วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2551

The Happening : ไม่น่ากลัว แต่สยอง~~

หลังจากดูกังฟูแพนด้าจบแล้ว เราก็ไม่รอช้า วิ่งไปดู The Happening ที่ paragon ต่อเลย

เรื่องนี้จัดในข่ายอยากดูเลยล่ะ มันโฆษณาว่าเป็นผู้สร้าง(หรือเขียนบทนี่แหละ) เดียวกับ six sense และ the sign น้องสาวบอกว่าชอบ six sense แต่ไม่ชอบ the sign ตอนแรกอยากดูเรื่องนี้เพราะ poster มันแปลกดี ที่มีรถเปิดประตูค้างอยู่แล้วไม่มีใครอยู่ในรถ แต่พอได้ดูตัวอย่างหนังก็รู้สึกว่าชอบแฮะ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับว่าจู่ๆ ก็มีโรคระบาดหรือมีผู้ก่อการร้ายปล่อยสารอะไรไม่รู้ทำให้คนตาย ซึ่งพระเอกก็ต้องหนีทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

ไปลอง search ดูตามแต่ละ web เรื่องนี้ได้คะแนนห่วยเชียว แต่ไปเจอ web นึงคนเขียนเขาบอกว่าเรื่องนี้ใช้ได้ แต่ต้องไม่คิดจะหาคำตอบว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะสุดท้ายหนังก็ไม่ได้ตอบ คนอาจจะผิดหวังเพราะจุดนี้ แต่โดยเนื้อเรื่องแล้วสนุก หลังจากอ่านแล้วอารมณ์อยากดูก็พุ่งพรวด ยิ่งเขาบอกว่าคนสร้างเรื่องนี้มีสร้าง lady in the water, the village และ unbreakable ด้วยแล้ว (ความจริง 2 เรื่องหลังไม่ได้ดู แต่น้องบอกว่า the village ดี และเราก็ชอบ lady in the water ด้วย) คิดได้ดังนั้นก็ลากน้องไปดูซะ ซึ่งน้องสาวก็ไม่ได้มีปัญหาใดๆ เพราะยังไงก็ออกตังค์ให้อยู่แล้ว

ซึ่งก็สนุกอย่างที่คิด สยองดี เรื่องอาจจะไม่ค่อยมีอะไรสำหรับคนชอบดูหนังที่หวือหวา แต่เรื่องทำออกมาได้กดดัน ตรงที่มีคนตายไปมากขึ้นเรื่อยๆ (เหมือนจะตายหมดโลก แต่ความจริงเหตุการณ์เกิดขึ้นแค่ส่วนหนึ่งของอเมริกา) และสรุปแล้วก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเกิดเพราะอะไร เชื้อโรค? ผู้ก่อการร้าย? สารพิษ? หนังแสดงให้เห็นคนหลากหลายประเภท วิธีการเอาตัวรอดที่แตกต่างกัน และความสับสนของผู้คนเมื่อไม่รู้ว่าจะรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างไร น้ำใจ และความเห็นแก่ตัวที่เกิดขึ้น

spoil นะ -> อาการจะเริ่มจากพูดจาไม่รู้เรื่อง เช่น พูดประโยคเดิมซ้ำๆ หรือพูดอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมาประโยคหนึ่ง และจะมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ (ในเรื่องจะแสดงด้วยการเดินถอยหลังไป 1-2 ก้าว) แล้วสุดท้ายก็จะฆ่าตัวตาย ตามท้องเรื่องเขาบอกว่า คนเราจะมีระบบควบคุมไม่ให้มีการทำร้ายตัวเองหรือป้องกันอันตราย แต่อาจมีสารบางอย่างเข้าไปยับยั้งการทำงานของระบบนี้ และให้มันทำงานย้อนกลับ ผลก็คือทุกคนฆ่าตัวตาย ฉากที่สยองสุดๆ คือแต่ละฉากที่มีการฆ่าตัวตายนี่แหละ มีทั้งเอาปิ่นปักคอตัวเอง เอาหัวโขกฝา นอนให้รถตัดหญ้าทับ โดดตึก ยิงตัวตาย ดูแล้วเหมือนฉากฆ่าตัวตายหมู่ แต่ต่างกันที่ว่าไม่ใช่ทุกคนจับมือแล้วโดดลงมาพร้อมๆ กัน แต่เหมือนต่างคนก็ต่างโดดลงมาทีละคนสองคน ตอนยิงตัวตายก็มีคนแรกยิงก่อน แล้วคนต่อไปก็ไปเก็บปืนมายิง แล้วคนต่อไปก็ไปเก็บปืนมายิงอีก เสียงยิงปืน ปังๆๆ มันชอนไชเข้าไปในโสตประสาทมากๆ (ทำให้นึกถึงเรื่อง the mist ขึ้นมาตะหงิดๆ)

