วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

Cheer Up

พักนี้นอกจากจะเป็นภูมิแพ้แล้ว บางทียังตื่นขึ้นมาแล้วปวดหัว คลื่นไส้ด้วย ไม่รู้เป็นเพราะเครียดหรืออย่างไร บางทีก็รู้สึกเศร้าๆ เซ็งๆ เหมือนกัน(สงสัยเป็นวันนั้นของเดือน) วันสองวันมานี่ก็ดีขึ้นบ้างแล้ว เวลาเศร้าทีไร ก็ต้องพยายามทำตัวทำใจให้สดชื่นแจ่มใสไว้

ถ้าเครียดอยู่แล้วทำหน้าเครียดจะยิ่งเครียด ถ้าเศร้าอยู่แล้วทำหน้าเศร้าจะยิ่งเศร้า ถ้าเซ็งอยู่แล้วทำหน้าเซ็งจะยิ่งเซ็ง แต่ก็ต้องไม่ฝืนทำหน้ายิ้ม ไม่งั้นจะยิ่งเหนื่อย ใช้วิธีปล่อยวางแล้วคิดถึงแต่เรื่องดีๆ เข้าไว้

เมื่อก่อนมีนิสัยประหลาดอย่างนึง พอมีอารมณ์เรรียดขึ้นมา ถ้าเพื่อนๆ มีความสุขอยู่จะแสดงออกอย่างชัดเจนเลยว่าเครียด แต่ถ้าเพื่อนเครียดอยู่ล่ะก็ จะร่าเริง บ้า ไร้สาระขึ้นมาทันที คงเป็นจิตใต้สำนึกว่าถ้าเราเครียดไปด้วย บรรยากาศจะมาคุเกินไปล่ะมั้ง แต่ถ้าเพื่อนมันมีความสุขอยู่ก็ให้มันปลอบเราได้ (แต่พักนี้ไม่เป็นแล้วมั้ง)

หรือที่วันสองวันมานี่ดีขึ้นเพราะน้องต้นนั่งหน้าเครียดอยู่ข้างๆ นะ (น้องต้นทำงานไม่ทันเลยเครียด)

ทำให้นึกถึงคำพูดอันนึงขึ้นมา


ปัญหาในโลกนี้มี 2 อย่าง ปัญหาที่แก้ได้ กับปัญหาที่แก้ไม่ได้

ปัญหาที่แก้ได้ ย่อมมีทางแก้ไข ดังนั้นค่อยๆ หาอย่าไปเครียดกับมัน

ส่วนปัญหาที่แก้ไม่ได้ ย่อมแก้ไม่ได้ ดังนั้นก็อย่าไปเครียดว่าจะต้องแก้มัน

ตอนฟังรู้สึกว่า ถ้าไม่เครียดกับมันได้ก็ไม่ใช่ปัญหาสิฟะ

แต่ความจริงแล้วก็เอามาประยุกต์ใช้ได้นะ ถึงจะไม่ทั้งหมดก็ตาม ส่วนใหญ่ปัญหาที่เราจะเครียดคือปัญหาที่แก้ได้ยาก และปัญหาที่แก้ไม่ได้ ถ้ามันแก้ได้ง่ายๆ คงไม่ต้องเครียดอ่ะนะ  ส่วนใหญ่เราจะมองแค่ว่ามันเป็นปัญหา ก็เลยเหมือนปัญหามันกองสุมกันอยู่แก้ไม่หมดสักที

แต่ถ้าเราลองแยกปัญหาที่แก้ไม่ได้ออกมา แล้วปล่อยวางกับมันซะ ความเครียดก็จะลดลงไปเยอะ

ถ้าเทียบกับโจทย์เลข เช่น ถ้ามีคนถามว่า X+Y=1 แล้ว X = ? คนถามก็ไม่รู้ว่า X เป็นจำนวนเต็มหรือไม่ Y เท่ากับเท่าไหร่ ถ้าอย่างนี้ก็ตอบไม่ได้แน่นอน อันนี้เป็นปัญหาง่ายๆ แต่ถ้าเป็นโจทย์ยาวๆ ยากๆ มีทั้งยกกำลัง มี log มี sin cos ล่ะ แค่เห็นว่าสมการมีตัวแปร 2 ตัวก็น่าจะไม่มีคำตอบแล้ว ทางที่จะแก้ปัญหาได้คือหวังว่า Y จะตัดกับหมดไป แต่แก้เท่าไหร่ก็ไม่ได้สักที พอแก้แล้วไม่ได้ก็คิดว่าตัวเองคิดผิด ไปลองคิดอีกแบบ ก็ยังไม่ได้คำตอบ สิ่งที่เราลืมไปก็คือ คำถามที่ไม่สามารถตอบได้ก็มีเช่นกัน เราควรจะลองเปลี่ยนมามองปัญหาในมุมอื่น ดูว่าจะตอบคำถามแนวอื่นได้ไหม เช่น ขอตอบเป็นช่วงได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ทำใจไปเลยว่าตอบไม่ได้ ไม่ต้องเครียดแล้วเครียดอีกกับมัน

บางคนอาจบอกว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข  แต่สถานการณ์อย่างไรล่ะถึงจะแก้ไขได้

ปัญหาน้ำมันแพง อาจจะแก้ไขได้ก็จริง แต่วิธีอาจจะต้องเพิ่มการขุดเจาะ(ซึ่งไม่ดีต่ออนาคต) หรือต้องหาพลังงานทดแทน แต่ในสถานการณ์ ที่เราเป็นประชาชนคนธรรมดา ย่อมไม่สามารถแก้ไขได้

ถ้าเราจะเปลี่ยนมามองอีกมุม ว่าทำไมน้ำมันแพงถึงเป็นปัญหา เพราะว่าจะทำให้ไม่มีเงิน เราจะแก้ปัญหาในส่วนนั้นด้วยวิธีอื่นได้หรือไม่ เช่น หางานที่เงินเยอะขึ้น ประหยัดค่ากินอยู่ หรือเลิกใช้รถซะเลย

เปลี่ยนจากแก้ปัญหาน้ำมันแพง มาเป็นทำให้การที่น้ำมันแพงไม่เป็นปัญหากับเรา ^_^

แค่ยกตัวอย่างนะ ความจริงน้ำมันแพงก็ยังส่งผลอื่นๆ อีก เช่น ของราคาขึ้น รถเมล์ขึ้น T_T เศร้า

