมู่มอนสเตอร์ การที่คนไม่ยอมรับพวกเขาแม้พวกเขาจะช่วยโลกไว้ ผู้ชายห่วยๆ ที่ไม่ควรจะไปยึดติดกับเขา และความภูมิใจว่าเราก็ทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยโลกได้ แต่มุขบางส่วนออกจะแป๊กไปหน่อย ช่วงแรกๆ ดูน่าเบื่อ(แต่เชื่อเรามากก็ไม่ได้เพราะเรามักจะไม่ขำตรงที่คนอื่นเขาขำกัน) ตัวการ์ตูนแต่ละตัวยังไม่มีตัวไหนที่ปิ๊งมากๆ Bob ที่ดีเหมือนจะตลกก็เพิ่งมารุ้สึกว่าตลกเอาช่วงหลังๆ อินเซคโกซอรัสหน้าตาประหลาดเกิน - -“ เข้าใจว่าไม่ได้ขายความน่ารัก แต่ทำให้มันน่ารักหน่อยก็จะดีนะ

2) Race to Witch Mountain

หนังแนว Disney เมื่ออีตาพระเอกซึ่งเป็นคนขับแท็กซี่ดันรับเด็กสองคนไปส่งที่บ้านร้าง แต่เด็กสองคนดันเป็นมนุษย์ต่างดาวซะนี่ มนุษย์ต่างดาวสองคนถูกตามล่า และถ้าพวกเขารอดกลับดาวไปไม่ได้โลกจะถูกทำลาย พระเอกก็เลยต้อช่วยล่ะทีนี้
ไม่รู้เพราะเขียนบทให้เข้ากับ The Rock หรือไง รู้สึกดีกรีความใส style disney ลดลงเยอะ ถึงแนวเรื่องจะเดิมๆ ก็เหอะ แต่ว่าในรายละเอียดมันขาดๆ ยังไงไม่รู้ ออกมาแล้วรู้สึกไม่อิ่ม แล้วก็ฉากที่ชอบไปอยู่ในตัวอย่างหนังหมดแล้ว เลยไม่ตื่นเต้นเท่าที่ควร
ปล. ยังมีฉากมันส์ๆ หลายฉากที่ไม่อยู่ในตัวอย่างหนังนะ แต่ว่าฉากที่เราชอบไม่ใช่แนวไล่ยิงกันนี่นา

3) International

หนังที่ฉายเฉพาะ SF บางสาขาเท่านั้น เป็นเรื่องเกี่ยวตำรวจที่ตามสืบเรื่องธนาคารแห่งหนึ่ง แต่ทุกคนที่รู้เรื่องหรือขวางทางธนาคารแห่งนั้นกลับถูกฆ่าทั้งหมด สุดท้ายแล้วพระเอกจะทำอย่างไร จะหาพยานไปขึ้นศาลได้หรือไม่ หรือมีวิธีอื่นจะกำจัดคนชั่วเหล่านี้ได้
หนังแนวเรื่อยๆ สืบสวนสอบสวน ถ้าไม่ตั้งใจดูตลอดจะไม่รู้เรื่อง น้องสาวบอกว่าน่าเบื่อเล็กน้อย แต่เราว่ามันก็ลุ้นดีนะ หนังออกแนวตามหลักความจริง(ซึ่งไม่ค่อยตรงแนว ปกติจะชอบหนังแบบที่เป็นหนัง) สื่อออกมาให้เห็นว่า ถ้าจะสู้กับอิทธิพลก็มีสิทธิโดนฆ่า พระเอกก็ไม่ได้เลือกทางที่ถูกต้องเสมอไป บางครั้งทางที่ถูกต้องนั้นอาจจะไม่สามารถกำจัดคนชั่วได้ และถึงแม้จะตัดใจเลือกทางนอกกฏหมายแล้ว ก็ยังอาจจะกำจัดไม่ได้อยู่ดี(สรุปว่าคนเลวหนังเหนียว) ทางที่ดีคือยิงทิ้งซะ แต่ถึงจะยิงหัวหน้าคนเลวทิ้งองค์กรก็ยังอยู่รอดได้โดยหาคนขึ้นมาเป็นหัวหน้าแทน (สรุปถ้าจะฆ่าต้องฆ่าล้างโคตร)

4) X-Men: Wolverine

ยังคงความมันส์ของ x-men อยู่ แล้วก็จะได้รู้ว่าทำไมเฮียแกถึงความจำเสื่อม ตัวละครหลายๆ ตัวก็โผล่หน้ากันมาคนละนิดละหน่อย รวมๆ แล้วก็นับว่าดีนะ ชอบตัวละครหลายๆ ตัวทั้งซีโร่ คุณดาบซามูไร(ชื่อเว้ด หรือเปล่าหว่า) คุณคนหายตัวได้ คุณคนทำไฟติดได้ก็สะดวกดีนะ หน้าตาเบื่อโลกดีด้วย แต่ไม่ชอบตาอ้วน เผละไปนิดนึงนะ แกมบริท(สะกดอย่างนี้หรือเปล่า?) ดูในตัวอย่างเหมือนจะเท่ห์ แต่ในหนังตัวประกอบมากๆ มีฉากที่ดูดีมากแค่ที่ออกมาในตัวอย่างนั่นแหละ
โดยรวมดี และจะดีมาก ถ้าพระเอกเอาเล็บที่เป็นเหล็กไปฟันกับเหล็กอื่นๆ(เล่นลูกกรง) ให้น้อยกว่านี้หน่อย = = ไม่ชอบเสียงมันอ่ะ เสียว แล้วก็มีโทรศัทพ์ประมาณไม่ต่ำกว่าสามรอบ แล้วเสียง message อีกสองสามรอบ จะเข้าโรงหนังปิดมือถือได้ไหมเพ่ แล้วมือถือพี่เต่าที่ฝากไว้ในกระเป๋าก็สั่นอีก ถ้าไม่มีเสียง+สั่น รบกวนจะดีมากๆ เลย