แต่ทุกคนทำอะไรไม่ได้ นอกจากสันนิษฐานกันเอาเอง แล้ววิ่งหนีจากที่ๆ มีคนตายไปแล้ว และหวังไว้ว่ามันจะจบลงสักที ซึ่งตามสถิติแล้วโรคระบาดหรืออะไรก็ตามมักจะมีกราฟที่โตจนถึงจุดสูงสุดแล้วลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราก็ได้แต่ภาวนาไปกับตัวละคร

สุดท้ายมันก็จบโดยทิ้งปริศนาไว้ว่าเพราะอะไร? และมันจะเกิดอีกหรือไม่?

ข้อสันนิษฐานหนึ่งก็คือ เรากำลังทำร้ายต้นไม้และโลกใบนี้มากเกินไป จนตอนนี้มันกำลังจะเอาคืนแล้ว......................

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2551

Kung Fu Panda

เรื่องนี้ใครทำ Module MM ต้องรีบไปดูซะ ทำไม่น่ะเหรอ?? เพราะพระเอกของเรื่องชื่อ PO น่ะสิ ยิ่งทำ Purchasing ยิ่งต้องดูเลยนะ

ใครไม่ทำ SAP อาจจะไม่เข้าใจนะ แต่ถ้าใครทำ SAP อาจจะได้ยินเสียงมุขตกดังแป๊กก็ได้ 555

ตอนแรกน้องแฮทจะชวนไปดูด้วย พี่เต่าก็จะดู น้องสาวก็จะดู ว่าแล้วก็ให้ไปพร้อมๆกันซะเลย แต่แฮทติดภารกิจต้องไปส่งแม่ที่หน้าทำเนียบเพื่อร่วมประท้วงกับพันธมิตร แฮทกับโบว์ ก็เลยสละสิทธิ เหลือแค่ 3 คนเท่านั้น

แต่ทว่าพอบอกว่าจะไปกินโกเบ เราก็มีสมาชิกเพิ่มมาอีก 2 คน คือ เหมี่ยวกับพีท สองคนนี้เขามากินเฉยๆ นะไม่ได้มาดูหนังด้วย นัดกันไว้ 10 โมงเช้าตอนห้างเปิดพอดี เพราะว่าเขาว่ากันว่าร้านโกเบคนเยอะมากๆๆๆๆ

ตอนเช้าก็ไปปลุกน้องตื่น และไปถึงมาบุญครองตอนห้างเขายังไม่เปิด ก็ยืนเม้าท์กับน้องอยู่พักนึงเขาก็เปิดประตู ผู้คนก็พากันหลั่งไหลเข้าไป(ไม่เข้าใจว่าทำไมมีคนมาห้างแต่เช้ากันเยอะอย่างนี้ เพราะมากินโกเบกันหรือเปล่านะ??) เห็นว่าห้างเพิ่งเปิดก็เลยแวะไปจ่ายค่าบัตรเครดิตก่อน แล้วค่อยขึ้นไป สักพักพี่เต่าก็โทรมาบอกว่าเข้าไปจองที่แล้วนะ แอบบ่นพี่เต่าไปว่าทำไมไม่จองตั๋วหนังก่อนล่ะเนี่ย ซึ่งพี่เต่าบอกว่าคนเยอะมากตอนนี้มีคนรอหน้าร้านแล้ว อะไรจะขนาดนั้น ก็เลยไปจองตั๋วหนังให้ก่อน แล้วค่อยเดินไปที่ร้าน มีคิวแล้วจริงๆ ด้วย อย่างกับแจกฟรี(ก็แค่ร้อยเดียวมันคุ้มนี่นะ) เข้าไปถึงก็หยิบของมาตั้งๆไว้ยังไม่ทันได้กินเหมี่ยวกับพีทก็มา

ลืมบอกร้านโกเบนี่เป็นชาบู อยู่ที่ชั้น 7 มาบุญครอง ฝั่งโบว์ลิ่ง(ตรงไดโดม่อนเดิม) ราคาอยู่ที่ 200 บาทแต่ช่วงเปิดร้าน(จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน)มี promotion ลดเหลือ 100 บาท net ต่อคน ผู้คนก็เลยเข้าคิวกันล้นหลามฉะนี้แล

