วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

[Mini Review] Love me tender le bistro


เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาใกล้วันเกิดคุณพ่อแล้ว ยู้รับหน้าที่หาร้านอาหารที่จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปทาน แล้วก็ไปเจอร้านนี้ใน app eatigo ค่ะ
001

Love Me Tender Le Bistro หน้าตาดูดี มีออร่าน่ากิน แถมถ้าจองตอน 11:00 หรือ 11:30 ลด 50% อีกต่างหาก
จาก Facebook ของร้านบอกว่า Style&Concept ของร้านคือ
เลิฟมีเทนเดอร์ เลอบิสโทร เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสสไตล์ Bistro ที่สุดและได้นิยามของคำว่า "เนื้อนุ่มละมุนลิ้น"
อาหารเป็นแบบ French Cuisine เริ่มจาก ซุปหรือสลัด ตามด้วยอาหารจานหลัก พร้อมด้วยเฮ้าส์ไวน์รสดี ตบท้ายด้วยของหวานหรือไอศครีมเหมาะสำหรับเลี้ยงสังสรรค์ครอบครัว เพื่อนสนิทมาเป็นก๊วน ดินเนอร์ชิลๆของคู่เดท บรรยากาศอบอุ่นสบายเคล้าเสียงเพลงบรรเลงเบาๆตามสมัยนิยม ที่สำคัญปริมาณเต็มอิ่มคู่กับคุณภาพ
ไม่ต้องบินไปไกลถึงปารีส ก็สามารถดินเนอร์สไลต์ฝรั่งเศสได้ที่ ร้านเลิฟ มี เทนเดอร์ เลอ บิสโทร ไม่เน้นหรูแต่ดูดี เป็นร้านอาหารอีกร้านที่ Beef Lover ไม่ควรพลาด!
ลองไปหาข้อมูลดู review ต่างๆ แล้วน่าสนใจมากกกกกกกกกกก ทุกคนบอกว่าเนื้อนุ่มอร่อยมาก

ในเมื่อเขาโฆษณาว่าห้ามพลาด แล้ว Beef Lover อย่างเราจะรออะไรอยู่ จองเลยสิคะ กดจองผ่าน app ใส่เวลา และจำนวนคน แล้วจะได้รหัสมา เก็บรหัสนั้นไว้เอาไว้ไปบอกที่ร้านเพื่อรับส่วนลด

พิกัดร้านอยู่ที่ TTN Avenue ถนนนางลิ้นจี่ค่ะ มีที่จอดรถ ร้านจะอยู่ชั้น 2 ข้างๆ ชาบูนางใน
ที่บ้านไปถึงตอน 10:50 ที่จอดโล่งมากมาย(ใครเขามากินข้าววันอาทิตย์ตอน 11 โมงกันล่ะ)
ร้านเปิด 11:00 ค่ะ ก็เลยเดินเล่นใน Tops ชั้นล่างรอเวลาไปก่อน

รูปหน้าร้าน ขาเข้ามัวแต่หิวเลยไม่ได้ชักภาพ มาถ่ายตอนขากินอิ่มแล้ว
002

พอ 11:00 ขึ้นมาหน้าร้าน แต่ที่ประตูยังติดป้าย close อยู่ เดินมึนๆ อยู่หน้าร้านแป๊บนึง พนักงานก็มากลับป้ายเป็น Open แล้วก็มีคนมาเปิดประตู
003

เข้ามาแล้วพนักงานถามว่าที่จองไว้ 4 ที่ใช่ไหมคะ ใช่เลยค่ะ!! คาดว่าคงจะมีพวกเราโต๊ะเดียวที่จองตั้งแต่ร้านเปิด
004

ตอนที่กินจะเสร็จเห็นมีคุณฝรั่งเข้ามาอีก 1 คน(ซึ่งเหมือนจะรู้จักกับที่ร้าน) นอกนั้นไม่มีคนเลยค่ะ อาหารก็เลยมาค่อนข้างเร็ว
ไม่รู้ว่าตอนเย็นคนจะเยอะหรือเปล่านะคะ
005

พอได้โต๊ะนั่งพนักงานก็เอาเมนูมาให้ค่ะ แล้วถามว่ารับน้ำก่อนไหม ก็เลยสั่งน้ำเปล่าไปค่ะ(พนักงานมีย้ำด้วยว่าน้ำเย็นใช่ไหมคะ สงสัยกลัวบางคนกินน้ำไม่เย็น)
มีทั้งเมนูแบบเล่ม เมนูที่ตั้งบนโต๊ะ(เหมือนเป็นปฏิทิน) แล้วก็เมนูที่เขียนไว้บนเสา ซึ่ง 3 ที่นี้มีบางเมนูซ้ำกัน แต่บางเมนูก็ไม่ซ้ำถ้าดูแต่ในเมนูเล่ม จะเห็นไม่ครบทุกเมนู แถมยังมีเมนูใหม่ๆ อีกต่างหาก พนักงานจะแนะนำว่าสนใจเมนูนี้ไหมคะ แล้วไปเอา ipad มาเปิดภาพให้ดูค่ะ ซึ่งการที่เมนูกระจัดกระจาย ก็ทำให้มึนๆพอสมควร
อาหารฝรั่งเศสตาม original น่าจะสั่งมากินแบบของใครของมัน แต่ที่นี่ประเทศไทยก็สั่งมาทานตรงกลางสิคะ เขามีจานของแต่ละคนให้ค่ะ
006

ก่อนจะไปถึงเมนูอาหาร ขอบอกก่อนว่ายู้รู้สึกว่าอาหารที่ร้านนี้บางจานรสชาติแปลกลิ้นดีค่ะ อาจจะเพราะยู้ไม่เคยทานอาหารฝรั่งเศส บางอย่างก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ไม่รู้ว่าเป็นรสชาติของอะไร รู้แต่ว่าแป๊บเดียวเกลี้ยงเลย
ตอนสั่งก็พยายามให้มันกระจายๆ ระหว่างเนื้อ แกะ ปลา ไก่ ซีฟู้ด และกรรมวิธีทำอาหาร(ซุป สลัด พาสต้า ย่าง ตุ๋น) ความจริงมีจานเนื้อที่อยากกินอีกหลายจานเลย

สั่งเสร็จแล้วก็มีขนมปังอุ่นๆ มาเสริฟ ขนมปังที่นี่จะเป็นแบบนุ่มหนึบค่ะ แปลกดี อร่อยอยากกินอีก แต่ตะกร้าละ 60 บาท ไว้คราวหน้าแล้วกันนะ
007

จานแรกเป็นซุปเห็ด MUSHROOM SOUP WITH TRUFFLE CREAM อร่อยดีแต่ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษ
009