และพวกปัญหาที่แก้ได้ยากอีก ก็ต้องเครียดหาทางแก้กันต่อไปล่ะนะ

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

Indiana Jones 4 กับ Juno

สองเรื่องนี้มีอะไรเหมือนกัน
คำตอบคือชื่อหนังเป็นชื่อตัวเอกเหมือนกัน :P
ไปดู Indiana Jones มาเมื่อวันศุกร์ ส่วน Juno ดูวันเสาร์หลังจากไปโบ๊เบ๊
เอาสั้นๆแล้วกันนะ
Indiana Jones ดูแล้วก็สนุกดี แต่เวอร์สุดๆ (ซึ่งคงเป็น style ของหนังชุดนี้) ขนาดไม่เคยดูภาพ 1-3 ยังรู้สึกได้ว่ามีบรรยากาศเก่าๆ ของภาคแรกๆ เยอะ เรียกว่าไม่ทิ้งแนวหนัง คงให้อารมณ์เหมือนดู die hard 4 ล่ะมั้ง เห็นพระเอกแก่ๆ แล้วตลกดี พักหลังนี้ฮอลิวู้ดสงสัยหมดมุข หนังไม่ทำเงิน หยิบหนังเก่ามาทำภาคต่อกันเต็มเลย
Juno ไปดูเรื่องนี้เพราะอยากดูหนังแนวๆ ฟอร์มเล็กๆ บ้าง และเขาก็บอกว่าเรื่องนี้ทำรายได้ดีมากที่อเมริกา ดูแล้วก็ไม่ผิดหวังนะ ชอบกว่า Penelope กับ What Happens in Vegas อีก แต่จะไม่เรียกน้ำตา ตอนแรกนึกว่าจะมีฉากซึ้ง (ความจริงก็มี แต่ว่ามันไม่ถึงกับน้ำตาไหล) แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็น drama comedy นี่นะ ต้องขำๆ ไว้ก่อน
นับไปนับมาเดือนนี้ดูหนังไปแล้ว 8 เรื่อง(ภายใน 3 สัปดาห์) โรคจิตมากๆ พ่อแม่รู้ต้องโดนบ่นแน่เลย ไม่รู้เดี๋ยวสัปดาห์หน้าจะเกิดอยากดูอะไรขึ้นมาอีกหรือเปล่า
ตอนนี้เป็นบ้าอยากทำโน่นทำนี่เต็มไปหมดเลย อยากอ่านหนังสือ อยากอ่านการ์ตูน อยากดูหนัง อยากดู DVD ที่ซื้อมาไว้นานแล้ว อยากเล่นเกม อยากเย็บตุ๊กตา อยากหัดถักนิตติ้ง อยากเขียน blog แล้วก็อยากนอนด้วย วันนึงมี 48 ชั่วโมงยังไม่พอเลยมั้งนี่
entry นี้ set category ไม่ถูกเลย มั่วๆใส่ไปในประเภทหนังแล้วกันนะ

วันที่หงุดหงิด (วันบ้าอะไรเนี่ย)

เมื่อวานนี้ไม่รู้เป็นบ้าอะไร หงุดหงิดทั้งวันเลย
เหมือนมีอะไรมาจิ๊กๆๆๆ อยู่ตลอดเวลา
ปกติตอนเช้าจะหงุดหงิดนิดๆ อยู่แล้วเพราะง่วงนอน แต่พอสายๆ ก็จะหาย
เลยรู้สึกว่าทำอะไรก็ผิดไปหมด บางทีมันก็เป็นเรื่องปกตินะ เช่น ปิดหน้าต่างผิด หรือจะกดย่อหน้าต่างแต่ดันไปปิด
แต่ว่ามันดันเกิดขึ้นบ่อยมาก ยิ่งหงุดหงิดยิ่งผิด ยิ่งผืดยิ่งหงุดหงิด เป็นอะไรไม่รู้ (- -")
ไอ้ที่เคยไปบอก user ผิดไว้ ก็มามีปัญหาวันนี้อีก ถึงจะปัญหาไม่มากมายก็เหอะนะ
ก็เลยรีบหนีไปดูหนังให้อารมณ์ดี
ตอนเดินอยู่ ดันเจอผู้หญิงคนนึง ตอนนั้นคนข้างหน้าเขาเดินช้า ด้วยความรีบก็เลยก้าวออกซ้ายกำลังจะแซงเขา แล้วก็มีผู้หญิงคนนึง หน้าตาก็ดี(ไม่ได้สวยมากแต่ก็ไม่ขี้เหร่ ใส่กระโปรงสั้น ผมยาวตรง --> ท่าจะโกรธมาก) จู่ๆ ก็เอาแขนมากันแล้วก็เบียดเราดันกลับไปทางขวาใหม่ แล้วยังหันมามองหน้าอีกนะ กูจะรู้มั้ยเนี่ยว่ามึงกำลังจะแซงขึ้นมา(ของคำหยาบหน่อยเหอะ) ไม่มีกระจกมองหลังนะเฟ้ย ไม่ได้ขับรถอยู่เห็นคนเขาเบี่ยงตัวออกมาก็หยุดให้หน่อยสิฟะ ถ้าไม่ใช่วันนี้คงไม่หงุดหงิดขนาดนี้ อยากโดดถึบมันจริงๆ
แล้วตอนเข้าห้องน้ำก่อนเข้าโรง ก็โดนผู้หญิงอีกคนเบียดอีกละ แต่คราวนี้เขาคงไม่ตั้งใจ แค่จะรีบไป(มั้ง)
T_T นั่งสมาธิสักหน่อยน่าจะดี

