วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

The Purge : เมื่อมนุษย์ถูกปลดปล่อยจากกฏหมาย

เรื่องย่อ


อเมริกามีอัตราอาชญากรรมต่ำเป็นประวัติการณ์ และเศรษฐกิจก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่า ใน 1 ปี... จะมีคืนหนึ่ง....คืนล้างบาป....เพียง 12 ชั่วโมง ที่อาชญากรรมทุกรูปแบบ แม้แต่การฆาตกรรม

ครอบครัวแซนดินเห็นด้วยกับแนวทางนี้ และทุกปีพวกเขาจะปิดตัวเองอยู่ในบ้านรอจนคืนล้างบาปผ่านพ้นไป แต่ปีนี้กลับต่างออกไปมีชายผู้หนึ่งหนีมายังในละแวกบ้านของเขา และลูกชายของพวกเขาได้ปล่อยเขาเข้ามาซ่อนตัวในบ้าน และเหล่าผู้ที่ออกมาล้างบาป ก็ตามมาขอตัวเขาไม่เช่นนั้นจะพังเข้ามา พวกเขาจะผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไปได้หรือไม่....



    • หนังตื่นเต้น ลุ้น กดดัน แต่รู้สึกว่าไม่มากเท่าที่คิดไว้ ไม่เหมือนหนังแนวนี้เรื่องอื่นๆ (ปกติจะมีเรื่องเปิดฉากนิดหน่อยแล้วก็คนร้ายบุกมา หนังจากนั้นก็กดดันในการซ่อน/หนี) แม้เนื้อเรื่องจะไม่ได้สลับซับซ้อน แต่มีส่วนที่ให้คิดตาม ก็เลยปูเรื่องค่อนข้างนาน

    • ฉากคุยค่อนข้างเยอะ ใครคิดว่าจะได้เจอพวกฉากยิงกันกระจุย ฟันหัวแบะ เลือดสาด คงจะผิดหวังเพราะมีไม่เยอะ

    • ดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า ทำให้มีเวลาคิดพิจารณาสถานการณ์ในเรื่อง จนจิตตก

    • จบโอเคนะ แต่ไม่ทำให้หายจิตตก = =!

เป็นหนังที่ทำให้ต้องกลับมาคิดว่าถ้าเราอยู่ในสถานการณ์นั้นตัวเราจะทำอย่างไร ถ้าไม่มีกฏหมายกำกับแล้วมนุษย์เราจะทำผิดมนุษยธรรมได้ง่ายๆ อย่างนี้เลยจริงหรือ


===SPOIL===


ตอนเริ่มเรื่องหนังให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับคืนล้างบาป ว่าทำให้อาชญากรรมลดลง เป็นการยอมรับว่ามนุษย์มีความรุนแรงและควรจะมีช่องทางให้ปลดปล่อย เหล่าเพื่อนบ้านของครอบครัวแซนดิน ก็ดูจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข เจมส์(คุณพ่อของครอบครัว) ก็ขายระบบป้องกันบ้าน(ขายเพื่อนบ้านนี่แหละ) จนร่ำรวยมีเงินต่อเติมบ้านจนใหญ่โต ดูเหมือนว่าหลักการนี้จะทำให้อเมริการดีขึ้น จะมีคนแย้งก็ในเรื่องที่ว่า คนที่จะโดนล้างบาปมักจะเป็นคนจนที่ไม่มีปัญญาซื้ออะไรมาป้องกันตัว ซึ่งเหมือนเป็นการกำจัดส่วนเกินของสังคม กำจัดคนที่เป็นตัวถ่วงทางเศรษฐกิจ สุดท้ายนอกจากอาชญากรรมลดลงแล้ว เศรษฐกิจก็เลยดีขึ้นด้วย (เป็นข้อดีซะงั้น)