SHAKE SALAD JAR : FIRE ROASTED PEPPER AU SALMON : สลัดที่นี่จะเสริฟมาในโหลค่ะ มาถึงพนักงานก็เอาโหลมาเขย่าๆๆ ให้น้ำสลัดทั่วถึงแล้วเทใส่จานให้ เลยไม่ได้ถ่ายรูปโหลมา ยืมรูปจาก FB ของร้านมาแล้วกัน
น้ำสลัดจะเป็นแบบเผ็ดนิดๆ ทานผักแล้วรสชาติไม่เข้มข้นเกินไปจนกลบรสผัก แต่ถ้าใครชอบทานน้ำสลัดเยอะอาจจะรู้สึกจืดไปหน่อย
ปล. แต่โดยส่วนตัวไม่ชอบน้ำสลัดรสแบบนี้นะ รู้งี๊สั่งซีซาร์ดีกว่า
019008

PASTA SEAFOOD LOBSTER SAUCE - จานนี้ประทับใจทั้งซอส ทั้งชีส รสเข้มข้น และรู้สึกว่ากินแล้วได้รสชาติของทะเลเบาๆ(ว่าไปนั่น) เส้นลวกมาได้หนึบกำลังดีมากๆ กุ้งก็เนื้อแน่นหนึบดี ปลาหมึกแม่บ่นว่าเนื้อบางแต่เราไม่ได้ชิมค่ะ
010

มาถึงจาน Highlight ที่ต้องสั่ง LMT Seared Beef Deluxe เมนูนี้มีทั้งแบบ 400g สำหรับ 2 คน และ 900g สำหรับ 4 คนค่ะ อยากกินหลายๆ อย่างงั้นสั่งแบบ 2 คนพอแล้วกัน ความสุกระดับ Medium
เสริฟมาในจานร้อน เนื้อมันนุ่มมาก ซึ่งเขาบอกว่าเนื้อร้านนี้ใช้วิธี “ซูวี” (Sous Vide) จึงทำให้นุ่มแบบนี้ค่ะ ใครสงสัยว่าวิธีนี้เป็นยังไง เราไม่รู้ค่ะ รู้แต่ว่าอร่อย!!!
ความนุ่มนี้มันเป็นคนละแบบกับเสต็กทั่วไปนะคะ ปกติแล้วเวลาเราทานเนื้อนุ่มๆ จะต้องมีไขมันแทรกในเนื้อ หั่นแล้วน้ำมันเยิ้มไปหมด แต่อันนี้ไม่มีเลยค่ะ
011

โอ๊ยยยยยย มาดูรูปอีกทีแล้วหิว
ปกติพ่อไม่ชอบกินของไม่สุก ชิ้นแรกพ่อเอาไปนาบกระทะให้มันสุกก่อน แต่พอชิ้นที่สองกระทะหายร้อนแล้วทำให้สุกไม่ได้ ท่านพ่อก็เลยค้นพบว่าชิ้นที่สองมันนุ่มอร่อยกว่าค่ะ ใครที่ยังไม่กล้าทานเนื้อแบบไม่สุก ลองสักคำแล้วจะติดใจนะคะ อิอิ
012

จานต่อมา BRAISED LAMB SHANK PORTOBELLO MUSHROOM & POLENTA AU GRATIN
เป็นขาแกะตุ๋น เนื้อนิ่มมากแค่เอาช้อนหั่นก็หลุดออกมาเป็นชิ้น เหมือนขาหมู แต่กลิ่นเป็นแกะค่ะ(บอกว่าเหมือนขาหมูนี่มันจะดูน่ากินหรือไม่น่ากินนะ)
ทานคู่กับอูกราแตงข้าวโพด ซึ่งไม่รู้สึกถึงข้าวโพดเลย รู้แต่ชีสสสสส มาก
พูดถึงแกะทุกคนมักจะพูดเรื่องว่าเหม็นสาบไหม เราตอบไม่ได้ค่ะ ไม่เคยรู้เลยว่ากลิ่นแบบไหนคือเหม็นสาบของแกะ เคยแต่รู้สึกว่าทำไมแกะจานนี้ไม่มีกลิ่นแกะเลย จนตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าหรือกลิ่นที่เราชอบมันคือกลิ่นที่คนอื่นไม่ชอบกันนะ
013

ที่สั่งไปชุดแรกแค่นี้ค่ะ กำลังทานใกล้จะหมด มีคนเดินมาถามว่าจะรับของหวานด้วยไหม เพราะถ้าสั่งทาร์ตต้องรอ 15 นาที แต่ว่าเรายังไม่อิ่มของคาว(ฮา) พอสั่งของคาวเพิ่ม พนักงานมาเปลี่ยนจานให้ เพราะตอนนี้ซอสจากจานแกะเลอะเต็มจานไปหมด
กินแบบไม่สนวัฒนธรรมฝรั่งเศส Main course จบ เราวนกลับไปกินซุปอีกรอบ(น้องสาวบอกว่าคิดซะว่ากินโต๊ะจีน มีซุปปิดท้าย)

ซุปล็อบสเตอร์ : LOBSTER BISQUE เมนูนี้เห็นใน FB ร้าน ตอนแรกหาในเมนูไม่เจอก็เลยยังไม่ได้สั่ง มาเห็นทีหลังว่าเขียนอยู่บนเสา
ประทับใจจานนี้อีกแล้ว ดูเหมือนยู้จะชอบเมนูล็อบสเตอร์นะเนี่ย รสชาติจะบางๆกว่าพาสต้า มีกลิ่นที่กินแล้วสดชื่นดี(สรุปก็ไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นล็อบสเตอร์หรือเปล่า)
ลืมถ่ายรูปขอรูปจากที่ร้านมาหน่อยแล้วกัน ความจริงหน้าตาอาหารคล้ายซุปเห็ดนั่นแหละ แต่เป็นสีส้ม
018

จบของคาวด้วยเมนูที่พนักงานแนะนำว่าเป็นเมนูใหม่ แล้ววิ่งไปเอา ipad มาเปิดให้ดูรูป ก็เลยจัดมา 1 จาน
ไก่ทอดกับวาฟเฟิล ตอนแรกก็งงๆ ว่ามันจะเข้ากันเหรอ แต่ก็อร่อยดีค่ะ เสียแต่เนื้อไก่แข็งไปนิดนึง
014

ตบท้ายด้วยของหวาน 
ของหวานในเมนูจะมี 2 อย่าง อย่างแรก คือ APPLE TART TATIN เสริฟพร้อมไอศกรีมวนิลา ยู้ชอบเมนูนี้นะ แต่ทาร์ตด้านล่างมันเหึ่ยวแบนเกินไปหน่อย ถ้าทำให้ฟูๆ กรอบๆ ได้จะเลิศมาก ส่วนไอติมน้องสาวประทับใจว่าอร่อย(ปกติน้องไม่ชอบวนิลา)
016