ก่อนจะไปดูกังฟูแพนด้ามากินกันให้อิ่มพุงป่องเป็นแพนด้ากันก่อนดีกว่า

ที่นี่เขาจะแยกเป็นหม้อเล็กๆ 1 คน 1 หม้อ ใครจะกินหมูกินเนื้อก็ตามสบายไม่ปนกัน แต่เนื่องจากเรามา 5 คน และร้านเขาคนเยอะ เลยได้โต๊ะ 4 คนมา เราก็เลยต้องกินหม้อเดียวกับน้องสาว

เริ่มจากน้ำจะมีน้ำเปล่า น้ำอัดลม ชานม ชาเขียว เนื่องจากไม่กินชา ก็เลยกินเป๊บซี่แทน น้องสาวบอกว่าชานมอร่อยมาก น้ำจิ้มไม่ได้เฉียดเข้าไปใกล้เพราะไม่กินน้ำจิ้ม แต่เท่าที่ดูคนอื่นตักมาน่าจะมีแบบเดียว เห็นน้ำมันลอยฟ่อง น่ากลัวจัง

มาถึงเมนูหลัก จะมีผักบุ้ง ผักกาดขาว กระหล่ำ เห็ดหูหนู เห็ดหอม หมูนุ่ม หมูสไลด์ หมูสามชั้น เนื้อนุ่ม เนื้อสไลด์ เนื้อไก่ ตับ เกี๊ยว ปลาหมึก กุ้ง แล้วก็ลูกชิ้นหลากหลายแบบ(ลูกชิ้นนี่ไม่ค่อยได้กินเลยจำไม่ได้) แล้วก็มีเมนูเสริมเป็น ข้าวผัดกระเทียมกับเทมปูระค่ะ แต่เทมปูระเนี่ยต้องจ้องไว้ถ้ามาแล้วรีบวิ่งไปหยิบเลย ช้าหมดอดกิน (เทมปูระอร่อยเพราะร้อน แต่แป้งไม่กรอบเท่าที่ควร) ของหวานจะเป็นผลไม้ ที่ไปกินวันนั้นมีแตงโมกับขนุน อ้อ แล้วมีพนักงานเดินเขากล่องใส่สตอเบอร์รี่ 1 ลูกกับเชอร์รี่ 2 ลูกมาแจกให้ 2 กล่องเป็นอภินันทนาการ

เวลาชั่วโมงครึ่ง ตอนครึ่งชั่วโมงหลังก็เริ่มอิ่มแล้ว กินจนพุงกางเลย ชอบตรงที่ของเค้าตั้งไว้เยอะแยะไม่มีหมดเลย (กินกุ้งไปหลายกล่อง) แต่ก็ไม่แน่ใจว่าช่วงสายๆ บ่ายๆ ของจะหมดบ้างหรือเปล่านะคะ

กินเสร็จจ่ายตังค์แล้วมาดูกังฟูแพนด้าดีกว่า

ข้างล่างนี่ spoil เต็มเลยนะจ๊ะ

กังฟูแพนด้าเป็นเรื่องของเจ้าหมีโพ ซึ่งฝันอยากเป็นเจ้ายุทธจักร(ในเรื่องไม่ได้ใช้คำนี้ แต่ก็ประมาณนี้แหละ) แต่ว่าเขาอุ้ยอ้ายตามประสาแพนด้า แถมเขายังมีร้านบะหมี่ของพ่อให้สืบทอดด้วย (ลูกเป็นแพนด้า พ่อเป็นห่าน เข้ากันมากๆ) และด้วยความบังเอิญ(ถึงแม้ท่านอาจารย์อูเกรย์ จะบอกว่าความบังเอิญไม่มีในโลกก็เถอะ) โพได้รับเลือกให้เป็นนักรบมังกร แน่นอนว่าทุกคนไม่ยอมรับ และผลการฝึกก็ไม่คืบหน้าสักเท่าไหร่ จนเสือตัวร้ายหลุดออกมาจากคุกได้ และจะตามมาล้างแค้น เหล่าห้าผู้พิทักษ์ได้รีบไปต่อสู้ทันทีแต่ก็ต้องเสียท่าพ่ายแพ้กลับมา ส่วนด้านโพ อาจารย์ชีฟู(ลูกศิษย์อาจารย์อูเกรย์อีกที) ก็ได้ค้นพบวิธีฝึกแพนด้าของเรา โดยเอาขนมมาล่อ!!!! สุดท้ายแล้วโพก็ได้ค้นพบว่า สิ่งที่พิเศษไม่ใช่นักรบมังกร หรือคัมภีร์ใดๆ แต่เป็นตัวของเขาเอง (แน่นอนว่าแพนด้าเอาชนะเสือได้ และได้รับการยอมรับ) จบ+++