Penelope

ต่อจากตอนที่แล้วหลังไปดู 21 แล้ว
เราก็พากันหาที่กินข้าว(ก็จะบ่ายสองแล้วหนิ) ตอนแรกเดินลงไปที่ชั้น 1 พารากอน หลังจากเดินผ่านร้านโน้นร้านนี้ แล้วก็บ่นกันว่าแพงเกินไป ก็ตกลงกันว่าจะไปกินซิสเลอร์ (เพราะในหนังพูดถึง) ทว่า!! เขาบอกว่ามีสิบกว่าคิว จะได้กินไหมเนี่ย บ่าย 2 แล้ว ก็เลยเดินไปมาบุญครอง ผ่านชาบูชิก็คิดว่าจะเข้าไปกิน แต่ว่าคนรอหน้าร้าน ล้านแปด O_o สรุปเลยไปกิน TAKOTO ที่ชั้น 4 มาบุญครอง(ร้านซึ่งไม่ค่อยมีคนรู้จัก ถึงแม้จะบอกทุกคนไปว่าร้านนี้ก็มีคนรู้จักเยอะนะ) ร้านว่างตามที่คาด
เปิดเมนู อยากกินหลายอย่างเลย เลือกไม่ถูก เลยสั่งอาหารชุดใหญ่ที่มี ข้าวผัดเห็ด(ใส่มาในถ้วยญี่ปุ่นทั่วไปนั่นแหละ) ปลาดิบ 3 ชิ้น โซบะเย็น เทมปูระ 4-5 ชิ้น เครื่องเคียงเป็นเต้าหู้อะไรสักอย่าง แล้วก็มีผัก น้ำซุป ผลไม้
พอบอกชุดนี้ทุกคนก็ทำตาโต แล้วบอกว่ากินหมดเหรอ (แล้วก็มีเสียงน้องแฮทบอกว่าพี่ยู้กินหมดอยู่แล้ว) พอของมา โผล่มา 2 ถาด ในขณะที่คนอื่นเขามีถาดเดียว แอบคิดในใจว่า หรือว่าจะกินไม่หมดหว่า แต่ก็กินเข้าไปจนหมด แบบไม่อิ่มมากด้วย (ตายแล้วชั้น กินล้างกินผลาญสุดๆ) อาจเป็นเพราะหิวด้วยใกล้บ่ายสองแล้ว ไม่อยากบอกเลยว่ากินเสร็จยังอยากจะไปกินสลัดของเขาที่กินเหลือต่อ(เสียดาย) แต่คิดว่ากินเข้าไปแล้วต้องอิ่มตายแน่ๆ ประกอบกับเดี๋ยวจะโดนมองด้วยสายตาประนาม เตื้อยไม่มาอยู่ช่วยกันกินเลย T_T สรุปสุดท้ายก็กินไอติมจากชุดของน้องแฮทเข้าไปอีก 1 ลูก เพราะแฮทบอกว่าไม่กินวนิลา
เฮ้อ!! อิ่ม +_+
มาที่ Penelope (เรื่องนี้สนุกดี ใครชอบหนัง romantic comedy แนะนำให้ไปดู แต่ว่าเนื้อเรื่องมันจบง่ายๆไปนิด)
เรื่องย่อก็คือบรรพบุรุษของนางเอก(ซึ่งเป็นพวกชนชั้นสูง) ดันไปทิ้งสาวชาวบ้าน แม่เขา(ซึ่งเป็นแม่มด)ก็เลยโกรธสาปว่าให้ลูกสาวของตระกูลนี้เกิดมาเป็นหมู จนกว่าจะมีชายผู้ทัดเทียมยอมแต่งงานด้วย (ประมาณว่าให้รู้รสชาติการถูกทิ้งซะบ้าง) แต่ด้วยความเฮงของตระกูล และความซวยของนางเอก นางเอกเป็นลูกสาวคนแรกของตระกูลทั้งที่ผ่านมานานหลายชาติแล้ว แม่ของเธอก็เก็บเธอไว้ในบ้าน สอนการเป็นเจ้าสาวให้ และพอถึงเวลาก็ประกาศหาคู่ให้ แต่ทว่าก็ไม่มีใครเลยที่จะไม่กลัวเธอ ในที่สุดเธอก็หนีออกจากบ้าน ประกาศอิสระภาพของตัวเอง
spoil -->
ที่บอกว่าจบง่ายๆ คือ พระเอกโผล่มาเกี่ยวข้องกับนางเอกเพราะมีคนจ้างมาให้ เข้าไปถ่ายรูป Penelope เพราะว่าคนที่เข้าไปได้จะเป็นพวกชนชั้นสูงเท่านั้น(ประมาณว่าต้องทัดเทียมกัน) นักข่าวเลยเข้าไปเองไม่ได้ ทีนี้พระเอกก็เหมือนจะตกหลุมรักนางเอก แต่ไม่รู้ทำไมดันไม่ยอมแต่งงานด้วย นางเอกอกหักดังเป๊าะ แต่แม่ก็ยังจะพยายามจับคู่ให้อีก เธอก็เลยหนีออกจากบ้านซะเลย หลังจากท่องโลกกว้างพักใหญ่ ด้วยอุบัติเหตุจากการวิ่งหนีพ่อแม่ตัวเอง ทุกคนก็เลยได้เห็นหน้านางเอก แต่ว่ากลับไม่มีใครกล้ว ทุกคนต่างชื่นชอบเธอเสียอีก
ส่วนพระเอกที่ไม่ยอมแต่งงานด้วยเพราะความจริงเขาไม่ใช่ชนชั้นสูง จึงแก้คำสาปไม่ได้ แต่นักข่าวที่จ้างเขาดันเข้าใจผิด พระเอกก็งกเงินเลยสวมรอยซะ ส่วนนางเอกก็กำลังจะแต่งงานกับหนุ่มชั้นสูงซึ่งรังเกียจเธอ แต่มาขอแต่งงานเพื่อหน้าตาทางสังคม
สรุปแล้วนางเอกก็ไม่ยอมแต่งงานด้วย วิ่งหนีกลับบ้านไป แต่ว่าเธอแก้คำสาปได้ด้วยการยอมรับว่าเธอชอบที่ตัวเองเป็นอยู่ตอนนี้และไม่ต้องการแก้คำสาป สรุปแล้วคือคำสาปแก้ได้ง่ายๆ เมื่อเธอยอมรับว่าตัวเองทัดเทียมคนอื่น ยอมรับว่าตัวเองทันเทียมกัน(ตอนนั้นรู้สึกว่าอะไรฟะ แล้วเรื่องแต่งงานล่ะหายไปไหน) หลังจากนั้นนางเอกก็รู้ว่าทำไมพระเอกถึงไม่ยอมแต่งงานด้วย และก็ไปหาเขา อยู่ด้วยกัน มีความสุข จบ
ไม่ชอบตรงวิธีแก้คำสาปนี่แหละ ไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษว่ายังไง เพราะไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่ว่าที่เขาแปลมาเนี่ย ที่แม่มดสาป กับวิธีแก้มันไม่ค่อยตรงกันเลย ถ้า Penelope แต่งงานกับพระเอกไปแล้ว และยอมรับว่าเขาทัดเทียมกันก็อีกเรื่องนึง หรือว่าความจริงต้องเป็นรักกันไม่ใช่แต่งงาน(จำตรงคำสาปไม่ค่อยได้) แต่อย่างนี้ที่แม่จับแต่งงานก็ไม่มีประโยชน์สิ เพราะไม่ได้รักกัน - -"
ไม่ค่อยประทับใจจอร์จสักเท่าไหร่ แต่ว่าดูเพลินๆ ขำดีค่ะ

วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

21

หลังจากคราวที่แล้วชวด อดดู untraceable คราวนี้ทีมเดิมเลยขอแก้ตัวไปดู 21 กันโดยพ่วงพี่เต่าเพิ่มไปอีก 1 คน
นัดกันตอน 11 โมงหน้าโรง paragon(เรื่องนี้ฉายแต่ที่ paragon นะจ๊ะ) เพราะหนังมีรอบ 11:30 ต่อมาก็เป็นบ่าย 2 บ่าย 3 เลย(จากการดูรอบของวันพฤหัส-ศุกร์) โดยขู่ทุกคนไว้ว่าใครมาสายเลี้ยงหนังนะเฟ้ย!! (น้องต้นโดนไปมากหน่อยเพราะคราวที่แล้วสาย)
ตื่นมาตอนเช้าว่างๆก็เข้าไป check รอบหนังซะหน่อย Oh! ดีนะเนี่ยที่เข้ามาดูก่อน หนังวันเสาร์มันขยับรอบมาเป็น 11:00 ว่าแล้วก็โทรหาทุกคนเพื่อเลื่อนเวลามาเร็วขึ้น
และแล้วก็ไปถึงหน้าโรงประมาณ 10:40 บังเอิญเจอรถเมล์พอดีเลยมาถึงซะเร็วเชียว แต่พกหนังสือมานั่งอ่านอยู่แล้วไม่เป็นไร สักพักใหญ่ๆ น้องต้นก็โทรมาว่าถึงอนุสาวรีย์แล้ว ส่วนน้องแฮทยังอยู่ตรงพระราม 9 - -" คราวนี้เปลี่ยนคนสาย(โดยมีข้ออ้างว่าลืมเอาหนังสือมาคืนเลยกลับไปเอา) พอใกล้ๆ 11 โมง พี่เต่าก็มาถึง น้องแฮทมาถึงศรีอยุธยาแล้ว แฮทบอกให้จองได้เลยมาทันแน่ แต่อาจไม่ได้ดูตัวอย่างหนัง แล้วก็ตัดสินใจเข้าไปจองตั๋วเลย ถ้ามาไม่ทันก็จ่ายค่าตั๋วมาด้วยแล้วกันนะ ถามแล้วว่าจะดูรอบบ่ายหรือเปล่า
สักพักนึงน้องต้นก็มาถึง แล้วแฮทก็มาถึงที่จอดรถจนได้ ถามว่าซื้อ popcorn ให้เลยมั้ย ยังมาบอกว่าเดี๋ยวซื้อเองอีก(รู้มั้ยเนี่ยว่าสายแล้ว)
สรุปเข้าไปเจอเพลงสรรเสริญพระบารมีพอดีอีกแล้ว และอดดูตัวอย่างหนังอีกแล้ว TT_TT
มาที่เรื่องหนังดีกว่า