ความจริงของหวานในเมนูอีกอย่างคือ CREME BRULEE แต่ปกติไม่ค่อยชอบเท่าไหร่
พอดีว่าพนักงานแนะนำเมนูใหม่ พานาคอตต้า ซอสสตอเบอร์รี่ เลยจัดเมนูนี้แทน ซอสสตอเบอร์รี่เข้มข้น หวานๆเปรี้ยวๆ แต่อยากให้สีขาวด้านล่างมีกลิ่นเข้มกว่านี้หน่อยจะได้ตัดกับซอส
015

จบแล้วค่าเสียหาย 3340 บาท ลด 50% เฉพาะค่าอาหาร(ไม่รวมน้ำและของหวาน) บวก Vat ไม่บวก service charge รวมจ่ายไป 2011.60 คนละประมาณ 500 บาท
017

สรุป : อาหารอร่อย การบริการดี ประทับใจพนักงานมาก น่ารักเป็นกันเอง ยิ้มแย้ม กระตือรือร้นในการให้บริการ ส่วนราคาเนี่ยถ้าเป็นราคาเต็มอาจจะต้องคิดสักหน่อย แต่ราคาลดนี่คุ้มสุดๆ






วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Shinsei Sushi : Omakase ราคาไม่แรง

 

Omakase

ใครที่สนใจในอาหารญี่ปุ่นคงเคยได้ยินชื่อ Omakase กันมาบ้าง ถ้าเอาคำว่า Omakase ไปแปะใน Google Translate จะได้คำว่า お任せ แปลว่า “วางใจ”

ยู้ได้ยินคำว่า Omakase ครั้งแรกตอนที่อ่าน review ที่ไหนสักแห่ง เกี่ยวกับเที่ยวญี่ปุ่น แล้วผู้เขียนพาไปกินซูชิ แล้วบอกว่า ถ้าไม่รู้จะสั่งอะไรให้สั่งเชฟ Omakase เลย แล้วเชฟจะเลือกให้เราเอา(แต่ต้องระวังกระเป๋าฉีก)

แต่ช่วงหลังมานี้เห็น review ญี่ปุ่นหลายๆกระทู้พาไปกิน Omakase แบบเป็น course กันมากขึ้น มีทั้งซูชิและไม่ใช่ซูชิ แบบนี้จะดีตรงที่ควบคุมค่าใช้จ่ายได้เราจ่ายเงินไปเป็นจำนวนตายตัวแล้วเชฟก็จะจัดอาหารมาให้ตามมูลค่านั้น แต่ก็กระเป๋าฉีกอยู่ดี… เพราะแต่ละ course แพงรากเลือด

บ่นมานานสรุปว่า Omakase คืออะไรกันน้าาาาา ยู้ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญขนาดรู้ว่าแบบไหนเรียก Omakase ได้บ้าง ตามความเข้าใจแบบบ้านๆของยู้ มันคือ “ตามใจเชฟ” เลย ลองนึกภาพเราเป็นอภิมหาเศรษฐีเดินเข้าไปนั่งในร้าน เมื่อพนักงานเสริฟ(หรือเชฟ กรณีที่นั่งที่ซูชิบาร์) ถามเราว่า “วันนี้รับอะไรดีครับ” เราก็ตอบกลับไปว่า “เอาของที่ดีที่สุดของวัน ตามใจเชฟเลย” เท่สุดๆไปเลยใช่ไหมล่ะ ความจริงคือขี้เกียจคิด…

แต่ญี่ปุ่นคงไม่คิดอะไรตื้นๆแบบนั้น เขาบอกว่า Omakase คือความไว้วางใจในเชฟให้จัดเตรียมอาหารที่ดีที่สุดมาให้เรา วันนี้ไปซื้อหอยอะไรที่ดีที่สุดมาได้ วันนี้ได้ปลาแบบนี้ควรจะปรุงอย่างไรถึงจะดึงรสชาติของอาหารมาได้มากที่สุด ยิ่งญี่ปุ่นมีความเชื่อเรื่องอาหารตามฤดูกาลด้วยแล้ว ฤดูนี้อะไรอร่อย นั่นเป็นสิ่งที่ผู้ทานไว้วางใจให้เชฟซึ่งมีความรู้ความสามารถจัดมาให้ อย่างมากก็บอกแค่ไม่ทานเนื้อ แพ้อาหารอะไร แต่ไม่ใช่สั่งๆสิ่งที่อยากกินตามใจตัวเอง

บ่นมาเยอะแล้วเข้าเรื่องดีกว่า(นี่เจ๊ยังไม่เข้าเรื่องอีกเหรอ!!!)

 

Omakase ในไทย

รู้สึกอยากไปลอง Omakase มากๆ แต่ปัญหาหลายอย่างคือ 1) ต้องจองล่วงหน้านาน>พอหาทางได้น่าให้โรงแรมจองให้ 2) แพงกระเป๋าฉีก>หยอดกระปุกไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ได้เอง 3) คุยไม่รู้เรื่อง>ปัญหาเลยอังกฤษไม่แข็งแรง ญี่ปุ่นไม่ได้เลย Omakase เวลาเชฟเสริฟอาหารเขาจะบอกว่าคืออะไรทำจากอะไรกินยังไง เพื่อเพิ่มอรรถรสในการกิน บางร้านไม่รับคนต่างชาติเลยนะเพราะกลัวสื่อสารไม่ได้… เจอปัญหา 3 ข้อ เราก็เลยพัก project นี้ไว้ก่อน

ครั้งแรกที่ได้ยินว่า Omakase มีในไทยคือร้าน Yashin by Tenyuu แต่ราคาก็ 4-5 พันอ่ะนะ… ร้านอื่นก็ราคาประมาณนี้… ลังเล… like page ไว้… แล้วก็ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร

แต่แล้ว!! เราก็ได้เห็น Review ร้านนี้ Shinsei Sushi ราคาเริ่มต้นเพียง 1,500 บาทเท่านั้นเอง เอง เอง เอง

พอเห็น review แล้วก็อยากกิน หันไปบ่นกันน้องที่ทำงานคนหนึ่ง น้องตอบกลับมาว่า “ซูชิบ้าอะไร 12 คำ 1500!!! คำละร้อยกว่าบาท”

ฮืออออออออออ แม่ไม่เข้าใจตุ้ม T^T (มุกวัดอายุมากอ่ะ)

ไม่! เราไม่ยอมแพ้ อีกสองสามวันต่อมา หันไปเปรยกับน้องอีกคนซึ่งเล็งมาแล้วว่าชอบซูชิ ปรากฏว่าน้องสนใจ!!! “ไปกันไหมพี่?” ได้ยินดังนั้นแล้ว… เย้!!! จุดพลุ!!!  เก็บอาการแล้วตอบกลับไปว่า “ไปสิๆ” เสร็จตรู หลอกคนไปกินด้วยได้แล้ว