เนื้อเรื่องสนุกดีมีอะไรให้ขำตลอด ดูแล้วไม่สงสารโพอย่างที่คิด (ปกติชอบสงสารตัวละครที่ซวย) อาจจะเพราะถึงจะโดนตีโดนดูถูก แต่โพก็ได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการทำมาตลอดชีวิตก็ได้ สรุปก็เลยขำไปกับมุขต่างๆ ของเรื่องได้ สรุปว่าเรื่องนี้เราดูแล้วขำ แปลว่าขำจริง (อิอิ) แต่ยังขัดใจกับฉากซึ้ง น่าจะทำให้ซื้ง และให้ข้อคิดได้มากกว่านี้ แต่อย่างว่า นี่เป็นการ์ตูน Dreamwork สไตล์การ์ตูนที่เราชอบดูคือของ Disney ใครชอบ Sherk หรือ Madagascar คงจะรักหนังเรื่องนี้เลยล่ะ

ปล. เกี่ยวกับกับฟูแพนด้าไม่ถึงครึ่งเลยนะเนี่ย

วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2551

บลา บลา บลา....

อาจจะสงสัยว่า บลาๆๆ คืออะไร ความจริงหลังจาก Juno แล้วก็ไปดูหนังมาอีกหลายเรื่องเลยมาเขียนรวบยอดซะเลย เอาเป็นสั้นๆ แล้วกันนะ (เขียนสั้นๆ เป็นด้วยเหรอเธอ)

The Chronicles of Narnia: Prince Caspian

เรื่องย่อ : หลังจากที่ 4 พี่น้องกลับมาที่โลกของเรา พวกเขาก็มีโอกาศกลับไปที่นาร์เนียอีกจนได้(ไม่งั้นจะมีภาค 2 ได้ไงล่ะ) แต่นาร์เนียกลับถูกปกครองด้วยมนุษย์ผู้ชั่วร้ายจนเหล่าสัตว์ป่า และสัตว์ในเทพนิยายของเราต้องหลบหนีอยู่ในป่า 4 พี่น้องจึงต้องร่วมมือกับเจ้าชายแคสเปี้ยน (เป็นเจ้าชายมนุษย์ที่เป็นคนดี และถูกตามฆ่าเพื่อชิงบัลลังค์) เพื่อช่วงชิงดินแดนคืนมาให้ชาวนาร์เนีย

ความเห็น : นับว่าสนุกเลยล่ะ ภาพก็สวยด้วย มีตื่นเต้นมีขำ เนื่องจากไม่ได้ดูภาคแรกเลยเทียบไม่ถูก แต่คนที่บอกว่าภาคแรกไม่สนุก ก็บอกว่าภาคนี้สนุกนะ แต่ถ้าใครหวังจะเข้าใจคุณพี่อัสลานของเรา ก็คงต้องผิดหวังหน่อยล่ะนะ เพราะตามความเห็นของเรา เรื่องนี้ออกจะปรัชญาหน่อยๆ(ไม่รู้เป็นหนังสือเด็กได้ไง) ถ้ามัวแต่สงสัยว่าตกลงมันเพราะอะไรถึงทำอย่างนั้น จะคาใจแล้วดูหนังไม่สนุกนะ

Pathology

คำนี้เป็นศัพท์ทางการแพทย์แปลว่าการศึกษาเกี่ยวกับความผิดปกติของร่างกาย : น้องสาวบอกมา (ซึ่งก็คงเป็นการชันสูตรศพหาว่ามีอะไรในร่างกายผิดปกติไปบ้าง)