เป็นเรื่องของเบน เด็กหนุ่มที่กำลังจะเรียนจบจาก MIT และอยากจะไปเรียนหมอที่ฮาร์วาร์ด แต่ติดอยู่ที่บ้านจน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ฆ่าตัวตายแบบเด็กบ้านเรา เขาพยายามยื่นขอทุนและทำงานเก็บเงินอย่างเต็มที่ ปัญหาเล็กๆ มีแค่ประวัติของเขาไม่เตะตากรรมการทุน และงานที่เขาทำอยู่ก็คงไม่พอค่าเล่าเรียนเป็นแน่แท้
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ความสามารถทางคณิตศาสตร์ และการคำนวณที่เยือกเย็นของเขา ไปถูกใจมิกกี้ ศาสตราจารย์คนหนึ่งซึ่งชวนเขาเข้าร่วมกลุ่ม เพื่อเรียนรู้การ"นับ" ไพ่ blackjack และไปโกยเงินที่เวกัสทุกสุดสัปดาห์
---> spoil นะ
จากที่เขาไปนับไพ่ด้วยหลักการทางสถิติ พวกเขาทำเงินได้หลายแสนทุกสัปดาห์ และเบนก็เก็บไว้เพื่อเป็นทุนในการเรียนต่อของเขา แต่เขาชักจะเสพติดชีวิตสุดหรูที่เวกัส จนกระทั่งไม่ยอมเลิกแม้ว่าจะเก็บเงินได้ครบตามเป้าแล้วก็ตาม เขายิ่งใส่ใจเพื่อนเก่าน้อยลงไปทุกที หลังจากที่ทะเลาะกับเพื่อน เขาก็มาปลดปล่อยกับเกม และผิดกฎที่มิกกี้บอกเสมอ ว่าสิ่งที่เขาต้องทำคือ Counting ไม่ใช่ Gambling เขาเล่นพนัน ไม่ยอมเลิกแม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้เงินอีกแล้ว และเสียเงินของทีมไปจำนวนมาก ซึ่งมิกกี้ต้องการให้เขาชดใช้ทั้งหมด หลังจากมิกกี้ไปแล้วเบนกับเพื่อนร่วมกันไป "นับ" โดยที่จะได้ไม่ต้องแบ่งให้มิกกี้อีก
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ แม้ว่าการนับจะไม่ผิดกฎหมาย แต่เจ้าของบ่อนก็ไม่ปล่อยให้ใครมาโกยเงินของเขาไปแน่ๆ เบนถูกจับไปซ้อม และเมื่อกลับมาถึงสถาบันพบว่าเงินของเขาหายไปหมด และมีทีท่าว่าจะเรียนไม่จบเพราะวิชาที่มิกกี้บอกว่าจะไปคุยให้เขาไม่ต้องส่งรายงาน เบนสูญเสียทุกอย่าง และจึงกลับไปขอคืนดีกับเพื่อนๆ อีกครั้ง และวางแผนเอาคืน
อุบตอนจบไว้หน่อยนึง อิอิ ไม่บอกว่าเอาคืนยังไง





หนังสนุกมาก ดูแล้วได้ลุ้นดี ไม่น่าเบื่อเลย แต่ดูจบแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันนับไพ่ยังไง รู้แต่ +9 แทนด้วยแมว +16 แทนด้วยหวาน (คนที่ยังไม่ดูอาจจะงง)
ตอนบ่ายไปกินข้าวแล้วก็ หนีไปดู Penelope คนเดียว เดี๋ยวมาเล่าต่อคราวหน้า

แถม---- วิธีเล่น black jack

เอาคร่าวๆ นะถ้าละเอียดถึงว่าแจกยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน อันนี้น่าจะเป็น version ที่เล่นตามคาสิโน

กติกาคือต้องให้ไพ่ในมือมีแต้มรวมกันสูงกว่าเจ้ามือแต่ห้ามเกิน 21 โดยไพ่ 2-10 ก็นับแต้มตามเลขไป J Q K จะเท่ากับ 10 ส่วน A จะถือว่าเป็น 1 หรือ 11 แต้มก็ได้

- ให้ทุกคนวางเดิมพัน

- แจกไพ่คนละ 2 ใบ โดยหงายทุกใบให้ทุกคนเห็น ยกเว้นเจ้ามือจะคว่ำไว้ใบนึงก่อน

- ถ้าใครได้ไพ่ A กับ ไพ่แต้ม 10 (10 J Q K) จะเรียกว่า blackjack และชนะไป (ยกเว้นเจ้ามือจะได้ blackjack ด้วย)

- แต่ละคนจะต้องดูไพ่ตัวเองแล้วบอกว่าจะอยู่หรือจะจั่วเพิ่ม(กี่ใบก็ได้) โดยพยายามให้แต้มเยอะที่สุด แต่ไม่เกิน 21 ถ้าเกิน 21 คือไพ่เน่า และถูกกินทันที

- แล้วเจ้ามือก็จะเปิดไพ่ ถ้าแต้มรวมกันไม่ถึง 17 จะต้องจั่วเพิ่ม จนกว่าจะมากกว่า 17 และมาวัดแต้มกันใครสูงกว่าชนะ ถ้าเจ้ามือเกิน 21 ไปคนที่ไพ่ไม่เกิน 21 ก็ได้ตังค์ไป

- ถ้าไพ่ 2 ใบแรกเป็นไพ่คู่ (เลขเหมือนกัน) สามารถ spit เป็น 2 ขาได้ เจ้ามือจะแจกไพ่เพิ่มมา

- หลังจากเห็นไพ่แล้วสามารถลง double (เพิ่มเงินเดิมพันเป็น 2 เท่า) ได้ แต่จะต้องจั่วไพ่ 1 ใบเท่านั้น

เท่าที่รู้นะจ๊ะ ถ้าผิดยังไงก็ขออภัยด้วย ใครอย่างรู้เพิ่มเติมก็ถามพี่กู(เกิ้ล) เอาแล้วกัน








วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

แพ้........................อากาศ

วันนี้ up 3 entries เลย เพราะว่าอีกสองอันเขียนเก็บไว้เมื่อวาน แล้วเพิ่ง up ขึ้นวันนี้ ใครอ่านหมด ก็ตาแฉะหน่อยแล้วกันนะ
หนึ่งสัปดาห์มานี้เป็นอะไรไม่รู้ มีน้ำมูก หายใจไม่ค่อยออกตลอดเลย เป็นๆหายๆ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นหวัดแน่แล้ว
แต่ทำไปทำมา นอนเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที(ปกติเป็นหวัดนอนสักวันก็หายแล้ว)
คิดไปคิดมา มีคุณหมอคนนึงเคยบอก(ตอนไปหาเรื่องเป็นหวัด) ว่านี่ท่าทางจะเป็นภูมิแพ้หน่อยๆนะ ก็เลยคิดว่า เอ๊ะ! หรือว่ามันจะไม่ใช่หวัด ก็เลยลอง search ดูจาก google แล้วก็ได้คำตอบว่าท่าทางอาการที่เป็นอยู่จะเป็นอาการของภูมิแพ้ หรือที่เขาเรียกกันว่าแพ้อากาศ ไม่ใช่หวัดแล้วล่ะ
**แพ้อากาศคืออาการแพ้ที่เกิดกับเยื่อบุช่องจมูก ถ้าแพ้ที่ผิวหนัง หรือทางเดินหายใจก็จะมีชื่อเรียกของมัน
พยายามดูหาดูว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นภูมิแพ้หรือเปล่า ส่วนใหญ่จะเป็นคำตอบทางการแพทย์มาเต็มเลย เช่น ถ้าเป็นภูมิแพ้จะตอบสนองต่อยาแก้ภูมิแพ้(อาการจะดีขึ้น) หรือให้ทดสอบโดยให้สารที่แพ้ ว่าจะเกิดอาการแพ้หรือเปล่า
แต่อ่านไปอ่านมาจากหลาย web ก็สรุปได้ว่า ความแตกต่างกันก็คือ หวัดเกิดจากเชื้อโรค แต่แพ้อากาศไม่ใช่ ถ้ามีไข้ หรือว่าน้ำมูกเป็นสีเขียว/เหลือง ล่ะก็เป็นหวัดแน่ และตามที่คิดเอาเอง หวัดจะมีอาการของมันตั้งแต่แรกเริ่มเป็นน้อยๆ ถ้าดูแลตัวเองก็จะหาย แต่ถ้าเป็นหนักขึ้นก็จะเห็นเลยว่าเป็นหวัดมาก เป็นตลอดเวลา แล้วก็ค่อยๆ หายภายในประมาณ 1 สัปดาห์ แต่แพ้อากาศจะเป็นเฉพาะตอนที่เจอสิ่งที่แพ้ แล้วอาการจะอยู่ในระดับเดียวกันตลอด (ยกเว้นถ้าเจอสิ่งที่แพ้มากก็คงอาการหนักมั้ง) อีกอย่างคือแพ้อากาศไม่ใช่โรคติดต่อ
สารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้อาจจะต่างกันไป แต่ถ้าเป็นการแพ้อากาศแล้วล่ะก็ ไม่ว่าที่ไหนก็ดูเหมือนจะฟันธงว่าเกิดจาก "ไรฝุ่น" มากที่สุด ไรฝุ่นจะอยุ่ในตามที่ๆ มีฝุ่นเยอะ ชอบที่เย็นๆ และมีความชึ้นสูง อาจจะอยู่ตามผ้า ขนสัตว์ ตุ๊กตา นุ่น
การรักษาภูมิแพ้มีตั้งแต่การพ่นยา กินยา แต่ที่ทุกๆ ที่บอกให้ทำ(และควรจะทำเพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ) คือหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้
ในกรณีของการแพ้อากาศเขาบอกให้กำจัดไรฝุ่นออกไปจากชีวิต โดยการ