 

Shinsei Sushi

ใช้งานให้น้องโทรไปจองโต๊ะให้เรียบร้อย วันศุกร์เย็น ที่นี่ Omakase ช่วงเย็น 2 รอบเวลา 18:00 และ 19:30 เชฟบอกว่าตอนเที่ยงก็มีอีก 2 รอบ แต่ช่วงเที่ยงจะจอแจกว่านี้เพราะคนจะกิน lunch set กัน (อยากจะบอกว่าที่นั่งอยู่นี่ก็เสียงดังค่อนข้างดังแล้วนะคะ)

แต่ละรอบจะรับได้สูงสุด 7 คน ตอนโทรไปจองพนักงานบอกว่าให้มาตรงเวลานะคะ เพราะมีคนจองเวลาเดียวกันเดี๋ยวเขาจะรอ แต่ตอนไปกินก็เห็นมีอยู่แค่ 2 คนนี่แหละ

Omakase ที่นี่จะมี 3 แบบ 12 / 15 / 18 course ราคา 1,500 / 2,300 / 3,000 ตามลำดับ (ไม่รวมน้ำ, ไม่รวม Vat, ไม่มี service charge, เงินสดลด 10%)

พอใกล้เวลาเราก็ดี๊ด๊าออกจาก Office ฝ่ารถติดไปถึงร้าน สามารถจอดรถได้ที่คอนโดบ้านยศวดี ฝั่งตรงข้ามร้านนะคะ พอจ่ายเงินแล้วร้านจะให้บัตรเงินสดมาเพื่อจ่ายค่าจอดรถ

เข้ามาที่ร้านค่อยข้างเล็กเป็นตึกแถวห้องเดียว ซ้ายเป็นเคาท์เตอร์ ซูชิบาร์ และประตูครัว ขวาเป็นโต๊ะ (ไม่ได้ถ่ายรูปมานะคะ ไปดูรูปที่ http://pantip.com/topic/32918447 แล้วกัน)

ที่ของเราถูกจองไว้ที่ซูชิบาร์แล้ว แถมที่ทั้ง 2 ข้างของเรา เขาก็ reserve ไว้ไม่ให้คนมานั่งติดเราด้วย รู้สึก VIP ขึ้นมาทันที

2015-08-07 18.21.40

พนักงานก็เอาเมนูมาให้เรา อ้าวตอนจองก็บอกแล้วว่า Omakase ยังต้องดูเมนูอีกเหรอ เปิดๆพอเป็นพิธีแล้วก็สั่ง น้องขอชุดเบาๆ ที่ 1,500 บาท ส่วนยู้ด้วยความอยากรู้ว่ามีอะไรต่างกันบ้าง และเป็นผู้หญิงกินจุ เลยจัด 2,300 บาทไป

นั่งรออยู่สักพัก.. หิวแล้วววววววววว พอเริ่มกริ่มๆ จะโมโหหิว เชฟก็โผล่มาแนะนำตัว แล้วก็หายไปในครัวอีก

ในที่สุดเชฟก็โผล่มาพร้อมอาหารจานแรก!!!

เชฟทำอาหารไปแล้วเราก็เม้าท์ไปได้ความว่า เจ้าของร้านไปเรียนมาจากญี่ปุ่นแล้วก็อยากทำ Omakase ก็เลยไปชวนเชฟมา ส่วนเชฟเองทำซูชิมานานแล้วโดยเรียนจากการทำงานตามร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยนี่แหละ

 

รายการอาหารของวันนี้

course 12 ประกอบด้วย เทมปุระ ซาซิมิ ซูชิ 7 คำ ไข่หวาน ซุป และของหวาน ส่วน course 15 จะเพิ่ม ซูชิมาอีก 2 คำ และของร้อน 1 จาน

ขอบอกว่ายู้ชอบกินซูชิ แต่ไม่ได้ถึงกับเป็นผู้เชียวชาญ ความเห็นเป็นความเห็นส่วนตัว แบบลิ้นบ้านๆ บางรายการก็จำไม่ค่อยได้นะคะว่าปลาอะไรบอกผิดบอกถูกก็ขออภัยด้วย

รายการแรก เทมปุระปลาห่อใบโอบะ หน้าตาเหมือนหนอนทอด… ชินเมโจไต๋… ข้างในเป็นปลาปรุงรส(อารมณ์เหมือนพวกทูน่ามายองเนส) ห่อใบโอบะแล้วรสชาติตัดกันแบบแปลกๆดี ชอบที่เทมปุระกรอบ ข้างในร้อนกำลังดีไม่ลวกปาก

2015-08-07 18.18.46

ซาซิมิ ประกอบด้วย อากามิ ชูโทโร่ และ XXXอาจิ จำไม่ได้
กินกับวาซาบิดอง เชฟจะถามเราก่อนว่าทานวาซาบิได้ไหม

2015-08-07 18.23.51

เชฟบอกว่าปลาที่ใช้ใน a la cart กับ Omakase เหมือนกันค่ะ แต่ข้าวจะหุงด้วยหม้อเทพ และใช้น้ำส้มเทพ เชฟไม่ได้บอกยู้แปลเอง ที่เชฟบอกคือ ข้าวจะหุงด้วยหม้อราคาแพงซึ่งจะเป็นเม็ดสวยกว่า และใช้น้ำส้มสายชูแดงนำเข้าจากญี่ปุ่น ส่วน a la cart จะใช้น้ำส้มสายชูขาวที่ผลิตในไทย

 

มาไดแช่คอมบุ เชฟจะใส่วาซาบิและทาซอสมาให้แล้ว ใช้มือหยิบเข้าปากได้เลยยยยย

วาซาบิเป็นวาซาบิสด ขูดให้ดูกันตรงนั้นเลย

2015-08-07 18.31.22

 

โฮตาเตะ(หอยเชลล์) โรยเกลือจากหิมาลัย ไม่ต้องทาซอส หวานมากกกกกก ไม่รู้เพราะมันสดมาก หรือเพราะโรยเกลือก็เลยขับรสกัน เชฟบอกว่าถ้าทาซอสจะกลบรสโฮตาเตะไปหมด

เกลือหิมาลัยสีชมพูราคาก้อนละ 2,800 บาท

2015-08-07 18.33.49

 

เชฟปั้นๆไป 2-3 คำแล้วก็บอกว่า ถ้าผมปั้นขาดเตือนด้วยนะครับ แต่ถ้าเกินไม่ต้องบอก แย่แล้ว!! ไม่ได้นับ ไหนบอกให้หนูวางใจเชฟไงคะ