ครอบครัวแซนดินเป็นครอบครัวที่มีความสุข อาจจะมีปัญหานิดหน่อยตามประสา กับลูกสาวที่กำลังโตเป็นสาว อยู่ในวัยต่อต้าน และติดแฟน กับลูกชายที่ออกจะเก็บตัว มีความคิดเป็นของตัวเอง และเริ่มสงสัยว่า"คืนล้างบาป"เป็นสิ่งที่ดีจริงหรือไม่ และสงสัยว่าพ่อแม่ของเขาจะมีวันที่ออกไป"ล่า"เหมือนคนอื่นๆ หรือไม่

[ช่วงแรกยาวพอสมควร คนที่คาดหวังว่าเรื่องนี้จะออกแนว Stranger อาจจะหลับไปแล้ว]

หลังจากบ้านแซนดินปิดบ้าน คุณลูกสาวพบว่าแฟนแอบเข้ามาอยู่ในบ้านเพื่อจะคุยกับคุณพ่อให้ยกลูกสาวให้ บอกว่าคุยวันนี้จะได้หนีไปไหนไม่ได้(บ้านใหญ่โคตร คงจะหนีไปไม่ได้หรอกนะ) ทางฝ่ายลูกชายเห็นคนวิ่งหนีมาขอความช่วยเหลือข้างนอก ก็เกิดมนุษยธรรมพรุ่งพรวด เปิดให้เขาเข้ามาหลบซะงั้น ระหว่างที่คุณคนแปลกหน้ากับคุณพ่อกำลังคุมเชิงกันอยู่ อีคุณแฟนก็โผล่เอาปืนออกมาจะยิง! พ่อหลบ! กระสุนพลาด! คุณพ่อยิงสวน! (กรุณาอ่านด้วยเสียงเหมือนพากษ์มวย) คุณแฟนโดนยิง ขึ้นไปตายบนห้องลูกสาว  คุณคนแปลกหน้าก็หายไปซะแล้ว

ในบ้านกำลังกลัวว่าคุณคนแปลกหน้าจะมาร้าย นอกบ้านก็มีกลุ่มคนใส่หน้ากากมาบอกว่าตัวเองเป็นกลุ่มคนที่ "มีฐานะ" และ "มีการศึกษา" มาขอตัวคนแปลกหน้าคืนไป เพื่อล้างบาป[ตอนหน้ากากก็หลอนแล้ว อีตาคนที่เป็นหัวหน้าถอดหน้ากากออกมาหน้าหลอนเหมือนหน้ากากเลย] โดยให้ครอบครัวแซนดินส่งเขาออกไป ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะใช้เครื่องมือเข้ามาและฆ่าทั้งครอบครัว คุณพ่อยอมรับว่าถึงแม้บ้านจะปิดล็อคแล้ว แต่ว่าก็มีอีกหลายวิธีที่เข้ามาได้ (เช่น ขุดอุโมงค์ พังกำแพง)

หลังจากนั้นเป็นการตามล่าคุณคนแปลกหน้า โดยที่อีตาลูกชายพยายามช่วยให้เขาไปซ่อน [ตรงนี้เห็นด้วยกับคนทั่วไปว่ามันดูไม่มีเหตุผลมากๆ ที่ลูกชายพยายามจะช่วยคนแปลกหน้าโดยไม่ลังเลเลย อยากโดนฆ่ายกครอบครัวเหรอฟะ] ต่อสู้กันชุลมุนไปมาก็จับคุณคนแปลกหน้ามัดแล้วพยายามจะส่งตัวไปข้างนอก แล้วแม่(กับลูกทั้งสอง) ก็รู้สึกตัวขึ้นมาว่าพวกเขากำลังทำสิ่งที่โหดร้ายอยู่ แล้วก็งอนพ่อหนีไป คุณคนแปลกหน้าเริ่มยอมรับว่าให้ส่งเขาออกไปได้ แต่คุณพ่อเปลี่ยนใจซะแล้ว ไปหาอาวุธมาแล้วพยายามจะสู้