    • รักษาห้องนอนให้สะอาดไม่มีฝุ่น (ปกติหม่าม้าก็มาช่วยเช็ดฝุ่นเป็นประจำอยู่แล้ว ลูกนอนขี้เกียจอยู่)
    • ซักปลอกหมอนผ้าปู ที่นอนบ่อยๆ (ตอนนี้ก็บ่อย มั้ง)
    • ให้ในห้องนอนมีของน้อยชิ้นที่สุด (บ้านจะไม่มีที่เก็บของอยู่แล้วคงจะทำไม่ได้)
    • ไม่เก็บหนังสือไว้ในห้องนอน (- -" อันนี้โดนเข้าจังๆ ห้องนอนตอนนี้แทบจะเป็นห้องสมุดอยู่แล้ว แต่ว่าที่อื่นในบ้านก็ไม่มีที่เก็บอ่ะ)
    • เอาหนังสือ/เสื้อผ้า ไว้ในตู้ปิดมิดชิด (เสื้อน่ะมีตู้ปิดอยู่แล้ว แต่ตู้หนังสือน่ะเป็นแบบเปิด ถ้าไม่ไหวจริงๆ อาจจะต้องเก็บลงกล่องพลาสติก หรือใส่กล่องกระดาษแล้วเอาไปไว้นอกห้อง)
    • อย่าให้มีตุ๊กตาอยู่ในห้องนอน (อันนี้ น่าจะทำได้หน่อย ถ้ายังไม่ดีขึ้นกะว่าจะเอาตุ๊กตาใส่ถุงเก็บแล้ว)
    • ใช้หมอนที่เป็นใยสังเคราะห์แทนหมอนนุ่น (ใช้อยู่แล้วค่า (O.O)/ )
    • เอาหมอน ที่นอน ไปตากแดด (น่าสนใจ ถ้าฝนไม่ตกอ่ะนะ)
    • เปลี่ยนผ้าปูที่นอน ที่นอน ปลอกหมอน หมอน มาเป็นผ้าเป็นทอแน่นไรฝุ่นจะผ่านไม่ได้ (อันนี้คงไม่ไหว ไม่ไปซื้อใหม่หรอก)

นี่แค่เป็นนิดหน่อยยังรำคาญขนาดนี้ คนที่เป็นเยอะๆ คงเซ็งน่าดู  ตอนนี้ก็เหมือนจะดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ศิริราชฝุ่นในห้องทำงานเยอะเหลือเกิน ไม่รู้จะกำจัดยังไงดี
วันเสาร์วางแผนไว้ว่าจะตื่นไปออกกำลังกายเผื่อว่าร่างกายแข็งแรงขึ้นอาการคงจะหายไป เพี้ยง!!!










สี่แพร่ง + What happens in Vegas + Deception -------->[2]

entry นี้ ต่อจาก entry ก่อนหน้านี้ และ spoil หนัง ด้วยนะจ๊ะ
 
หลังจากดูหนังผีจบแล้วก็ไปดู What happens in Vegas ให้จรรโลงใจหน่อย

เป็นหนัง style romantic comedy ทั่วไปที่ตอนแรกพระเอกนางเอกทะเลาะกัน แล้วก็เห็นความดีของกันและกัน ก่อนจบต้องมีงอนกัน 1 ครั้ง แล้วตามไปง้อถึงจบได้ (ตามสูตรเด๊ะ)
เรื่องย่อคือ นางเอกเป็นสาวที่มีความรับผิดชอบ ชอบวางแผน และเพิ่งถูกทิ้งในงาน surprise วันเกิดที่เธอจัดให้แฟนเธอ(โดยมีเพื่อนๆ กำลังแอบอยู่) ส่วนพระเอกก็เป็นคนไม่เป็นโล้เป็นพาย เอาแต่เล่นการพนัน และเพิ่งถูกไล่ออกจากงานโดยที่พ่อของเขาเป็นเจ้าของบริษัทเอง
ทั้งสองคนหลบเที่ยว Vegas ด้วยเหตุผลดังกล่าว หลังจากเจอกันคุยกันถูกคอ เมาหยำเป พอตื่นเช้าขึ้นมาทั้งสองก็พบว่าแต่งงานกันไปเรียบร้อยแล้ว เรื่องคงจะไม่ยุ่งนักและจบลงที่การหย่า ถ้าพระเอกไม่ชนะรางวัลแจ๊คพอต(โดยใช้เหรียญของนางเอก) หลังจากไปฟ้องศาล ปรากฎว่าศาลดันเป็นพวกหัวโบราณที่คิดว่าการแต่งงานควรเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ ต้องอยู่กันจนแก่เฒ่า ก็เลยสั่งให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน 6 เดือนและต้องไปปรึกษาจิตแพทย์เพื่อรักษาชีวิตคู่เอาไว้ด้วย
ด้วยเหตุนี้การอยู่ด้วยกันของทั้งสองจึงเริ่มขึ้น ด้วยการพยายามแสดงว่าตัวเองอยากจะรักษาชีวิตคู่ไว้ และทำให้อีกฝ่ายทนไม่ไหว จนต้องขอเลิก แต่คู่กันแล้วไม่แคล้วกัน พระเอกทำให้นางเอกได้เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และนางเอกทำให้พระเอกรู้จักรับผิดชอบมากขึ้น แล้วทั้งสองคนก็ตกหลุมรักกัน กลายเป็นว่าทั้งคู่เป็นคู่ที่เหมาะสมกันที่สุด
ตอนใกล้จบนางเอกงอนเล็กน้อย(ด้วยเรื่องที่ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่างอนทำไม) และยอมหย่าพร้อมยกเงินทั้งหมดให้พระเอก แล้วพระเอกก็ตามไปง้อพร้อมขอแต่งงานใหม่อีกรอบ Happy Ending
เรื่องน่ารักดี และมีมุกขำๆ มาตลอด แต่ด้วยความที่เราไม่ชอบดูหนังตลก และเรื่องนี้ค่อนไปทาง comedy มากกว่า romantic ตามความรู้สึกจึงไม่สามารถบอกได้ว่าชอบมาก เพราะมีบางมุกที่ไม่ชอบเท่าไหร่ แต่โดยรวมก็เป็นหนังดีที่น่าดูอีกเรื่องค่ะ (คนข้างๆ หัวเราะตลอดเลย)