เรื่องย่อ : พระเอกของเราเป็นแพทย์ชันสูตรศพที่เก่งคนหนึ่ง ซึ่งได้เข้าไปพัวพันกับเกมอันตราย แต่ละะคนต้องไปหาเหยื่อเพื่อฆ่าด้วยวิธีแปลกๆ แล้วนำศพมาให้เพื่อนๆ ชันสูตร ว่าใครจะสามารถฆ่าคนด้วยวิธีซึ่งไม่มีใครทราบหรือตามรอยได้ เขาหลงไหลไปในความตื่นเต้นและเซ็กซ์กับหญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่ม เมื่อเขาต้องการจะถอนตัวเพื่อคู่หมั้นของเขา และต้องปกป้องตัวเอง และเธอจากความบ้าของบรรดาเพื่อนเขา เขาจะทำอย่างไรจึงจะหลุดจากเกมนี้ได้

ความเห็น : เป็นหนังที่ดูแล้วสนุก ถ้าดูเรื่อยๆ นะ จุดขายน่าจะเป็นความแหวะ และภาพที่ออกจะโจ๋งครึ่ม (ถึงอย่างไรก็ยังกินป๊อปคอร์นไปดูไปได้อยู่ดี) แต่ที่เราชอบในเรื่องนี้คือ อยากรู้ว่าจะมีการฆ่าด้วยวิธีแบบไหนกันแน่ และทำให้รู้ได้ว่าการชันสูตร ทำให้รู้วิธีตายได้จริงๆ ด้วยนะ อีกเรื่องหนึ่งที่ชอบคือ ปกติหนังโรคจิตก็จะมีแค่คนโรคจิตมาไล่ฆ่าคน แต่เรื่องนี้ได้บอกความคิดของหนังออกมาด้วยคำถามหนึ่งซึ่งถามไปยังพระเอกว่า "ถ้าฆ่าคนคนหนึ่งได้โดยไม่มีความผิดคุณจะฆ่าใคร?" พระเอกบอกว่า "ฆ่าใครก็ได้ ถ้ามนุษย์สามารถฆ่าใครก็ได้โดยไม่มีความผิด ก็คงจะไปฆ่าใครก็ได้สักคน เพราะมนุษย์นั้นก็เหมือนสัตว์มีสัญชาตญาณที่จะฆ่ากันอยู่แล้ว" ถึงจะไม่ใช่สัจธรรมซะทีเดียว แต่ก็มีส่วนถูกอยู่บ้างล่ะนะ

The Incredible Hulk

เรื่องย่อ : ย่อไม่ถูก... ไปอ่าน ความเห็นแล้วจะรู้ว่าทำไม - -" เอาเป็นว่า บรูซ พระเอกของเราเวลาโกรธหัวใจเต้นถึง 200 แล้วจะแปลงร่างได้ เขาต้องหนีทหารเพื่อไม่ให้เอาตัวเขาไปเป็นอาวุธ และหาวิธีรักษาตัวเอง สุดท้ายก็ได้ใช้พลังนั้นช่วยปกป้องโลกด้วย

ความเห็น : อ่านที่เขียนเรื่องย่อไปก็คงจะรู้ว่าไม่ค่อยชอบเรื่องนี้ ไม่รู้เพราะว่าวันนั้นรู้สึกเมื่อยตัวตอนนั่งดูหรือเปล่าเลยไม่มีสมาธิดู (หรือว่าเพราะมันไม่สนุกเลยรู้สึกไม่อยากนั่งเฉยๆดูก็ไม่รู้) แต่เอาเป็นว่ารู้สึกว่ามันรวมอะไรก็ไม่รู้หลายอย่างมาไว้ในเรื่องเดียว เอาเป็นเรื่องๆได้ม้ายยยยยยยยยยยยย (อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ คนที่เขาว่าสนุกก็มี) ขอ spoil หน่อยนะ คือ จะ focus ที่การหนี การรักษา หรือการสู้กับตัวร้ายก็เอาสักอย่าง ตอนแรกเรื่องเหมือนจะ focus ที่การหนีโดยที่ต้องพยายามไม่ให้ตัวเองแปลงร่างไปด้วย(เพราะแปลงร่างแล้วจะควบคุมตัวเองไม่ได้) และพยายามหาทางรักษาไปด้วย ทำไปทำมาคุณทหารก็เอายาอะไรไม่รู้ ไปฉีดใส่ทหารอีกคนให้มีพลังมากขึ้น ถ้ามียานี้แต่แรกจะตามหาพระเอกทำไมฟะ ฉีดยาให้เป็นแบบพระเอกไปก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ด้วย สู้มีพลังเพิ่มนิดหน่อยแล้วควบคุมได้ไม่ดีกว่าเหรอ