หลังจากนั้นผู้คนก็บุกเข้ามา โดยเอารถ&โซ่มาดึงประตูออก(ตอนแรกนึกว่าจะมีอุปกรณ์แฮคให้ประตูเปิดซะอีก) ไล่ฆ่ากันไปมา คุณพ่อเก็บไปหลายคน ส่วนแม่กับลูกชายทำอะไรไม่ได้เลย = =! [ช่วงนี้ฉากจะดูจิตๆ หน่อย] สุดท้ายคุณพ่อโดนคุณหัวหน้าจิ้มเลือดอาบ สามคนกำลังจะโดนฆ่า ลูกสาวก็โผล่มายิงคุณหัวหน้าซะหมดแม็ค ระหว่างที่ต่อสู้กันนั้นจะเห็นว่ามีคนกลุ่มใหม่กำลังเข้ามายิงพวกหน้ากากจนหมด คุณพ่อเสียเลือดตาย และปรากฏว่าคนกลุ่มใหม่คือเพื่อนบ้านที่จะมาล้างบาปครอบครัวนี้เพราะรู้สึกว่าพวกแซนดิน เอาเงินของพวกเขา(ที่ซื้อระบบปิดบ้าน) มาอวดรวยใส่พวกเขา

ระหว่างนั้นคุณคนแปลกหน้าก็โผล่มาช่วย (ยิงตายไปบางคน) และถามว่าจะทำยังไงต่อ ทุกคน(ในหนัง) รู้สึกว่าต้องยิงทิ้ง แต่คุณแม่บอกว่าจะไม่ทำ นั่งอยู่เฉยๆ จนหมดคืน ก่อนจะเช้าก็มีคนพยายามจะขัดขืน เลยโดนคุณแม่อัดซะ แล้วบอกประมาณว่า "คืนนี้มีการฆ่ากันมากพอแล้ว ไม่เข้าใจเหรอไง" [ชอบมากประโยคนี้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นต้องขำ]

สุดท้ายหมดเวลาคุณเพื่อนบ้านก็กลับบ้านไป ทีวีออกมาบอกว่าปีนี้มีคนออมาร่วมคืนล้างบาปมากที่สุด เดินไปทางไหนก็แทบจะสะดุดศพ....


ความรู้สึกหลังดูจบ



  • ถ้าเราอยู่ในประเทศที่มีคืนแบบนี้จริงจะเป็นอย่างไร เราจะ lock ตัวเองอยู่ในบ้าน ไม่สนใจแม้มีคนมาขอความช่วยเหลือได้หรือไม่ ถ้ามีคนจะมาล้างบาปคนที่หลบอยู่กับเรา(รู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม) เราจะยอมส่งตัวเขาออกไปตาย หรือยอมเสี่ยงชีวิตของครอบครัวเราเพื่อมนุษยธรรม การใช้ชีวิตอยู่ตลอดปีจะรู้สึกอย่างไร ถ้าเราไปขัดขาใครเข้า เขาจะมาล้างบาปเราหรือเปล่า?

  • ไอเดียแบบนี้ ช่วงแรกๆ น่าจะดี จำกัดความรุนแรงมาอยู่ในคืนเดียว ปีแรกๆ ผู้คนอาจจะยังไม่กล้า แต่ถ้าเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผู้คนเริ่มเคยชินกับมัน สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา จากที่คนรู้สึกว่ามันผิด แค่ถูกกฏหมาย จะกลับกลายคนรู้สึกว่ามันถูกต้อง เป็นสิทธิโดยชอบธรรมที่จะทำอย่างนั้น จากที่คนออกมาในคืนนั้นเป็นพวกที่มีแนวโน้มจะทำอาชญากรรมเท่านั้น กลับกลายเป็นคนทั่วไปจะแสดงออกถึงกิเลสเล็กน้อย(เช่น ความอิจฉา) ด้วยการฆ่ากันในคืนนั้น หรือพยายามแก้ปัญหา(ว่าพ่อไม่ให้คบกัน)ด้วยการฆ่า เพราะเห็นว่าเป็นวิธีง่ายๆ