เรื่องสุดท้าย Deception

คงพูดไม่ได้ว่าชอบ เป็นหนังที่ดูได้เรื่อยๆ
เรื่องย่อคือ "โจนาธาน (อีวาน แม็คเกรเกอร์) นักบัญชีหัวอ่อนผู้ถูกไวแอต (ฮิวส์ แจ็คแมน) เพื่อนทนายของเขา แนะให้ไปคลับทางเพศแห่งหนึ่งโดย ไวแอต คิดว่าโจนาธานน่าจะได้คลายเครียดที่นั่น หลังจากเข้าไปมีส่วนร่วมในเกมส์วิปลาสที่คลับ โจนาธานกลายเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญในคดีการหายตัวไปของหญิงสาวและการปล้นครั้งสำคัญ" (copy มาจาก web เพราะไม่รู้จะย่อเองยังไง)
ตอนแรกนึกว่าเรื่องจะหักเหลี่ยมกันมากกว่านี้ แต่กลายเป็นว่า sex club ที่กล่าวถึงในตอนแรกกับเรื่องที่โดนหลอกมันเป็นคนละเรื่องกันเลย ตอนแรกนึกว่า club จะเป็น club อันตราย แต่สรุปแล้วคนที่เป็นตัวอันตรายคือ ไวแอต ต่างหาก
เขาหลอกให้โจนธานไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง และจับตัวเธอไปพร้อมขู่ให้โจนาธานโกงเงินให้เขา และพยายามฆ่าโจนาธานทิ้งหลังเสร็จงาน แต่ว่าเขารอดมาได้ และตามไปทวงส่วนแบ่งเงินอีกด้วย
ที่บอกว่าไม่สนุกเท่าไหร่เพราะการหลอกกันมีแค่ครั้งเดียว ไม่ได้หลอกไปหลอกมา แถมพระเอกยังดูไม่ค่อยเก่ง ติดหญิงอีกต่างหาก ไวแอตก็แพ้ไปง่ายๆ แล้วก็รู้สึกว่าตอนจบขยักๆ เหมือนจะจบ แล้วก็มีต่อหน่อยนึง แล้วค่อยจบ มันก็เลยรู้สึกคาๆ




 
เดี๋ยวสัปดาห์นี้จะไปดู 21 แต่ว่าอยากดู Penelope ด้วยจัง หวังว่าคงได้ดูทั้ง 2 เรื่องนะ (ความจริง Juno ก็น่าดูแต่ไม่อยากมาก)
คิดว่าจะต้องเขียนเรื่องหนังสือที่อ่านบ้างแล้ว ตั้งใจจะเขียนมาหลายรอบจนอ่านจบไปหลายเรื่องแล้ว ก็ไม่ได้เขียนสักที
แล้วพบกันใหม่นะคะ






สี่แพร่ง + What happens in Vegas + Deception -------->[1]

เมื่อศุกร์ที่แล้วได้หยุดงานเนื่องในวันพืชมงคล (ทดแทนกับที่ไม่ได้หยุดวันแรงงาน) เพราะว่าหยุดตามศิริราช ตอนเย็นก็นัดน้องสาวและพี่เต่าไปดูหนัง ตอนกลางวันก็เลยเอาตังค์ไปเข้า + ไปดูหนังอีก 2 เรื่อง
วันนั้นก็เลยดูหนังไป 3 เรื่อง(อีกแล้ว) ดังนั้น entry นี้ก็เป็นการ spoil อีกแล้วนะคะ
เรื่องแรกที่ไปดูตอนเช้าคือ สี่แพร่ง
ที่ไปดูเพราะอยากจะรู้ว่ามันน่ากลัวหรือเปล่า เพราะคิดว่าหนังสั้นๆ 4 เรื่อง มันจะ built ไม่ขึ้น กำลังจะกลัวก็จบแล้ว และไม่มีใครยอมไปดูด้วย ฤกษ์งามยามดี ก็เลยเปลี่ยวใจไปดูหนังผีคนเดียวซะเลย
ดูแล้วก็ใช้ได้ ไม่ได้รู้สึกกลัวสุดๆ อย่างที่ใครๆบอก แต่ความจริงหลังๆก็เริ่มรู้สึกแล้วล่ะว่าถึงไปดูก็คงไม่กลัวเท่าไหร่ จากที่พี่ไกด์บอกว่าไม่ค่อยน่ากลัว กับการที่น้องสาวฟัง spoil จากเพื่อนมาแล้วบอกว่าเธอคงไม่กลัวหรอก แล้วก็ถามว่าเธอเคยดูหนังผีเรื่องไหนแล้วกลัวมากบ้างล่ะ(แบบให้ 10 แต้ม) มานึกๆดู ไม่มี!! ส่วนใหญ่ที่ดูแล้วกลัวจะเป็นลุ้นมากกว่าว่าตัวเอกจะโดนผีฆ่าหรือเปล่า ดังนั้นกลับมาบ้านก็ไม่ค่อยหลอนเท่าไหร่
สรุปได้ว่าตัวเองดูหนังผีไม่ค่อย work ต้องดูที่มันออกแนว thriller หน่อยๆ แต่ก็ยังไปดูอยู่ดี
**หมายเหตุไว้ก่อนเลยว่า ที่เขียนข้างล่างเนี่ย คงจะบ่นซะส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้แปลว่าหนังไม่ดีนะ เดี๋ยวคนไม่ได้ดูจะพาลเข้าใจผิด หนังก็ทำออกมาได้ดี น่ากลัว จับความสนใจผู้ชมได้ แต่ไม่มีเรื่องจะชมสักเท่าไหร่ ดังนั้นที่จะบ่นคือทำไมดูแล้วถึงไม่กลัว
แพร่งแรก-เหงา
โดยส่วนตัวแล้วชอบเรื่องนี้ที่สุด เป็นเรื่องของเด็กผู้หญิงที่เหงาเพราะอยู่ในห้องเช่าคนเดียว และก็มีคนส่ง SMS มาคุยกับเธอทำให้คลายเหงาไปได้ แต่คนส่งดันตายไปแล้วซะนี่