ปลาอะไรจิๆ ที่กินตอนจานแรกนี่แหละ เขาบอกคล้ายๆ ฮามาจิ

2015-08-07 18.36.09

 

คำนี้ชิมาอาจิ ปลาทูญี่ปุ่น ตัวนึงหนักประมาณ 2 กิโล (ตั้งใจฟังเชฟนะเห็นมั๊ยเนี่ย)

2015-08-07 18.38.53

 

คำนี้เฉพาะ course 3,000 นะจ๊ะ คินมาได(มั้ง)ลนไฟ หอมๆ อร่อยๆ ทำไมยิ่งกินรู้สึกกระเพาะยิ่งร่ำร้องให้ส่งอาหารลงมาอีกนะ

2015-08-07 18.42.34

 

อากามิ เอามาแช่โชยุไว้ก่อน 1 นาที แล้วซับด้วยกระดาษ เชฟไม่ได้บอกแต่เข้าใจว่ามันน่าจะดองน้ำส้มมานะ เพราะได้รสเปรี้ยวนิดๆ

2015-08-07 18.45.34

 

ต่อด้วยชูโทโร่

2015-08-07 18.47.35

 

และโอโทโร่ แปลกที่รู้สึกว่าโอโทโร่ที่นี่ไม่ค่อยเข้มข้น ปกติกินแล้วมันจะรู้สึกถึงความมันแตกกระจายในปาก

2015-08-07 18.50.34

 

เฉพาะ course 3,000 เป๋าฮื้อ หรือ Awabi คำนี้เหมือนจะแพง เชฟบอกว่าใช้เวลานึ่ง XX ชั่วโมง(จำตัวเลขไม่ได้แต่จำได้ว่านานมาก) แต่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ แถมตัวหอยไม่เกาะกับข้าวตอนหยิบมากกินข้าวเกือบแตกกระจาย ตอนเชฟปั้นก็เหมือนข้าวจะไม่คอ่ยอยู่ตัวเหมือนกันปั้นเสร็จทิ้งข้าวไปคำนึง

ไม่กล้าบอกเชฟว่าไม่อร่อยอ่าาาาาา

2015-08-07 18.54.20

 

คำนี้สิหวานอร่อยมากกกกก อุนิ สาหร่ายไม่ค่อยกรอบ แต่อุนิอร่อยมากให้อภัย ปรบมือรัวๆๆๆๆๆ

2015-08-07 18.56.28

ซูชิคำสุดท้าย Anago(ปลาไหลทะเล) ย่าง โดยที่ร้านจะเอาไปต้มก่อน แล้วพอจะเสริฟค่อยเอาไปย่างกับใบไผ่อีกที ทาด้วยซอส แล้วโรยด้วยเปลือกส้มยูสุ ไม่ได้กลิ่นยูสุหรอกนะ แต่อร่อยยยยยยยย

ปกติที่กินในไทยจะรู้สึกว่า Unagi อร่อยกว่า(แต่ Anago แพงกว่านะจ๊ะ เพราะเนื้อละเอียดกว่า) แต่ร้านนี้อร่อยอ่ะ ขึ้นกับวิธีทำสินะ

2015-08-07 18.59.05

 

เฉพาะ course 3,000 กุ้งราดซอสมิโซะสูตรทางร้าน โรยด้วยไข่กุ้ง หัวกุ้งกรอบกินได้ทั้งหัวเลย แต่ซอสเยอะไปหน่อยไม่ค่อยรู้สึกถึงตัวกุ้งเลย

2015-08-07 19.04.00

 

หลังจากนี้มีไข่หวาน และซุป(เป็นซุปใส) แต่ลืมถ่ายรูปมาค่าาาา

สุดท้ายยย ของหวานมีให้เลือกระหว่าง เมล่อน ไอติมชาเขียว ไอติวาซาบิ หลังจากเห็นเราลังเล เชฟเลยบอกว่าตักแบบสองลูกให้ก็ได้ เลยได้กินสองรส อิอิ

อร่อยมากทั้ง 2 รสเลย ชาเขียวเข้มข้นทั้งรสนมและชาเขียว สัมผัสก็หนึบๆ ส่วนรสวาซาบิ Main จะหวานๆหอมๆ แล้วมีกลิ่นหอมวาซาบินิดๆ อร่อย!! (ยู้ว่ารสเหมือนถั่วพิชตาชิโอรสวาซาบิที่นิยมซื้อกันมาจากญี่ปุ่นที่ห่อเล็กๆ สามเหลี่ยมๆ) 

2015-08-07 19.16.25

 

ค่าเสียหาย Course + ชาเขียว refill 30 บาท ลด 10% แล้วบวก 7%

เชฟบอกว่าคราวหน้ามาใหม่ได้นะ อาหารจะเปลี่ยนไปแล้วแต่วัน Course 1500 อาจจะไม่ค่อยเปลี่ยน แต่อีก 2 Course ถ้ามีปลาใหม่ๆ เข้ามาจะได้กิน

2015-08-08 23.53.02

 

นามบัตรร้าน

2015-08-08 23.54.27

ตอนกินก็รู้สึกว่ามันเยอะๆ ซูชิ 9 คำ มันน่าจะหมดแล้ว กลับมาบ้านแล้วเพิ่งมานับจากรูป… เฮ้ยยยยย แถมจริงด้วย เชฟแถมมาให้ 2 คำ อิ่มกำลังดีเลย

 

สรุปแล้ว

ข้อดี 

  • ปลาสดอร่อยได้มาตรฐาน
  • ปลาปั้นแบบพอดีคำ บางร้านสมัยนี้ปลาจะชิ้นใหญ่มาก กินแล้วรู้สึกมันไม่พอดีกับข้าว แล้วก็ล้นปากกินคำเดียวไม่หมดต้องกัดครึ่ง ทำให้ไม่ได้อรรถรสในการกินเท่าที่ควร
  • ราคาไม่แรงมากสำหรับ Omakase เหมาะสำหรับคนอยากลอง แต่ทุนไม่เพียงพอ
  • ตอนอยู่ในร้านจะรู้สึก VIP มากกินเสร็จมีคนเก็บจานทันที น้ำเติมตลอดไม่ต้องเรียก ถ้าพนักงานเผลอหรือขาดอะไรไป เชฟจะช่วยดูแลเรียกให้ค่ะ
  • บรรยากาศสบายๆ

ข้อเสีย - ความจริงก็คิดว่าด้วยราคา คงจะไม่ได้ perfect มาก แต่ก็มีจุดเล็กๆ ที่รู้สึกว่าน่าจะปรับปรุงได้ค่ะ