  • บางครั้งสิ่งที่ได้ผล อาจจะไม่ต้องทำได้จริง แค่ให้ความรู้สึกว่าอย่างนั้น >> ระบบปิดบ้านที่คุณพ่อขาย ไม่ใช่ว่ามันจะกันได้จริงๆ แต่ความจริงสิ่งที่มันทำก็คือ ทำให้คนที่มองมา "รู้สึก" ว่าบ้านถูกปิดแน่นและเข้าไปยาก และย้ายไปหาเป้าหมายที่ง่ายกว่า

  • พอคนเรามีฐานะและการศึกษาสูง มีแนวโน้มที่จะเห็นคนอื่นต่ำกว่าเรา ดูถูกคนอื่น และที่ร้ายแรงที่สุดคือ เห็นเขามีค่าความเป็นคนต่างจากเรา

  • ส่วนที่ชอบของหนังเรื่องนี้คือไอเดีย และตอนจบที่คุณแม่เลือกที่จะไม่ทำร้ายผู้อื่น

  • ส่วนที่ไม่ชอบ คือ มันน่าจะสามารถแสดงการต่อสู้กันระหว่างการเอาตัวรอดและคุณธรรมให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะลูกชายที่ดูไม่พยายามเอาตัวรอดเลย ซึ่งดูประหลาดมาก

#ถึงแม้เรื่องในบ้านจะจบค่อนข้างดี แต่โลกกลับแย่ลง ยิ่งทำให้จิตตกหลังดู

#แล้วครอบครัวนี้จะทำอย่างไรล่ะเนี่ย พ่อก็ตายแล้ว ถ้าไม่ย้ายบ้านปีหน้าโดนฟันหัวแบะแน่ๆ

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Monster University

กลับมาเริ่ม Blog ใหม่หลังจากห่างหายไปนานมากตั้งแต่เรียน คิดว่าจะเริ่มกลับมาเขียนหลายรอบ แต่ขี้เกียจทุกที พอดีว่าชอบเรื่องนี้เลยมาเขียนถึงซะหน่อย

จากที่เคยชอบ Monster, Inc. หนังเรื่องนี้มาเติมเต็มเรื่องราวนั้น ว่ากว่าที่ไมค์และซัลลี่จะมาเป็นคู่หูที่สุดยอดได้นั้น พวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง และต้องพยายามกันมาขนาดไหน จากภาคแรกที่ดูเหมือนไมค์จะเป็นแค่ตัวตลก ขี้บ่น(และเหมือนจะเกาะซัลลี่ดัง) ความจริงแล้วมันเป็นมาอย่างไร


ชอบเนื้อเรื่องมาก ได้อะไรหลายอย่าง ทั้งเรื่อง ความพยายาม ความเชื่อมั่นในตัวเอง/นำจุดเด่นของตัวเองมาใช้ การทำงานเป็นทีม สิ่งที่เราเห็นภายนอกอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นเสมอไป สุดท้ายคือบางครั้งไม่ว่าจะพยายามอย่างไรคนเราต้องยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง เราจึงจะพัฒนาจุดเด่น จนทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ


เรื่องย่อ(แบบ spoil มากกว่าตัวอย่างหนัง และเรื่องย่อตาม web นิดหน่อย)

