ออกจาก Bandung วิวสองข้างทางมีต้นไม้สวยงามค่ะ
มีคนขี่จักรยานกันอยู่หลายคนเหมือนกัน
ค่าเข้า 75,000 IDR ต่อคน และค่านำรถเข้ามาอีก 25,000 IDR ภูเขาไฟนี้สามารถขับรถขึ้นไปได้ถึงด้านบนเลยค่ะ แต่ว่าวันนี้มีเจ้าหน้าที่โบกรถว่าไม่ให้ขึ้นไปให้จอดรถตรงที่จอดด้านล่าง(ทราบทีหลังว่ารถเยอะมากเลยขึ้นไปไม่ได้แล้ว) ตอนแรกคนขับก็แอบขึ้นไปไม่สนใจเจ้าหน้าที่ แต่พบว่าไปจนสุดทางไม่ได้ เพราะรถติดมาก Ferra บอกว่าถ้าจอดตรงนั้นจะต้องเดินอีกไกลพอสมควร เราก็เลยกลับลงมาเพื่อซื้อตั๋ว และขึ้นรถรับ-ส่งที่เขาจัดไว้ให้แทน
คนรอคิวซื้อตั๋วเพียบเลย
รถที่จะนั่งขึ้นไปหน้าตาแบบนี้แหละ
สักพักหนึ่ง Ferra ก็เดินกลับมาบอกว่า เขาหยุดขายตั๋ว เพราะว่ารถที่จัดไว้ก็ขึ้นไปถึงข้างบนไม่ได้เหมือนกัน Ferra หันมาถามว่าเราจะเดินขึ้นไปได้ไหม ลองถามดู Ferra บอกว่า 1-2 กิโล ก็เลยโอเคเดินก็ได้ เสียเงินค่าเข้ามาแล้วนี่
Ferra พยายามจะบอกให้คนขับรถพาเราขึ้นไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะขึ้นไปได้ค่ะ เพื่อจะลงเดินต่อ แต่คนขับเหมือนจะไม่ยอม(เดาๆเอาอ่ะนะ เพราะเขาพูดอินโด) บางคนจ้างมอเตอร์ไซด์ขึ้นไป มีมอเตอร์ไซด์ถามเราเหมือนกันว่าจะจ้างเขาขึ้นไปหรือเปล่า แต่ไม่รู้ราคาเท่าไหร่นะคะ เพราะ Ferra ไม่ได้บอก ไม่ได้ถามเราว่าจะขึ้นหรือเปล่า(แอบคิดว่าคนขับไม่อยากเสียค่าน้ำมัน Ferra ไม่อยากเสียค่ามอเตอร์ไซด์ของตัวเองหรือเปล่า นี่เพราะยู้ไปต่อราคาเขาหรือเปล่านะ)
แต่เรายังไงก็ได้ค่ะ ปกติก็ชอบเดินอยู่แล้ว เดินเรื่อยๆไม่เป็นไร ทางก็เรียบๆ ไม่ได้ลำบาก ก็เลยเริ่มเดินขึ้นเขากันไป เดินไปเจอเพื่อนร่วมทางอยู่หลายคน
ไหนๆ ก็เดินแล้วก็เลยเดินชมวิว ชมต้นไม้ตามข้างทางไปด้วย
ระวังทางชัน
พอเดินมาสักพักก็เจอรถจอดสองข้างทางเพียบเลย
ทางรถวิ่งเหลือนิดเดียวเป็นเหตุที่ทำให้รถขึ้นมาไม่ได้สินะ ตอนเรามาถึงด้านบนรถก็ซาไปหมดแล้วนะคะ ความจริงจะขับรถขึ้นมาก็ได้นะเนี่ย(แต่ก็เดินมาแล้วอ่ะนะ)
ด้านบนมีที่จอดรถประมาณนี้ค่ะ
มีม้าให้เช่าขี่เล่นด้วย
Tangkuban Parahu มีความหมายว่า Upside-down boat เพราะว่าดูจากไกลๆ แล้วจะเหมือนเหมือนเรือคว่ำอยู่ Ferra ชี้ให้เราดู แต่ว่ายู้ก็ยังไม่เห็นนะว่ามันเหมือนเรือตรงไหน