  • ถ้าเราจองแบบ Omakase มา ก็น่าจะเข้ามาแนะนำแต่ละ Course เลย ว่าเอา Course ไหน จะสั่งน้ำอะไร ไม่น่าจะเอาเมนูทั้งเล่มมาให้ดู
  • การสื่อสารยังไม่ดี เพราะเราสั่งไม่เหมือนกัน เชฟเข้าใจผิดว่าคนไหนกิน course ไหน นี่ยังดีที่รู้ก่อนเสริฟ
  • คาดหวังว่าจะได้ฟังคำอธิบายเกี่ยวกับอาหารมากกว่านี้ ไม่รู้ว่าพอทำนานๆเชฟเริ่มเบื่อที่จะเล่าหรือเปล่า อย่างจานแรกใบเป็นใบโอบะนี่ก็ต้องถามเองว่าใบอะไร (หรือเราคาดหวังมากไปเองไม่รู้ เห็น review คนอื่นเขารู้เรื่องไปหมดว่ากรรมวิธีทำยังไง)
  • ร้านเสียงค่อนข้างดัง เพราะร้านเล็ก และโต๊ะติดๆกัน และเชฟก็พูดเสียงไม่ดัง มีหลายครั้งที่ฟังเชฟไม่ได้ยินว่าปลาอะไร
  • เชฟล้างมือก่อนปั้นข้าว แต่ปั้นไปก็เปิดตู้ เปิดประตูหยิบโน่นหยิบนี่เปิดประตูเดินกลับไปในครัว(ความจริงเราไม่ถือหรอก แต่คนอื่นอาจจะไม่ชอบ)
  • Course ก็ตั้งแพงแถมน้ำชาให้หน่อยก็ไม่ได้

ถามว่าจะไปกินอีกไหม ถ้ามีโอกาสก็อยากจะไป(ร้านอยู่ไกลบ้าน โอกาสอาจจะน้อยนิดนึง) แต่คงจะไม่ทาน Omakase แล้ว ลองให้รู้พอ กระเป๋าแฟ่บบบ

Hello world!!!!

สวัสดีทุกท่าน(ถึงแม้จะคงยังไม่มีใครเห็นก็เถอะ) 8/8/2015 ตัดสินใจย้ายจาก Wordpress มาเข้าอารยธรรม Google โดยใช้ Blogger แทน

ต่อไปนี้ตั้งใจจะเขียน Blog ให้มากขึ้น ไม่รู้จะทำได้แค่ไหน และย้ายบทความเก่าจาก Wordpress มาลงด้วย บทความก่อนหน้า Post นี้ทั้งหมดคือที่ย้ายมา (ซึ่งมีที่ย้ายมาจาก space อีกทีนึง) ว่าจะพยายามเข้าไป review พวก link หรืออะไรบางอย่าง ถ้ายังเห็นอะไรแปลกๆ หรือ link ที่กดแล้วไม่เจอก็แจ้งกันได้นะคะ

Blog นี้ทำขึ้นด้วยเหตุผล 2 อย่าง
1) ความต้องการระบายความคิดในหัวของยู้ออกมาเป็นตัวหนังสือ
2) อยากจะ share และ review อะไรบางอย่างที่ได้ไปสัมผัสมา เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครบ้าง เพราะยู้เองก็ชอบหา review ใน internet เหมือนกัน

ใครหลงเข้ามาก็ฝากเนื้อฝากตัว ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ^/\^

วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558

Book Fair // March 2015

ไปเดินงานหนังสือมาเลยว่าจะเขียน diary แบบขำๆ ลางานไปเดินช่วงบ่ายสาม คนไม่เยอะมาก

เริ่มจาก Plenary Hall เดินไปเดินมาเล็งไว้หลายเล่ม แต่ยังไม่ซื้อกะว่าดูทั่วๆ ก่อน

เดินไปเล็งนานมีบุ๊คส์ เห็นน่าอ่านอยู่บ้าง ทั้งที่ปีที่แล้วเห็นแต่ไม่ได้ซื้อ และเล่มใหม่ๆ(หรือมันเก่าแต่จำไม่ได้ก็ไม่รู้) สรุปว่าเดินออกมามือเปล่า เพราะจากประสบการณ์ หนังสือนานมีบุ๊คส์ ประมาณ 80% อ่านแล้วน่าสนใจ แต่สนุกไม่สุด เลยขอข้ามไปก่อน

เปิดด้วยนายอินทร์จาก Shock zone ซื้อ 7 เล่ม ลด 70% ได้นิยายแปลมา 11 เล่ม เล่มเดียวจบหยิบๆ มาได้ 6 เล่ม

ชุด นิมิตมนตรา 3 เล่ม และ ชุด Magic’s Child 2 เล่ม

ใน shock zone มีไม่ครบชุด(ขาดไปชุดละเล่ม) ออกมาสั่งเล่มที่ขาดไปทางเน็ตเพิ่มเติมทีหลัง

รวมนายอินทร์ 11 + 2 เล่ม ฿844 + ฿285 บาท = 1,129 บาท

ช็อปโซนนี้มีความสุขได้ลดจากราคาเต็มไปประมาณ 2,000 บาทได้ ^^

ออกจากนายอินทร์มาต่อที่ บูธในเครือสุขภาพใจ

ซื้อมาเมะโกมะมาฝากน้องสาว ฿170  x 3 เล่ม (แต่ดันเหมือนเห็นบูธอื่นขายถูกกว่านี้ T_T)

ชุดแฟนตาซี เซราฟีน่า ฿238 / มรดกมนตราจากกริมม์ ฿196 / ของตกทอดจากเวลส์ ฿179 สองเล่มหลังนี่ซื้อเพราะชอบปกเลยนะ เนื้อหาไม่ค่อยได้ดู

รวม 6 เล่ม 1,123 บาท

ราคาช่างต่างจากเมื่อกี๊ ตอนแรกที่แคชเขียร์บอกนึกว่าฟังผิด เพราะเพิ่งออกมาจาก Shock zone น้ำหนักหนังสือที่ยื่นให้ไปเมื่อกี๊มันเบากว่า หนังสือในกระเป๋าที่เพิ่งหิ้วออกมาจากนายอินทร์อยู่มาก แต่ราคาแพงกว่า(เพราะมาเมะโกมะเล่มบางด้วยแหละ) คิดอีกทีที่ยื่นไปก็ตั้ง 6 เล่ม เล่มละประมาณ 200 ก็คงราคาประมาณนี้แหละ = =!