ที่ชอบเพราะว่าเรื่องดำเนินไปช้าๆ แล้วค่อยๆ เฉลยออกมา มีตอนลุ้น ตอนพัก จนสุดท้ายถึงลุ้นสุดๆ และที่ชอบอีกอย่างคือ เรื่องนี้เขาไม่พูดเลย ส่ง SMS อย่างเดียว (จนคิดว่านางเอกเป็นใบ้หรือเปล่า) มาเซ็งตอนสุดท้ายที่ผีโผล่ออกมา รู้สึกเหมือนเอารูปถ่ายสมัยหนุ่มๆ(รูปขาวดำ แบบที่มันเหลืองแล้วน่ะ) มาแฮ่ใส่ ตกใจก็ตกใจอยู่หรอก เพราะว่ากำลังลุ้น ว่าเมือไหร่ผีจะออกมา แต่ว่าไม่เห็นซะจะดีกว่า T-T หรือเพราะที่บ้านมีรูปอากง อาม่าติดอยู่เห็นมาแต่เด็กเลยไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวหว่า ??
แพร่งที่สอง-ยันต์สั่งตาย
เรื่องย่อๆ คือ มีนักศึกษาคนหนึ่ง(ซึ่งเป็นลูกสัปเหร่อ)โดนแกล้ง ก็เลยทำพิธีแช่งให้พวกที่แกล้งเขา ว่าใครมองตาคนตายที่ตายตาไม่หลับ จะต้องตายตามไป ดังนั้นพอคนนึงตายแล้วคนที่เหลือมองหน้าเพื่อนตัวเองก็จะตายตามไป
ดูแล้วเหมือนเป็น Final Des ฉบับ fast forward ด้วยความที่เร็วไปนี่เองเลยไม่ค่อยลุ้น ดูแล้วก็งงๆ ว่าใครมองตาใครไปหรือยัง อย่างคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ความจริงรู้สึกว่าน่าจะมองตาเพื่อนไปตั้งนานแล้ว หรือตำรวจที่ตายไปเนี่ยเป็นเพราะไปมองตาใครหรือเปล่า อย่างนี้ตำรวจคนอื่นจะตายด้วยมั้ย (มัวแต่คิดอย่างนี้สิถึงไม่กลัว) ส่วนตอนจบที่ควักตาออกมาก็พอจะเดาได้ กำลังคิดอยู่เลยว่าให้เย็บตาติดกัน แล้วก็ผีหน้าตาเหมือนกอลลัมเลย หรือไม่ก็เหมือน ET (สรุปผีโผล่มาไม่กลัวอีกแล้ว)
ปล. ฉากเสียบเสาธงนึกถึงเรื่อง 999-9999 เลยอ่ะ
แพร่งที่สาม-คนกลาง
ดูจบแล้วก็รู้สึกว่าคนกลางมันไม่ใช่ point ของเรื่องนี่นา (อ้อ! เรื่องนี้ไม่ใช่หนังผี เป็นหนังตลก)
เป็นกลุ่มเพื่อนสี่คนไปล่องแก่งกัน แล้วก็เถียงกันว่าใครจะนอนริมเพราะกลัวผี แล้วก็มีเพื่อนคนนึงบอกว่าถ้าตายไปจะมาหลอกคนนอนกลางก่อนเลย แล้ววันรุ่งขึ้นเรือยางที่ล่องแก่งกันก็ล่ม แล้วคนนั้นก็จมน้ำหายไป (สรุปเลยไม่มีใครกล้านอนกลาง) แต่ว่าพอกลางคืนเขาก็กลับมา โดยไม่รู้เป็นผีหรือคน
จบก็เหมือนจะหักมุม แต่ลอก the other มานี่นา แล้วก็เล่นมุกทั้งเรื่อง ขนาดหน้าสิ่วหน้าขวานมันยังเล่นมุกอีก แถมผีตอนที่วิ่งไล่กันรู้สึกเหมือนพวกบ้านฝีปอป(ไปคิดถึงได้ไปไม่รู้) แต่ก็มีตอนที่ลุ้นๆนิดหน่อยเหมือนกัน แล้วก็รู้สึกว่าศพ น่ากลัวกว่าผีอีก
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ทำให้หลอนกลับมาบ้านมากสุด ตรงที่ตอนเริ่ม(ที่เถียงกันไม่นอนริม) มีการเล่าเรื่องว่าเคยมีคนนอนริมแล้วเจอผีผมยาวมานั่งอยู่ตรงปลายเท้า ก็เลยหลอนว่านอนอยู่จะมีใครมานั่งตรงปลายเท้า (ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องของหนังเลย)
แพร่งสุดท้าย-เที่ยวบิน 224
เรื่องของแอร์ที่ต้องเดินทางกับศพเพียงคนเดียว(เพราะเพื่อนดันมาไม่ได้) ที่ศพไม่ให้เอาเข้าใต้ท้องเครื่องเพราะว่าเป็นเจ้าหญิง(ของประเทศสมมติ) ซึ่งพลอย(แสดงเป็นแอร์ในเรื่อง) ก็ดันมีความแค้นกับเจ้าหญิงเพราะไปเป็นชู้กับเจ้าชาย และในตอนที่เจ้าหญิงมาพลอยก็เป็นแอร์ประจำเที่ยวบินเหมือนกัน แล้วด้วยหลายๆเหตุผล พลอยเอาสปาเกตตี้กุ้ง(น่าจะเป็นขี้เมา) ให้เจ้าหญิงกินโดยคีบกุ้งออกไป ทั้งๆที่รู้ว่าเขาแพ้กุ้ง หลังจากนั้นเจ้าหญิงก็ตาย (เพราะเหตุนี้หรือเปล่าไม่รู้)
เรื่องนี้น่าจะน่ากลัว แล้วก็เป็นเรื่องที่คนบอกว่าหลอนที่สุด แต่รู้สึกไม่ค่อยหลอนเลย เพราะ
- เหตุผลสำคัญคือ ตอนนั้นปวดฉี่อยู่ หนังใกล้จบแล้ว ดันกินน้ำเยอะไป ก็เลยไม่ค่อยมีสมาธิกับหนัง
- รำคาญกัปตัน น่าจะจับให้ผีหักคอไปด้วยเลย ผู้หญิงเขาต้องอยู่กับศพคนเดียว ไม่เห็นใจบ้างเลย สงสัยเป็นสมุนของเจ้าหญิง
- ที่เขาบอกกันว่าหลอนเสียงอ้วก ก็รู้สึกว่ามีเสียงอยู่แทนที่จะหนีไป ดันเดินไปดูซะนี่ อีกอย่างเสียงฟังดูน่าสงสารมากกว่า(ถ้าไม่คิดว่าเป็นผีอ่ะนะ)
- ผีหน้าตาไม่ค่อยหลอน ปิดหน้าไว้ดีกว่านะ (อีกแล้ว)
สรุปคือกลัวผีที่แอบๆอยู่ไม่เห็นหน้ามากกว่า เพราะจินตนาการเอาเองน่ากลัวกว่า
แค่เรื่องเดียวก็ยาวยืดแล้ว อีกสองเรื่องแบ่งไป entry หน้าแล้วกันนะ