แล้วพระเอกที่เหมือนจะไม่อยากให้นางเอกเห็น แต่ก็เจอกันง่ายๆ ซะงั้น แถมพระเอกหนีทหารได้ตั้งนาน หลบนางเอกได้แป๊บนึงดันมาเดินบนสะพานให้นางเอกขับรถตามมาซะนี่ อ้อ! นางเอกมีแฟนใหม่อีกต่างหาก ถ้ารักกันจะเป็นจะตายแบบนั้นก็ครองตัวเป็นโสดไปสิยะหล่อน แล้วตอนแปลงร่างที่เหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้ พอเจอนางเอกอย่างกับหมาเจอเจ้าของเลย เข้าไปปกป้องอีกต่างหาก ถ้าควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็ควรจะแค่ชะงักไม่ทำร้าย แล้วก็วิ่งหนีไปทางอื่นเซ่ สรุปสุดท้ายเหมือนจะรักษาได้แล้ว แต่ก็รักษาไม่ได้(แปลงร่างแบบไม่ต้องใช้ความพยายามสักนิด) แล้วตัวร้ายที่เหมือนจะเก่งกว่ามากๆ อยู่ๆ ก็เหมือนพลังลดลงมาเท่ากัน แล้วก็แพ้

สรุปตอนจบ พระเอกก็หนีไปอีก เหมือนตอนต้นเรื่องเลย ดูไปสองชั่วโมงกลับมาที่จุดเดิม (ลืมไป นางเอกรู้ขึ้นมาว่าพระเอกยังไม่ตาย)

ปล. ที่บ่นมาทั้งหมดนี่เป็นอคติส่วนตัวทั้งนั้นเลย ดูเรื่อยๆหนังก็สนุกดี แต่ดูแล้วขัดใจจริงๆ

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2551

La Mancha กับ วงกตมรณะ

ไม่ได้ up มาตั้งนานเพราะมัวไปติดเกม+หนังสืออยู่จ๊ะ

ความจริงแล้ว La Mancha กับ วงกตมรณะ ไม่มีอะไรเกี่ยวกันเลยแม้แต่น้อย แต่อยากเขียนรวมกัน แค่นั้นเอง

เอาเรื่องแรกก่อน วงกตมรณะเล่ม 33 ออกแล้ววววววววว!!!! กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด หลังจากที่รออยู่นาน จนกลัวว่ากองเซ็นเซอร์จะไม่ยอมให้พิมพ์เรื่องนี้ต่อซะแล้ว ทำไมน่ะเหรอ?? ก็ในเรื่องนี้มีเกย์อยู่คู่นึงน่ะสิ อ๊ะๆ ไม่ใช่การ์ตูนเกย์นะ เนื้อเรื่องเป็นแนวสืบสวนผสมดรามา อ่านแล้วรู้สึกว่าโลกนี้ก็ยังมีคนดีอยู่เยอะ และอยากจะทำดีกับคนอื่นให้มากขึ้นด้วย

คนอ่านเรื่องนี้คงจะเป็นสาวๆซะส่วนใหญ่ เพราะมีแต่ตัวเอก แสนดี แถมยังหน้าตาดีด้วย

วันที่เรื่องนี้ออกไปดูหนังพอดี น้องสาวก็โทรมาบอกว่า ซื้อการ์ตูนกลับบ้านด้วยนะ พอรู้ว่าเรื่องนี้ออกก็แจ้นไปร้านการ์ตูนเลย แล้วก็หาไม่เจอ T_T (ร้านตรงชั้น 7 มาบุญครอง) ไม่รู้ว่าเขาไม่เอามาขายหรือขายดีจนหมดอย่างรวดเร็วก็ไม่รู้

ก็เลยลงมาซื้อที่ร้านมดแดงตรงชั้น 1 โบนันซ่าแทน ถ้าไม่มีกำลังคิดว่าจะถ่อไปถึง Ozone ตรงกลางสยามเลยดีไหม

ถ้าว่าง + ไม่ลืมจะมาแนะนำเรื่องนี้ให้อ่านกันนะ

 

เรื่องที่สอง เพิ่งไปดู Man of La Mancha (สู่ฝันอันยิ่งใหญ่) มาเมื่อวาน

สุดยอดดดดดดดดดดดดดดดด++

ทั้งร้อง เล่น เต้น ยก เสียงก็สุดยอด ฟังแล้วสั่นประสาทมาก

ตอนแรกอ่านเรื่องย่อแล้ว ก็ไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ เลยลังเลใจว่าจะไปดูดีหรือเปล่า อยากดูเพราะเรื่องนี้เขาดัดแปลงมาจากละครบอร์ดเวย์ที่ดังมากเรื่องหนึ่ง แถมยังประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต แต่ว่าดูท่าเรื่องจะเป็นปรัชญา กลัวจะดูยากเกินไป เสียดายตังค์