ตั้งแต่เพิ่งเข้างานเดินผ่านสำนักพิมพ์ครอบครัว เตะตาเจ้าเล่มนี้

“พลูโตเล่าเรื่อง ความลับของเอกภพ”

ตอนแรกหยิบมาดูแล้ววาง สุดท้ายเดินกลับมาซื้อใหม่ทีหลัง

จัดไป 1 เล่ม = 72 บาทเล่มบางๆ สี่สีทั้งเล่ม

เดินผ่าน Post book เข้าไปเล็งๆ เจอ 2 เล่มนี้ Fan club Disney อย่างเราก็คันมืออยากจะหยิบ และมีเล่มอื่นที่ดูน่าสนใจด้วย แต่ขอทดไว้ในใจเดินผ่านไปก่อน

เดินกลับมาดูเพื่อตัดสินใจอีกทีตอนจะกลับ คนขายบอกว่า 2 เล่มยังมีต่อแต่จบในตอน คิดอยู่นานว่าจะรอมันออกให้ครบๆ ดีไหม

สุดท้ายก็ซื้อมาลองอ่านก่อน ตอนแรกว่าจะซื้อเล่มเดียวดีไหม แต่ก็นะมันอุตส่าห์มีคู่ซื้อมาเล่มเดียวเดี๋ยวหนังสือมันจะเหงา ส่วนเล่มอื่นของ Post book คงต้องรอไปก่อน

฿236 x 2 เล่ม = 472 บาทจ๊ะ


เดินไปเดินมาพอผ่านบูธการ์ตูนก็หยิบๆ การ์ตูนเล่มต่อมา ปีนี้ไม่ได้ซื้อชุดใหม่แล้วเพราะไม่มีที่เก็บ

วิบูลย์กิจ 4 เล่ม ฿190 / สยามฯ 1 เล่ม ฿40 / บงกช 2 เล่ม ฿90 / เนชั่น 1 เล่ม ฿47

รวม 8 เล่ม 367 บาท


รวมได้ของจากงานหนังสือปีนี้

หนังสือ 20 เล่ม + 2 เล่มที่มาซื้อนอกงาน = ฿2,511 + ฿285 = 2,796 บาท

การ์ตูน 8 เล่ม 367 บาท

รวม 3,163 บาท



  • แวะบูธเอนเทอร์เล็ง Maze Runner(4 เล่ม) / The Kane Chronicles(3 เล่ม+1 เล่มพิเศษ) / The Heroes of Olympus(5 เล่ม) / Daemon Bakery(5 เล่ม ยังออกไม่ครบ) / สมรภูมิล่าเมือง(ยังไม่จบ) เยอะเกิน!!! แต่สรุปก็ไม่ได้ซื้อมาเลย รอครั้งหน้าแล้วกันนะ

  • ว่าจะซื้อหนังสือท่องเที่ยวของ Think net มาอีก 2 เล่ม แต่ลืมเดินกลับไปซื้อ

  • อยากได้พวก 3 ก๊ก อิเหนา รามเกียรติ์ และหนังสือแนวความรู้อีกหลายเล่ม มาหลายรอบแล้ว แต่ไม่ได้ซื้อสักที

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

My 10 Years

ว่าจะเขียนตอนครบรอบ 10 ปี แต่ท่าทางเดือนนั้นจะยุ่ง เขียนซะตอนนี้เลยแล้วกัน

จำได้ว่าตอนเข้าทำงานยังคิดว่าจะอยู่ถึงรับ provident fund หรือเปล่า แต่อีกประมาณ 2 เดือนเราก็จะทำงานมาครบ 10 ปีแล้ว กับที่ทำงานที่แรก ที่เดียวนี้

ช่วงประมาณ 1 ปีมานี้รู้สึกว่ามี status บน Facebook ของเพื่อนๆ หลากหลาก ที่เกี่ยวกับงาน(ส่วนใหญ่จะบ่น) ทำให้มานั่งคิดว่า เราก็ทำงานอยู่ที่นี่มาจะ 10 ปีแล้วเนอะ ทำไมถึงอยู่ได้ทนขนาดนี้??

(1) บริษัท

บริษัทที่ทำอยู่นับว่าเป็นบริษัทที่ดี มีความมั่นคง ถึงจะไม่ได้เป็นถึง great place to work แบบที่เขาพยายามทำ แต่ก็นับว่าดี จะหาอะไรที่ perfect มันก็เป็นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ

(2) งาน

แม้จะไม่ได้เป็นงานที่รัก แต่ก็เหมาะกับเรา และเราก็ทำได้ดีเลยล่ะ

(3) จังหวะเวลาและโชค

ได้เข้ามาบริษัทช่วงที่เขากำลังปรับเป็น Promote แบบ Fast และเป็นช่วงที่บริษัทไม่ใหญ่มาก กำลังโต เราจึงเรียนรู้งานและเติบโตไปกับบริษัทได้ง่าย

(4) เพื่อนร่วมงาน

รวมถึงพี่ๆน้องๆ ทั้งในทีม และต่างทีม ที่ให้ความช่วยเหลือกันดี ไม่ต้องมาคอยระวังหลังว่ามีใครจะมาแทงหรือเปล่า โดยเฉพาะเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่น่ารักในทีม ที่ทำให้เราเหมือนได้ครอบครัวขนาดใหญ่มาอีกหนึ่งครอบครัว(และมีแนวโน้มว่าครอบครัวจะขยายไปเรื่อยๆ) หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไม่อยากไปไหนเลย

(5) หัวหน้า

การมีหัวหน้าที่ดี น่ารัก และเข้าใจลูกน้อง เป็นลาภอันประเสริฐ ยิ่งเห็นความสำคัญของเราด้วยแล้ว ไม่รู้จะได้เจอแบบนี้อีกไหม บางทีได้ยินเพื่อนเม้าท์ถึงหัวหน้าตัวเองแล้ว เล่นทำเอาไม่กล้าหางานเลยทีเดียว(กลัวเจอหัวหน้าแบบนั้น >.<)

(6) ตัวเอง

สำคัญที่สุด ซึ่งมันก็มาจากทั้งข้อดี และข้อเสียของยู้เอง

ส่วนหนึ่ง เพราะ ความเอื่อยเฉื่อย ไม่ชอบแข่งขัน และไม่ทะเยอทะยาน ทำให้เราไม่ได้คิดว่าจำเป็นจะต้องเปลี่ยนงานเพื่อความก้าวหน้า หรือการขึ้นเงินเดือน

แต่อีกส่วนคือ การยอมรับสถานการณ์ มองต่างมุม การแก้ปัญหาที่ตัวเอง และการมองหาความสุขในสิ่งที่ตัวเองทำ

หยุด "บ่น" เท่าที่จะเป็นไปได้(แปลว่าตอนนี้ยังหยุดเด็ดขาดไม่ได้ 555+) ถ้าเกิดปัญหา หรือความไม่ชอบใจขึ้น สิ่่งที่ต้องเตือนตัวเองคือ

มันมีข้อดีไหม?
ถ้าเราหงุดหงิดไม่ชอบใจก็มักจะเห็นแต่ข้อเสีย ลองมองดูใหม่อาจจะเห็นว่า เอ้อ! เรื่องนี้ก็มีข้อดีเหมือนกันนะ