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

Nim's Island - ได้ดูเพราะบังเอิญ

เรื่องนี้อยากดูมาน๊านนาน แล้ว แต่ว่าไม่ได้ว่างไปดูสักที ในที่สุดก็ได้ดูสมใจอยาก
ไปดูมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งความจริงวันนั้นก็ไม่ได้ตั้งใจจะดูเรื่องนี้หรอก วันนั้นจะไปดู untraceable (T_T ในที่สุดเรื่องนี้ก็ออกไปยังไม่ได้ดูเลย) นัดกับน้องต้น น้องแฮท และน้องโบว์ ไว้ตอน 10:45 เพราะว่าหนังมีรอบ 11:15 หนังไม่ค่อยมีคนดูหรือไงไม่รู้ ไม่ค่อยจะมีรอบเลย
นัดกันไว้ที่ paragon ด้วยความเอาแต่ใจว่าใกล้บ้านตัวเอง(และเพราะว่าไปแถวบ้านน้องๆเขาไม่เป็น) มาถึงก็ไปแวะธนาคารก่อนแป๊บนึง ระหว่างกำลังเดินไปที่โรง แฮทก็โทรมา (วันนี้ hat มาเร็วแฮะ) ขึ้นไปถึงหน้าโรงก็เกือบๆ 11 โมงแล้ว แฮทโทรไปหาต้น ต้นบอกเพิ่งออกจากบ้าน Oh My God!! แล้วจะมาทันไหมนี่ ต้นบอกว่ามาทันชัวร์ให้จองตั๋วเลย แต่เพื่อความไม่ประมาท นั่งรอให้ต้นมาใกล้ๆ ก่อนแล้วค่อยจองดีกว่า
พักนึงต้นก็มาถึงอนุสาวรีย์ ดูเวลาแล้วน่าจะเข้าไปทันดูหนังพอดี(ไม่ต้องดูตัวอย่างหนัง) ก็เลยพากันไปจอง พอคุณพนักงานบอกราคา แทบช็อค ที่นั่งละ 600 บาท บังเอิญเรื่องนี้ดันฉายแต่โรง Nokia Ultra Screen (โรง 1-3 ของ paragon) ก็รู้อ่ะนะว่ามันแพง แต่ไม่คิดว่าจะแพงอย่างนี้ เราก็เลยถอยทัพออกมาแล้วรอต้นมาก่อนว่าจะดูเรื่องอะไรดี
สักพักต้นก็วิ่งกระหืดกระหอบมา ก็เลยอำสักหน่อยโทษฐานมาช้า ว่าดูไม่ทันแล้วเพราะต้นมาช้า ดูน้องต้นจะรู้สึกผิดมาก หลังจากเฉลยไปแล้วว่าที่ไม่ดูไม่ใช่เพราะต้น แต่ต้นก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี น้องต้นบอกว่าไม่คิดว่าหนังมันจะออกแล้ว นึกว่ามีรอบเยอะ (ถึงมีรอบเยอะถ้าเป็นโรงนี้พี่ก็ไม่ดูล่ะน้อง)
ก็เลยสรุปดู Nim's Island แทน เพราะว่าแฮทกับโบว์ไม่ยอมดูสี่แพร่ง
เผาน้องต้นเสร็จแล้ว มาคุยเรื่องหนังดีกว่า
หนังเป็นอย่างที่คิดไว้เลยคือน่ารักสุดๆ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงชื่อนิม ซึ่งอาศัยกับพ่อสองคนที่เกาะแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีในแผนที่ และวันหนึ่งพ่อของเธอก็หายไปในพายุ และบังเอิญนิมได้ติดต่อกับ Alex Roger นักผจญภัยในนิยาย จึงขอให้เขาเดินทางมาช่วยพ่อของเธอ แต่อันที่จริงแล้ว Alex Roger ที่เธอคุยด้วยนั้นคือ Alexandra Roger ผู้แต่นิยายเรื่องนี้ ซึ่งเป็นคนกลัวที่สาธารณะ จนไม่กล้าแม้จะก้าวออกจากบ้าน
การผจญภัยของหนึ่งสาวน้อยแสนกล้าเพื่อปกป้องเกาะจากผู้รุกราน และหนึ่งสาวใหญ่ขี้กลัวเพื่อเดินทางไปช่วยเด็กผู้หญิง ณ เกาะที่ไม่มีใครรู้จัก จึงเริ่มต้นขึ้น
ส่วนที่น่ารักของหนังก็คือ นิม และผองเพื่อนแสนรู้ ทั้งกิ้งก่า เต่า แมวน้ำ และนกกระทุง(มั้ง) ที่ชอบมากเลยคือคุณนก กาลิเลโอ ถึงแม้ว่านิมจะเรียนที่บ้าน(home school ของต่างประเทศเขา) แต่เธอก็มีโอกาสพบประสบการณ์หลายๆ อย่างที่ไม่อาจหาได้ที่โรงเรียน และดูเหมือนว่าเธอจะช่วยตัวเองได้ดีกว่าพวกเราซะอีก แต่โลกของนิมยังเป็นความคิดแบบเด็กๆ เหมือนนิทาน หรือนิยาย มีโจรสลัดชั่วร้าย ซึ่งคงเป็นผลมาจากที่เธอไม่ได้เจอผู้คนสักเท่าไหร่ เรื่องที่หาอ่านไม่ได้จากหนังสือนั้น นิมยังไร้เดียงสาอยู่มากทีเดียว
ส่วนที่หนังสื่อออกมาคือความกล้า ความกล้าเกิดได้จากการตัดสินใจในแต่ละครั้งของเราทุกวัน ชอบฉากที่เขาเปรียบนิมซึ่งจะปีนภูเขาไฟเพื่อดูว่าด้านในเป็นอย่างไร กับ อเล็กซานดาร์ซึ่งพยายามจะออกจากบ้านไปเอาจดหมายที่รั้วบ้าน นิมปีนขึ้นไปได้ แต่อเล็กซานดาร์กลับไม่กล้าออกไป
ดูแล้วนิมเหมือนเด็กที่กล้าหาญ แต่การปีนเขาของเธออาจจะเป็นเหมือนเราเดินขึ้นบันไดก็ได้ แต่สำหรับอเล็กซานดาร์แล้วการออกจากบ้านคงเหมือนการโดดลงไปในบ่องูพิษเลยทีเดียว ถ้าคิดอย่างนี้แล้วอเล็กซานดาร์ที่ยอมกัดฟันออกไปตามหานิมคงจะต้องใช้ความกล้าอย่างมากเลยทีเดียว ขนาดพวกเราที่ไม่กลัวที่สาธารณะยังไม่รู้เลยว่าจะกล้าออกไปหรือเปล่า
ที่ชอบอีกอย่างหนึ่งคือ Alex Roger ในจินตนาการที่โผล่ออกมาคุยกับอเล็กซานดาร์อยู่บ่อยๆ (คงเพราะเธออยู่คนเดียว เลยต้องการใครสักคนมาคุยด้วย) เป็นแรงผลักดันให้เธอ ความจริง Alex อาจจะเป็นวิญญาณนักผจญภัยที่ซ่อนอยู่ในตัวเธอก็ได้นะ อิอิ
สุดท้ายก็แน่นอน happy ending ทุกคนกลับมาพร้อมหน้า อเล็กซานดาร์ก็ดูจะหายจะโรคของเธอ (ไม่หายก็ไม่ไหวนะ ผจญภัยซะขนาดนั้น)

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

งานฝีมือ ภาค 2 - น้องแม่ชี

หลังจากคราวที่แล้วถักน้องเพนกวินไปแล้ว

วันนี้เราขอนำเสนอ ตุ๊กตาแม่ชี...............


ภาพด้านหน้า ด้านหลัง(เหมือนผีมากกว่าแม่ชี) และแบบเฉียงๆ



จะถ่ายภาพด้านข้างมา มันก็ดูไม่ค่อยเห็นว่าเป็นแม่ชีสักเท่าไหร่เลยถ่ายแบบ 45 องศาแทน


วิธีทำได้มาจากหนังสือเย็บตุ๊กตาที่ซื้อมาตั้งแต่เรียนอยู่(ปี 2 หรือ ปี 3 มั้ง) แล้วก็ไม่ได้ทำเพราะติดอยู่ที่หาซื้อผ้าสักหลาดไม่ได้

ในที่สุด พอไปซื้อผ้ามาแล้ว ด้วยความที่น้องสาวอยากให้เย็บตุ๊กตาคุณรอยให้ (คุณรอย คือ ตัวละครใน FMA ใครไม่รู้จักก็...ช่างมันเหอะ)


ก่อนจะเย็บคุณรอยที่ไม่มีแบบ ก็ทำตามแบบในหนังสือที่ซื้อมาก่อนเพื่อเป็นการฝึกมือ


ความจริงแล้วกะว่าจะเย็บให้หนูนิดก่อนหนูนิดออก แต่ไม่ทันตอนหนูนิดไปเพิ่งจะตัดผ้าเป็นชิ้นๆ แต่ความจริงก็เย็บเสร็จตั้งนานแล้วนะ หลังหนูนิดไปประมาณสัปดาห์ครึ่ง ทิ้งไว้จนฝุ่นจับเล็กน้อย ตอนนี้เก็บใส่ถุงไปแล้ว


ก่อนทำไม่คิดว่ามันจะตัวใหญ่ขนาดนี้ กะว่าไว้ห้อยมือถือ แต่ดันออกมาตั้ง 15 ซ.ม. TT_TT

ออกมาไม่ค่อยตรงกับแบบ แถมตอนยืนต้องเอามือยันพื้นไว้ด้วย (แต่โดยรวมถ้าไม่ดูแบบก็ OK นะ)


ที่เห็นใส่ชุดม่วงเพราะว่าเป็นแม่ชีญึ่ปุ่นไม่ใช่แม่ชีฝรั่ง ความจริงแล้วตามแบบถือลูกประคำสีขาวด้วย แต่อย่างที่บอกตอนนี้น้องแม่ชีเอามือยันพื้นอยู่ ถ้าใส่ประคำไว้ที่มือมันจะลากพื้น

ก็เลยไม่ทำซะ เพราะว่าหาลูกปัดสีขาวยากอยู่แล้วด้วย


ถ้าหนูนิดกลับมาแล้วบอกด้วยนะ จะเอาไปให้ จะพยายามไม่ให้ดำไปซะก่อน