ยังเห็นควันลอยออกมาอยู่เลย มีคนขายหน้ากากอนามัยด้วย แต่ยู้ว่ากลิ่นก็ไม่ได้แรงนะคะ
ปากปล่องภูเขาไฟ
จุดชมวิว
ถาม Ferra บอกว่าภูเขาเพิ่งประทุไปเมื่อปลายปี 2013 ซึ่งถ้ามันประทุก็จะปิดไม่ให้ท่องเที่ยวเพราะว่าอันตรายค่ะ ก็เลยหมดโอกาสได้เห็นลาวา
ซูมๆ ตอนนี้ลาวาเหลือแต่ขี้เถ้าแล้ว
ขอใช้ feature miniature ของกล้องสักหน่อย
ระหว่างทางมีร้านขายของค่ะ มีเถ้าภูเขาไฟขายด้วย ไม่รู้เขาไปเก็บกันมายังไงนะ(ลืมถ่ายรูปมา) Ferra บอกว่าบางคนเอาไปผสมน้ำอาบ ตอนแรกว่าจะซื้อมาเป็นที่ระลึกเหมือนกันแต่เขาดันใส่ขวดน้ำพลาสติกขาย ปริมาณมันเยอะเกินไปแถมดูสกปรกอีกต่างหาก ถ้าเอาใส่ขวดแก้วเล็กๆ คงจะทำเป็นของที่ระลึกน่ารักๆ ได้นะ
ตุ๊กตาหุ่นเชิด ความจริงมีกะลามะพร้าวแกะเป็นหัวคนด้วยนะคะ ดูแปลกๆ หลอนๆ ดี แต่ไม่ซื้อหรอกนะ
ที่ไม่เข้าใจคือทำไมต้องขายตุ๊กตานารุโตะ นี่ที่ฮิตเหรอไงนะ มีหลายร้านมาก แล้วทำไมต้องมาขายบนภูเขาไฟด้วย
เด็กน้อยมาเที่ยวเหมือนกันเหรอจ๊ะ
ถ้าสังเกตจะเห็นว่ามีร้านเรียงรายเต็มเลยค่ะ ตอนเดินผ่านหลายคนพยายามเดาสัญชาติเราแล้วทักเป็นภาษานั้นๆ แต่ดูไม่มีอะไรน่าสนใจเลยไม่ได้แวะ
บริเวณนี้ยังมีปากปล่องภูเขาไฟอีก 2 ลูกค่ะ ซึ่งลูกหนึ่งต้องเดินลงไปจากตรงนี้ รถไปไม่ถึง ซึ่งเราไม่มีเวลาขนาดนั้น ส่วนอีกลูก ปิดไม่ให้เข้าชมเนื่องจากยังอันตรายอยู่ค่ะ
เราซื้อสตอเบอร์รี่กับราสเบอร์รี่มาชิมดู ราคาก็ไม่ถูกไม่แพง(อีกวันนึงมาเดินห้างเจอถูกกว่า แต่เปรี้ยวกว่า) ตอนซื้อรู้สึกว่าราคานี้น่าจะแพงกว่าปกติ แต่ก็ช่างมันเพราะได้ราคาที่เราพอใจก็พอแล้วล่ะ
เอามาล้างแล้วชิมรู้สึกแปลกๆ เหมือนเขาเอาไปแช่น้ำเชื่อมให้หวาน หรือว่ามันเป็นลักษณะของสตอเบอร์รี่ที่นั่น…
ต่อมา Ferra พาเรามาดูไร่ชาและโรงงานผลิตชาของ Bandung กัน
ไร่ชาสุดลูกหูลูกตาเลย
พาโนรามาสักหน่อย เห็นไหมนะ
ต้นชาเต็มเลย
ยอดอ่อนใบชาต้องเก็บยามเช้านะจ๊ะ
ดูไร่ชาเสร็จแล้วก็มาดูโรงงานผลิตชา
คุณผู้ชายคนนี้เป็นคนนำชมโรงงานแบบ exclusive (เดินชมกันอยู่สองคน) เขาโม้ใหญ่เลยว่าชาอินโดเป็นหนึ่งในชาที่ดีที่สุดในโลกและส่งออกไปหลายประเทศ แต่เราชิมแล้วชอบชาจีนกันญี่ปุ่นมากกว่านะ ด้านขวามือนั่นเป็นไม้ที่เอาไว้เผาให้ความร้อนในการอบใบชาค่ะ เขาบอกว่าถ้าใช้ไม้จะได้กลิ่นชาที่ดีกว่า ใช้เตาไฟฟ้า