สรุปแล้วก็เลยไปดู แต่ซื้อบัตรราคาถูกกว่าปกติ ซึ่งไปดูแล้วก็เสียดาย เสียดายน่าจะซื้อบัตรแพงกว่านี้นะเนี่ย T_T นั่งไกลไป

ถ้ารู้ว่าดีขนาดนี้กล้าซื้อบัตร 2500 เลยนะเนี่ย (แต่จะไม่กล้าบอกแม่ -> ไม่บอกได้ไงฟะ ได้ข่าวว่าพาแม่ไปดูด้วย) ใครชอบละครเพลง แนะนำเลยยังเหลือรอบอยู่จนวันอาทิตย์นะจ๊ะ

คิดว่าเรื่องนี้นอกจากเขาทำมาดี สนุกด้วยตัวของมันเองแล้ว ยังไม่มีเรื่องขัดลูกหูลูกตาว่า เรื่องนี้จะใช้ดันใครอีกล่ะ!! ดูฟ้าจรดทราย กับ บัลลังค์เมฆ ก็ดีนะ แต่ว่าทำไมต้องดันกันออกนอกหน้าขนาดนั้นด้วย - -"

แล้วก็ใครที่จะไปดูละครเวที หรือรู้จักใครที่จะไปดู ช่วยเตือนๆ กันให้มีมารยาทกันหน่อยนะคะ ไม่รู้เพราะครั้งนี้นั่งริมหรืออย่างไร เห็นคนเข้าสายเยอะมาก (พวกนี้น่าจะไม่ให้เข้าซะให้เข็ด) มีพวกลุกออกไป เข้ามาอีก น่าจะเข้าห้องน้ำมาให้เรียบร้อยก่อนนะ (ถ้าพี่เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ก็ขอโทษด้วยแล้วกัน แต่ทีหลังก็น่าจะจองที่ริมๆ หน่อยนะ ถ้ารู้ว่าต้องเดินออกไปฉี่บ่อยๆ) แล้วก็เขาบรรเลงเพลงโหมโรงกันแล้ว ยังเดินไปเดินมาอยู่นั่น มีอยู่คนนึงเข้าโรงก็สายแล้ว ยังเดินมาทักทายญาติกันอีก - -" ช่วยคิดถึงคนข้างหนังแล้วก็ให้เกียรติ นักดนตรี นักแสดงกันหน่อยนะคะ

ก่อนดูกังวลเล็กน้อยว่าจะดูไม่เข้าใจ ซึ่งก็ไม่เข้าใจจริงๆ..............เฮ้ย! ไม่ใช่ เข้าใจ อาจจะไม่เข้าใจถ่องแท้ว่าเรื่องต้องการสื่ออะไร แต่ก็สามารถเข้าใจท้องเรื่องและลุ้นตามไปได้อย่างไม่มีสะดุด เรียกว่าไม่ต้องปีนบันไดดู ข้อคิดก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง(มั้ง) รู้สึกเหมือนตอนอ่านบทความภาษาไทยตอนมัธยม แล้วอาจารย์ถามว่าเรื่องนี้ต้องการสื่ออะไรนั่นแหละ อ่านแล้วเข้าใจเรื่อง แต่ว่ามันสื่ออะไรหนูไม่แน่ใจค่ะ อิอิ

การร้องเพลงนั้นสุดยอดอยู่แล้ว เนื้อเพลง ทำนอง ดนตรี น้ำเสียง ฟังแล้วได้อารมณ์เลยว่า ตอนนี้อารมณ์ของเรื่องดำเนินไปอย่างไรแล้ว สนุกสนาน เจ็บปวด รัก โดนกลั่นแกล้ง (อันนี้ฟังด้วยหูคนทั่วไปอย่างเราๆนะ)

การจัดฉาก จัดไฟก็ดีให้อารมณ์ของฉากนั้นๆ ขึ้นมาเลยทั้งที่บางครั้งก็มีแต่องค์ประกอบไม่กี่อย่าง บางฉากรู้สึกว่าสุดยอดมากๆ แต่บางฉากก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆ

การเต้นนี่ไม่ต้องพูดถึง อลังการทุกชุด(ถึงแม้จะแอบเห็นไม่พร้อมกันอยู่บ้าง) มีทั้งตีลังกา(นึกว่ากายกรรม) หมุนๆ ยกๆ(นึกว่าบัลเล่ต์) ปรบมือ กระโดด ยกตัว (นึกว่าเชียร์ลีดเดอร์) แต่ละคนเล่นได้ทุ่มเทกายใจจริงๆ โดยเฉพาะนางเอกรู้สึกว่าเปลืองตัวมาก ต้องมีโดนอุ้ม โดนฉุด โดนลวนลาม

ชอบการเล่าเรื่องของเรื่องนี้มาก เรื่องย่อไป copy มาจากรัชดาลัย

มิเกล เด เซร์บานเตส (Miguel de Cerventes) ถูกนำมา ขังคุกใต้ดิน พร้อมคนรับใช้ เพื่อรอขึ้นศาลศาสนา บรรดานักโทษ ในคุกตั้งตนเป็นศาลเตี้ย ขอไต่สวนความผิด ของเขา เซร์บานเตส จึงขอสู้คดีด้วยการนำเสนอละครของเขา ที่เป็น เรื่องราวของ ดอน กีโฮเต้ (Don Quixote) อัศวิน แห่งลามันชา ผู้เดินทางผจญภัยไป เพื่อปราบอธรรม พร้อมผู้ติดตาม ชื่อ ซานโช (Sancho) ระหว่างทาง ดอน กีโฮเต้ ได้พบกับ หญิง โรงเตี๊ยม ชื่อ อัลดอนซ่า (Aldonza) ที่เขาเห็นว่า เธอคือ ดัลซิเนีย สตรีสูงศักดิ์ ผู้ที่เขาขออุทิศ ชัยชนะแห่งการต่อสู้ให้ ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของทุกคน ว่าเขาเป็นแค่คนบ้า ดอน กีโฮเต้ พิสูจน์ความมุ่งมั่น ของเขาด้วยการต่อสู้กับศัตรู ผู้เลวร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า จน อัลดอนซ่า ยอมเชื่อว่า เธอคือ ดัลซิเนีย และพร้อมร่วม เดินทางไปในโลกแห่งความฝัน อันยิ่งใหญ่ของ ดอน กีโฮเต้ แต่ด้วยความเป็นจริง อันโหดร้าย เธอกลับถูกกระทำชำเราจาก พวกคน ต้อนพ่อจนสิ้นหวัง ในความดีและฃีวิต แต่ด้วยแรง ศรัทธาที่ไม่เสื่อคลายของ ซานโช ผู้อยู่เคียงข้าง ดอน กีโฮเต้ จนวันที่เขากำลังจะสิ้นลม อัลดอนซ่า ก็ตัดสินใจอีกครั้ง ที่จะ สานต่อความฝัน และมุ่งมั่นของ ดอน กีโฮเต้ อัศวินแห่ง ลามันช่าผู้นี้

ที่ชอบคือพระเอก เป็นทั้งผู้เล่าเรื่องแล้วก็แสดงไปด้วย เรื่องจะเริ่มด้วยการเล่าด้วยปากเปล่า(พร้อมกับแจกบทให้นักโทษอื่นๆ ช่วยกันเล่น) แล้วตัวเขาก็สวมบทบาทจนกลายเป็น ดอน กีโฮเต้ ไป แล้วพอจะจบเรื่องหนึ่ง คนแสดงทุกคนก็จะกลับไปเป็นนักโทษอีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นการแสดงของบรรดานักโทษนั่นเอง

ระหว่างเรื่องของ ดอน กีโฮเต้ ดำเนินไปเรื่อยๆ ฉากถูกตัดกลับมาที่ มิเกล เด เซร์บานเตส และเหล่านักโทษเป็นระยะ เพื่อแสดงให้เห็นว่า พวกนักโทษ ก็กำลังตื่นเต้น และหลงไหลที่จะได้ฟังตอนต่อไป เหมือนกับพวกเราคนดูนี่แหละ

ตอนจบ ความฝันก็ยังเป็นความฝันต่อไป แต่จากการจุดประกายเล็กๆ ทำให้มีผู้ที่คิดว่าสานต่อความฝันให้แก่เขา

แล้วคุณล่ะจะเลือกมองโลกตามที่มันเป็น หรือมองโลกตามที่ควรจะเป็น