  • ถ้าเราได้งานยาก และว่าปีนี้จะมีอะไรเอาไปโม้ตอนประเมิน

  • ถ้าได้งานใหม่ๆที่ไม่ถนัด นั่นหมายถึงเราได้เรียนรู้

  • ถ้าอะไรๆหัวหน้าก็ให้เราทำ นั่นแปลว่าเขาเชื่อใจและให้ความสำคัญกับเรา



ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น?
ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นเขา เราจะทำอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นมีเหตุผลไหม

  • Process ของบริษัทที่มันเยอะแยะ เพราะต้องการป้องกันความผิดพลาด

  • การที่หัวหน้าลืม review งานให้เราอยู่เรื่อย เพราะเขาติดประชุมยุ่งมาก


ให้คิดถึงความลำบากของเขา ไม่ใช่คิดถึงแต่ความลำบากของเรา ถ้าเราพยายามเข้าใจเขา สุดท้ายถึงความหงุดหงิดจะไม่หายไป แต่ก็จะเบาบางลง

เราแก้อะไรที่ตัวเองได้บ้าง?
หลายคนมักจะรู้สึกว่าถ้าชั้นเป็นคนเปลี่ยนจะต้องทำเยอะเลยนะ เปลี่ยนที่คนอื่นง่ายกว่าไหม ทำนิดเดียวเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่คนอื่นจะเปลี่ยนนั้น มันยากกว่าเริ่มเปลี่ยนที่ตัวเอง

  • Process เยอะ และซ้ำซ้อน ลองเสนอหัวหน้าตัดออกบ้างได้ไหม หรือถ้ามันซ้ำกันจริง แปลว่าเราทำพร้อมๆ กันได้ไหม copy มาเลยได้ไหม

  • หัวหน้าช้า และชอบลืม เราเข้าไปเตือนบ่อยๆ ได้ไหม แยกประเภทของงาน งานไหนรอได้ งานไหนรอไม่ได้ ตอนเอาไปส่งก็ย้ำไปเลยว่าเร่งนะคะ ช่วยทำทันทีด้วย

  • ถ้า user ชอบส่งเอกสารกลับมาช้า คราวหน้าเราเผื่อเวลาให้มากขึ้นได้ไหม หรือเราโทรไปเตือนล่วงหน้าสักหน่อยได้ไหม


ความจริงการแก้ไขที่ตัวเองถ้าเราคิดแล้ว(อย่างไม่เข้าข้างตัวเอง) ว่าให้คนอื่นเปลี่ยนมันง่ายกว่าจริงๆ เราก็เริ่มทำได้ง่ายๆ ด้วยการไปบอกเขาว่าช่วยทำ..... ให้หน่อยได้ไหมคะ ดีกว่านั่งบ่น แล้วหวังลมๆแล้งๆให้อะไรๆเปลี่ยนไป

ถ้าคิดว่าทำอะไรที่ตัวเองไม่ได้แล้วจริงๆ สิ่งสุดท้ายที่เราเปลี่ยนได้ คือ เปลี่ยนตัวเองออกไปจาก environment นั้น.... ลาออกนั่นเอง อ้าว!! นี่มันบนความเกี่ยวกับการไม่ลาออกนี่นา

การลาออกเป็นเรื่องใหญ่(เมื่อเทียบกับไอ้ปัญหาขี้ประติ๋วนี่) ถ้าคิดว่าเราจะย้ายตัวเองไปที่อื่นดีไหม เราก็ต้องมาคิดถึงข้อดี ข้อเสีย ความเสี่ยง และมาถามตัวเองว่า เราจะยอมรับปัญหานี้ได้ไหม เมื่อเทียบกับข้อดีอื่นๆ ที่บริษัทให้เรา ถ้าตอบตัวเองว่า "ได้" แล้ว มันก็เป็นการตัดสินใจของเรา ความรับผิดชอบของเรา ที่จะต้องอยู่กับปัญหานี้ต่อไป

สุดท้าย และท้ายสุด มองหาความสุขเล็กๆให้กับตัวเองบ้าง


  • ลูกค้าน่ารักๆ ขอบคุณที่เราใส่ใจแก้ไขงานให้

  • เพื่อนร่วมงานที่เต็มใจให้คำปรึกษา แก้ไขปัญหาให้เรา

  • น้องๆ ที่เห็นเราเป็นที่พึ่ง เห็นเราเป็นคนเก่ง บอกอะไรก็รับฟัง ถึงแม้ว่าบางทีเราจะมั่วๆบ้าง หรือช่วยอะไรไม่ได้บ้างก็ตาม

  • พี่ๆ ที่เป็นห่วงเป็นใย คอยถามไถ่เวลาเห็นเรากลับดึก

  • การหา error ให้ user ก็เหมือนเกมปริศนาที่ไม่มีเฉลยให้แอบดู

  • วินาทีที่เจอสาเหตุ หลังจากงมมาทั้งวัน รู้สึกเหมือนเป็นนักโบราณคดีที่ขุดพบพิรามิดที่หายสาบสูญไป



เคยคิดไหมว่าจะลาออก? เคยมากกว่า 1 ครั้งแน่นอน ช่วง 3-5 ปีเป็นช่วง peak ที่สุด อารมณ์เบื่อ เครียด ไม่ได้ดั่งใจ ทำไมบริษัทถึงทำแบบนี้ ถ้าบริษัทจะเปลี่ยนเป็นแบบนี้ ขอไปก่อนที่มันจะแย่ไปกว่านี้ดีกว่า

แต่พอผ่านจุดนั้นมา ทุกๆ คนก็เริ่มปรับตัวได้ เริ่มรู้ว่าจะทำงานภายใต้ระบบใหม่อย่างไร เราจะ deal กับคนนี้อย่างไร คนนั้นอย่างไร สิ่งที่เราคิดไปเองว่าจะแย่แน่ๆ ก็ไม่แย่อย่างที่คิด ความคิดเราโตขึ้น รู้ว่าทั้งบริษัท และทั้งพี่ๆ ไม่มีใคร perfect แม้แต่ละคนจะมีข้อเสียของตัวเอง แต่ทุกคนก็ตั้งใจทำงานและมีความรับผิดชอบ (มากน้อยต่างกันไป :P)

รวมถึงเพราะคนที่ออกไปอยู่ที่อื่นมาเล่าสู่กันฟัง งานใหม่ก็มีดีมีแย่ผสมปนเปกันไป ก็เลยรู้สึกว่าอะไรที่เป็นอยู่มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดนะ

ความคิดที่จะลาออกตอนนี้มีเรื่องเดียว คือ เริ่มกลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นอยู่ในกะลา อยากจะมีการเปลี่ยนแปลงให้ตัวเอง active หรือหาอะไรใหม่ๆ ทำบ้าง