เครื่องชั่งรถที่ขนชาเข้าออก ว่ามีใบชามาส่งเท่าไหร่
แล้วใบชาก็จะถูกนำใส่ถังแล้วส่งขึ้นมาบนนี้
นำมาผึ่งให้แห้งบนเครื่องเป่า แถวๆ นี้ยู้ได้กลิ่นหอมนิดๆ เหมือนดอกไม้ด้วย
พอแห้งแล้วก็จะโยนลงไปในรูนี้ ด้านล่างจะเป็นเครื่องตัด ปั่นใบชาให้เป็นเศษเล็กๆ
วันนี้เป็นวันอาทิตย์คนเลยมาทำงานน้อย แต่เครื่องต่างๆ ก็ยังเดินอยู่ทั้งหมดนะคะ
ท่อเมื่อกี๊จะลงมาในถังตรงนี้ ถึงตรงนี้จะได้กลิ่นเหม็นเขียวจากการปั่นใบชาเลยค่ะ
แล้วก็ถูกนำมาอบในเตา
ได้ใบชามาแล้วจะเข้าสู่เครื่องลำเลียง
สายพานเต็มไปด้วยใบชา
ชาเต็มเลยค่ะ ถึงแถวๆ นี้จะได้กลิ่นชาจริงๆ แล้ว
เครื่องคัดแยกใบชา
พอคัดมาแล้วก็จะติดป้ายแยกประเภทไว้
ความจริงมาดูโรงงานแล้วไม่รู้ว่าทำให้อยากดื่มชามากขึ้นหรือน้อยลงนะ รู้สึกเหมือนจะมีฝุ่นหรืออะไรตกลงไปในผงชาได้ตลอดเวลา มีสนิมปนลงไปบ้างไหมเนี่ย (โรงงานที่ไทยเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ)
บรรจุถุงแล้ว
เสร็จเรียบร้อยเตรียมขาย(ดูดีเชียว)
ส่วนนี้เห็นห้อง QC ค่ะ ทดสอบคุณภาพชา
มีผังโรงงานให้ดูด้วย
สุดท้ายเขาก็ให้นั่งจิบชาถ้วยนึง แล้วก็แถมชากลับบ้านมาคนละ 1 กล่อง จ่ายเงินไปคนละ 35,000 IDR เป็นอันจบการชมโรงงาน คุณคนนำชมเขาถามเราว่าที่ไทยมีปลูกชาไหม เราก็ตอบว่ามี เขาถามว่าเป็นชาอะไร…. ตอบไม่ถูกเลย ไม่มีความรู้เรื่องชาซะด้วย เข้าใจว่าชื่อชาที่เรียกๆ กันเนี่ยเป็นชื่อพันธุ์ เอาไปปลูกที่ไหนก็ได้ ที่ไทยก็ปลูก แต่เขาพยายามบอกเราว่าอู่หลงเป็นชาจากจีน แล้วถามหาชื่อชาไทย ไอ้เราก็ไม่รู้แน่ๆ ขี้เกียจเถียง ถ้าใครจะไปชมโรงงานที่นี่ ฝากหาข้อมูลไปตอบเขาด้วยนะคะ จะได้อวดว่าที่ไทยก็มีชาคุณภาพดีกับเขาเหมือนกัน 555+
ต่อจากนั้นเราก็ไปบ่อน้ำร้อนกันต่อค่ะ Sari Ater Hot Spring (ค่าเข้าถ้าจำไม่ผิดนะคะ 25,000 IDR ต่อคน + ค่ารถ 13,000 IDR) ตอนแรกเราก็นึกภาพเหมือนบ่อน้ำร้อนเมืองไทย หรือญี่ปุ่น นั่งแช่น้ำชิวๆ หรือหยอดไข่ลงไปต้ม แต่พอไปถึงจริง โอ้แม่เจ้า!!! เหมือนสวนน้ำเลยค่ะ และคนก็เยอะมากกกกกกด้วย
เห็นบ่อน้ำใสๆ ไหลๆ สวยๆ แต่บรรยากาศจริงไม่ชิวแบบนี้ค่ะ
หันมาเจอน้องแรดให้เด็กๆ เล่น