การเป็นนักหลอนเป็นความฝันของชาว monster ทุกคน ซึ่งหนทางหนึ่งคือเข้ามหาวิทยาลัยใน scare major ไมค์และซัลลี่ทำตามฝันขั้นแรกได้สำเร็จโดยได้เข้าเรียนใน major นี้ แต่หนทางไม่สวยหรูอย่างที่คิด เมื่อจะต้องมีนักเรียนถูกคัดออกในการสอบ ไมค์ผู้ออกจะเป็นเด็กเนิร์ด และซัลลี่ผู้โด่งดัง(เพราะมาจากตระกูลนักหลอนที่โด่งดัง) ออกจะไม่ถูกกันด้วยความคิดและวิธีใช้ชีวิตต่างกัน กลับลงเอยด้วยการถูกให้ออกจาก program เหมือนกัน ด้วยเหตุผลที่ต่างกันสุดขั้ว ไมค์รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการหลอนแต่ไม่มีความน่ากลัว ส่วนซัลลี่ที่สามารถคำรามได้อย่างน่ากลัวกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการหลอนเอาซะเลย


สองคนนี้จะทำอย่างไรต่อไป จึงจะทำให้ความฝันของพวกเขาเป็นจริงได้ และทำไมสุดท้ายพวกเขาถึงมาเป็นคู่ซี้กัน


SPOIL ALERT!!!!

เปิดเรื่องมาหนูน้อยไมค์ได้มาทัศนศึกษาใน scare floor ของ Monster, Inc. และดันตามนักหลอนเข้าไปในห้องนอนเด็ก โดยเขาไม่รู้ตัว จนนักหลอนตนนั้นประทับใจให้ หมวกมาเป็นที่ระลึก ซึ่งเป็นจุดเริ่มทำให้ไมค์พยายามเข้า Monster University ตามรอยเท้านักหลอนคนนั้นให้ได้


หลายปีต่อมาไมค์ทำสำเร็จและได้เป็น room mate กับแรนดัล(กิ้งก่า ทีเป็นตัวร้ายของภาคที่แล้วนั่นแหละ) ซึ่งเป็นคนที่ค่อนข้างไม่มีความมั่นใจในตัวเอง แต่พยายามจะทำให้ผู้อื่นประทับใจ [ข้อคิด:ไม่มีใครเลวมาตั้งแต่แรก] ในชั่วโมงแรกไมค์กำลังจะตอบคำถามอาจารย์ แต่ซัลลี่เข้ามาคำรามอย่างน่าประทับใจและดึงความสนใจทุกคนไป ตามมาด้วยท่านคณบดีสุดหลอนเข้ามาประกาศว่าในการสอบครั้งต่อไปใครทำไม่ได้จะถูกคัดออก(อย่างกับ AF)


ในการเจอกันครั้งแรกไมค์และแซลลี่ไม่ชอบหน้ากัน ไมค์มีความพยายาม ตั้งใจอ่านทุกอย่างทำทุกอย่างตามทฤษฏี(อารมณ์เด็กเนิร์ด) แต่แซลลี่เป็นคนดังอยู่กับกลุ่มคนดัง และดูถุกไมค์ ทั้งสองตั้งใจจะแข่งกันในการเรียน ซึ่งไมค์ขยันและพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ  แต่แซลลี่ผู้มัวแต่ปาร์ตี้กลับจมปลักอยู่ที่เดิม


และแล้ววันสอบก็มาถึง ทั้งสองคนทะเลาะกันจนเป็นเรื่องเล็กน้อย ทำให้คณบดีลงมาสอบให้ด้วยตัวเอง และไล่ทั้งสองคนออกจาก Program เพราะแซลลี่ไม่สามารถพัฒนาการหลอนให้ถูกต้องตามลักษณะของเด็กได้(ประมาณว่าไม่ใช้สมองนั่นแหละ) และบอกว่าถึงแม้ไมค์จะมีความรู้ทุกอย่างแต่เขาไม่มีความน่ากลัวเลย ซึ่งสิ่งนี้ไม่สามารถได้มาด้วยความพยายาม