คั่นรายการ : อาหารอินเดีย & พาร์เฟต์

เมื่อวันฉัตรมงคลไปกินอาหารอินเดียกับน้องสาวมาชื่อร้าน Spicy Maharaja แปลเป็นไทยว่า เผ็ดร้อนมหาราชา <--จิ้มแล้วจะเข้า web ได้ ถ้าดูเป็นภาษาไทยจะขำมาก พี่แกเล่นแปลทุกอย่างเลย Central World กลายเป็นห้างสรรพสินค้าโลกศูนย์กลาง(อืม..ต้องแปลจากหลังมาหน้า ถูกต้องแล้ว!) ร้านนี้มีบุฟเฟต์ตอนกลางวันด้วย 290++ แต่ว่าดูเมนูในบุฟเฟต์แล้วไม่ได้เป็นเมนูที่อยากกิน ก็เลยเอาตามสั่งดีกว่า
สั่ง garlic cheese nan, แกง Kashimir Spinach with mushroom , Golden Tandoori Mix  อร่อยดี แล้วก็ไม่เผ็ดเลย ตามที่เขา review กันเขาบอกว่ามีความเป็น 5 ระดับ แต่เขาไม่เห็นให้เราเลือกระดับเลยอ่ะ สงสัยทำระดับต่ำสุดมาหรือเปล่าเนี่ย นั่งไปทั้งร้านไม่มีคนเลย รู้สึกแปลกๆ สรุปแล้วรสชาตอาหารอร่อยดี ความจริงอยากกินอย่างอื่นอีก แต่ไปกินกันสองคนแค่นั้นก็อิ่มแล้ว ไว้คราวหน้าแล้วกันนะ กินสองคนหมดไป 848 บาท(ราคาอาหาร++) เลขสวยงามจนเจอพนักงานเล่นมุขด้วยว่าให้เอาเลขไปแทงหวย
หลังจากออกจากร้านอาหารอินเดียก็ไปต่อที่พาร์เฟ่ต์แบบญี่ปุ่นที่ร้าน MURAHATA (ไหนบอกอิ่มแล้ว) เห็นจากที่เขา review กันก็ราคาทำให้กระเป๋าเบาอยู่เหมือนกัน แต่ความอยากชนะทุกสิ่ง
ไอติมมาแล้ว (ถ่ายด้วยกล้องมือถือ ไม่ค่อยชัด ของจริงน่ากินกว่านี้มากมาย)


ดูทีละอันซิ ของน้องสาว Chocolate Parfait

ของเรา Pudding Parfait

กินล่ะนะ
   
อร่อยมาก~~ นอกจากไอติมที่อร่อยอยู่แล้ว อันที่เป็นพุดดิ้งข้างในมีวิปครีมแสนอร่อย ส่วนชอคโกแลตข้างในมีไอติมชอคโกแลตสุดอร่อยอยู่ด้วย อิ่มจัง ตังค์หายหมด ค่าเสียหาย 410 บาท (ร้านนี้ไม่มี++ นะจ๊ะ)

5) The Haunting in Connecticut

กินอิ่มแล้วก็ไปเดินเล่นร้านการ์ตูนแป๊บนึงแล้วก็ไปดูหนัง เจอกล่มเด็กวัยรุ่นอยู่ข้างหลัง - -“ เซ็ง แต่ก็พอทำใจไว้แล้ว หรืออาจจะเพราะกินไอติมมาเลยอารมณ์ดี ทำให้ไม่รำคาญมาก
เป็นหนังผีที่น่ากลัวใช้ได้ แต่น่ากลัวแบบฝรั่ง จะไม่หลอนแบบผีเอเชีย(แต่เราว่ามันน่ากลัวกว่า 4 แพร่งอีกนะ) มีหักมุมุเล็กน้อย แต่สิ่งที่ชอบในหนังเรื่องนี้คือ หนังผีมีเนื้อเรื่อง!! หนังผีปกติไม่มีเนื้อเรื่องเหรอไง? มันก็มี แต่ว่าหนังผีปกติเรื่องมันจะเป็นแบบเอาพระเอกนางเอกไปตั้งไว้ที่ไหนสักแห่ง แล้วก็ดันออกมาไม่ได้ รถเสีย บ้านล็อค ถนนโดนตัดขาด อะไรสารพัด แล้วก็มีผีหรือฆาตรกรโรคจิตโผล่มา แล้วก็โรคจิตจริงๆ คือไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร ทำได้แค่วิ่งหนี
แต่เรื่องนี้มันมีเหตุว่า พระเอกต้องมาเข้าโรงพยาบาลแถวนี้เลยต้องมาเช่าบ้านอยู่ (ซึ่งบ้านนี้ถูกพอที่จะเช่าได้) มีเหตุผลว่าทำไมพระเอกเห็นผี ทำไมผีถึงออกมา และจะกำจัดผีได้อย่างไร ถึงแม้ว่าบางส่วนจะยังงงๆ หรือไม่มีเหตุผลบ้าง แต่ถ้าทำตัวมีเหตุผลทั้งหมดหนังก็ไปไม่ได้น่ะสิ(แก้ตัวน้ำขุ่นๆ) แหม ขนาดในชีวิตจริง บางเหตุการณ์ บางการกระทำยังไม่เหตุผลเลย นับประสาอะไรกับหนัง