บ่อน้ำมีคนประมาณนี้ค่ะ อารมณ์เหมือนสวนน้ำ มีน้ำพ่นๆ มีน้ำตก(ประดิษฐ์) มีน้ำไหลๆ ไปตามทางน้ำ มีคนลงไปว่ายไปมาวิ่งไปมา นั่งให้น้ำตก ตกใส่ แค่น้ำทั้งหมดนั้นเป็นน้ำร้อน ถ้าตรงไหนใกล้ตาน้ำมากหน่อยก็จะร้อนมาก ถ้าไกลๆ ก็จะร้อนน้อยค่ะ
เดินเข้าไปลึกๆ มีให้เก็บสตอเบอร์รี่ด้วย แต่คนเยอะขนาดนี้คงไม่เหลือลูกดีๆ ให้เก็บแล้วล่ะ ตอนแรกพยายามจะเปลี่ยนเสื้อมาเล่นน้ำ แต่ห้องน้ำคนเยอะมาก ก็เลยเปลี่ยนใจจะมานั่งเล่นแทน ตามที่ว่างๆ จะมีเสื่อวางอยู่เต็มเลยค่ะ ซึ่งพอเราเข้าไปนั่งได้สักพักมีคนเดินมาเก็บเงินค่าเสื่อเลยค่ะ (ใช้ภาษาใบ้คุยกันเกือบไม่รู้เรื่อง) ไม่นั่งก็ได้ =3= ปูซะเต็มทุกพื้นที่ขนาดนี้
สุดท้ายเราเดินกลับมาที่จุดเริ่มใกล้ๆ ประตูหน้าค่ะ และพบว่ามีห้องน้ำที่คนไม่เยอะ ก็เลยเปลี่ยนขาสั้น แล้วมานั่งแช่เท้าที่บ่อนี้ บ่อตรงกลางที่เห็นเป็นตาน้ำร้อนที่ผุดขึ้นมา เอาขาแหย่แป๊บเดียวแทบสุก ไม่รู้คนอินโดแช่ ได้ยังไงตั้งนานสองนาน
ในนี้มีร้านอาหารด้วยนะคะ แต่ไม่ได้ลอง
โปรแกรมสุดท้าย เราไม่แวะ shopping Ferra เลยพาเรามาที่ร้านอาหาร kampung daun ซึ่งเป็นร้านที่ตกแต่ง style พื้นเมือง Ferra บอกว่าบริเวณนี้จะมีร้านอาหารหลายร้าน มีธีมตกแต่งต่างกันไป ร้านนี้เป็นร้านที่ตกแต่งเป็นกระท่อมไม้ไผ่
เข้ามาถึงมีร้านขายของอยู่เล็กน้อย
Where culture and taste meet
ระหว่างทางตกแต่งด้วยโคมไฟ
มีคุณพี่ท่านนี้ทำเหมือนจะเป็นหุ่น แต่ไม่เห็นอยู่นิ่งๆ สักที
บรรยากาศสวยงามร่มรี่นและเย็นสบายดีค่ะ มีน้ำตกจำลองด้วย
โต๊ะทานข้าวจะหน้าตาประมาณนี้
ตอนนี้ก็บ่ายสามเข้าไปแล้วเราก็หิวเต็มที่เลยขอกินข้าวที่นี่สักหน่อย โต๊ะของเราคือโต๊ะนี้ค่ะเป็นที่นั่งแบบห้อยขาได้ แอบได้ยินคนไทยอยู่โต๊ะใกล้ๆ ด้วย
เมนูมีภาษาอังกฤษสั่งง่าย
เห็น Mocktail มีนิ้วโป้งแดงๆ กำกับ ก็เลยสั่งมาสักหน่อย DWI WARNA กินแล้วสรุปว่าเป็นสตอเบอร์รี่โยเกิร์ต ใส่ไอศกรีมมะพร้าว
ข้าวของเราสั่งสเต๊ะเนื้อแกะ รสชาติโอเค แต่บางไม้เหนียว บางไม้นิ่ม
ของน้องเป็นซุปไก่ รสชาติคล้ายๆ ต้มยำ แต่รสอ่อนกว่าและติดไปทางเค็ม
Cashier
ขากลับออกมาก็เดินดูโน่นนี่สักหน่อย ร้าน cafe
รับจ้างวาดรูป
รถอะไรน่ะ
มีขายขนม style อินโดด้วย แต่อิ่มแล้วเลยไม่ได้ซื้อ
แล้วเราก็เดินทางกลับโรงแรมเพื่อทำงานต่อในวันรุ่งขึ้น ก่อนกลับแวะ family mart ซะหน่อย มีสะสมแต้มรับคิตตี้บาหลีด้วย