แต่ไมค์ไม่ยอมแพ้ เขาไปรวมตัวกับบ้าน อูซม่า แคปป้า ซึ่งเป็นบ้านสุดเห่ยในมหาวิทยาลัย ลงแข่ง scare game เพื่อพิสูจน์ว่าเขาเป็น monster ที่น่ากลัวที่สุดได้ ไมค์ได้พนันกับคณบดีว่าถ้าเขาชนะจะต้องรับทั้งทีมกลับเข้าคณะ แต่ถ้าเขาแพ้จะต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย พร้อกับจำใจรับซัลลี่เข้าทีมมาด้วยเพราะจำนวนคนไม่พอ (แรนดัลได้กับเข้ากลุ่มกับบ้น ROR บ้านอันดับหนึ่ง และไม่ยอมคุยกับไมค์อีกแล้ว)


แม้จะอยู่ทีมเดียวกันแต่ทั้งสองคนก็ยังทะเลาะกันไม่เลิก ในด่านแรกไมค์และซัลลี่คิดว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะด้วยตัวเองได้ แต่กลับกลายเป็นว่าได้ที่โหล่(เพราะดันทิ้งเพื่อนร่วมทีมไว้ข้างหลัง) และเกือบถูกคัดออก โชคดีที่มีทีมหนึ่งทำผิดกฏจึงโดนคัดออกแทน[ข้อคิด:บางทีโชคก็สำคัญนะ] ทั้งสองคนเริ่มคิดว่าคงจะไม่ชนะ หลังจากเหตุวุ่นวายในรอบสองทีมเอาชนะมาได้อย่างหวุดหวิด ดูเหมือนบ้านอื่นๆ จะยอมรับและชวนพวกเขาไปปาร์ตี้ แต่สุดท้ายกลับเป็นแค่เรื่องแกล้งกัน ในขณะที่ทั้งทีมกำลังจะถอดใจ ไมค์ได้พาทุกคนแอบเข้าไปดู scare floor และปลุกใจทุกคนว่าเหล่านักหลอนมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Monster แบบใดก็เป็นนักหลอนได้เช่นกัน ไมค์กับซัลลี่ได้คืนดีกันในวันนั้นนั่นเอง


หลังจากนั้นไมค์และซัลลี่ตระหนักถึงความสำคัญของการทำงานเป็นทีม บ้านอูซม่า แคปป้า จึงเริ่มการซ้อมหนักโดยมีไมค์เป็นโค้ช ดึงจุดเด่นของแต่ละคนออกมา หลังจากนั้นพวกเขาก็ชนะมาเรื่อยๆ ตามบ้าน ROR มาอย่างหายใจรดต้นคอ ไมค์และแซลลี่กลายเป็นคู่ที่ทำงานเข้าขากัน ก่อนเกมสุดท้ายซัลลี่ได้คุยกับคณบดี และตระหนักว่าแม้ไมค์จะสอนเขาและเพื่อนๆ หลายอย่าง แต่เขาไม่สามารถช่วยให้ไมค์น่ากลัวขึ้นได้เลย


ในรอบสุดท้ายเป็นการแข่งหลอนในเครื่อง simulation อูซม่า แคปป้า ขึ้นนำได้ด้วยการหลอนของซัลลี่ และความผิดพลาดของแรนดัล ไมค์ซึ่งเข้าไปปิดท้ายได้คะแนนเต็มหลอดจนชนะมาได้ในที่สุด แต่เรื่องราวกลับตารปัตร เมื่อไมค์พบว่าที่พวกเขาชนะมาได้เพราะซัลลี่ไปปรับระดับความยากของไมค์ให้ต่ำสุด ไมค์ได้ขโมยกุญแจเข้าไปในห้องทดลองของมหาวิทยาลัย ผ่านประตูเข้าไปยังห้องเด็ก เพื่อพิสูจน์ตนเอง และได้ค้นพบว่าเด็กๆ ไม่กลัวเขาเลย


แซลลี่ที่ทำเพื่อนๆ ผิดหวังกำลังสารภาพผิดกับคณบดี จึงได้ข่าวการบุกรุกห้องทดลอง เพื่อนๆ ช่วยแซลลี่ให้บุกผ่านประตูไปช่วยไมค์ ในโลกมนุษย์นั้นทั้งสองได้ปรับความเข้าใจกันถึงความลำบากและพยายามของไมค์ และการที่แซลลี่ปกปิดความกลัวต่อความคาดหวังของตระกูลด้วยการทำตัวเหมือนไม่ยี่หระต่อสิ่งใด ทั้งสองหนีการตามล่าของผู้ใหญ่กลับมายังประตูในกระท่อม แต่พบว่าคณะบดีได้ปิดมันไปแล้ว


ไมค์วางแผนที่จะหลอกคนในฝากโลกมนุษย์เติมพลังงานให้ประตู เพื่อที่จะได้กลับไปได้ การหลอกผู้ใหญ่นั้นทำได้ไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะกับไมค์ซึ่งไม่มีความน่ากลัว เขาจึงต้องให้แซลลี่ช่วย ไมค์ได้วางแผนการหลอนเป็นขั้น(อารมณ์หนังผี) จนทำผู้ใหญ่ขวัญกระเจิง เติมพลังงานให้ประตู และกระบอกทั้งหมดในห้องทดลองจนล้น พวกเขากลับมาได้พร้อมกับประตูที่ระเบิด ท่ามกลางความประหลาดใจของคณบดี


สุดท้ายแล้วทั้งสองก็ถูกให้ออกจากมหาวิทยาลัย แต่เพื่อนๆ ของเขาได้เข้าเรียนใน scare major ก่อนที่ไมค์จะกลับบ้านไปนั้น คณบดีได้มากล่าวยอมรับในตัวไมค์ และซัลลี่ก็บอกว่าถึงแม้ว่าไมค์จะไม่น่ากลัว แต่ไมค์เคยกลัวอะไร ทั้งสองคนจึงตกลงกันเข้าทำงานที่ Mail room ใน Monster, Inc. และไต่เต้าขึ้นไปเป็นคนทำความสะอาด, คนครัว จนในที่สุด ก็ได้ทำงานใน scare floor ตามความฝัน




ชอบตอนจบที่สุดตรงที่ว่าแม้ทั้งสองคนจะทำเรื่องเหลือเชื่อ แต่ในเมื่อทำความผิดพวกเขาจึงต้องโดนไล่ออกอยู่ดี (ไม่ใช่ว่าทำผิดแล้วเก่งก็จะจบ) แต่ในเมื่อพวกเขามีความพยายามเริ่มจากงานเล็กๆ และทำให้ดีที่สุดในทุกๆ งานที่ได้รับมอบหมาย สุดท้ายแล้วสิ่งที่เขาฝันไว้ก็เป็นจริงขึ้นมาได้


อีกเรื่องหนึ่ง คือ การเรียนมหาวิทยาลัย เป็นทางที่จะทำให้ได้เข้าทำงานใน scare floor อย่างง่ายๆ ไมค์กับซัลลี่ถึงแม้ไม่เรียนมหาวิทยาลัยก็ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน แต่ต้องแลกมาด้วยความพยายามอย่างมากด้วย



ปล1. พล็อตแนวนี้ชอบมาก ฟินเวอร์ ถ้ามีลูกจะเอาให้ลูกดูเลย

ปล2.ตอนแรกมีเด็กเกรียนกลุ่มนึงนั่งอยู่ข้างหน้า คุยกันได้ยินไปครึ่งโรงแล้วมั้งและคุยกันตลอดโฆษณา/ตัวอย่างหนัง/หนังสั้น (เด็กกลุ่มนี้มันไม่รู้ว่าโดยปกติ pixar จะมีหนังสั้นก่อน) แต่พอหนังฉายแล้วสงบเงียบดี

ปล3. อยากนั่งดู credit แต่คนอื่นออกจากโรงไปหมดแล้ว พนักงานก็ฉายไฟฉายตรวจที่นั่งกดดันอ่ะ