วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551

The Day The Earth Stood Still

เป็นหนังที่ชื่อเป็นเอกลักษณ์มาก เป็นคำง่ายๆ หกคำเรียงกัน แต่แปลไม่ออก เมืองไทยไม่เคยสอนไวยากรณ์แบบนี้ มี noun ติดกันสองตัว แล้วทำไม still ไปอยู่หลัง stood ล่ะนี่ (ตอนแรกๆ ยังเถียงกับน้องอยู่เลยว่า stood still หรือ still stood หรือว่ามันเป็น stand still หว่า??)

the day = วัน    the earth = โลก    stood = ยืน(เป็น v2 หรือ v3)   still = ยังคงอยู่

THE DAY THE EARTH STOOD STILL = วันที่โลกยังคงยืนอยู่

แปลแบบเอาสีข้างถูๆหน่อย แต่ก็คงพอได้ล่ะนะ เพราะสุดท้ายโลกก็ยังไม่ตาย (อิอิ)

เรื่องย่อ : เมื่อดาวหางที่จะพุ่งชนโลกกลายเป็น ลูกกลมประหลาด และจากลูกนั่นดันมีมนุษย์เกิดออกมาซะอีก เขาและวัตถุนั้นมาจากไหน เขาเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือ เขา(และพวก) ตั้งใจจะทำอะไรกับโลกนี้กันแน่??

หนังสนุกไหม? ก็พอใช้ หนังไม่ค่อยมีฉากตื่นเต้น สัตว์ประหลาดบุกโลก วิ่งหนีป่าราบ หรือถล่มเมือง (จะว่าไปก็มีแต่ถ้านับเวลาเป็น % แล้วมีไม่มาก) ดำเนินเรื่องด้วยเนื้อเรื่องมากกว่า แต่ก็ชวนติดตาม และไม่จบแบบที่ทำให้คิดว่า "คิดได้ไงจบแบบนี้" เหมือนตอน war of the world ฉากต่างๆที่เป็นฝีมือมนุษย์ต่างดาวก็ทำออกมาได้สวยงามดี ข้อเสียก็คือดูไปแล้วอยากจะไปตบกระโหลกเด็กในเรื่องเป็นระยะ

ความเห็นที่ spoil เนื้อเรื่อง

1) ตัวอย่างหนังมีฉากนึงที่คีนูรีฟ บอกนางเอกว่า ถ้าคุณตายโลกจะรอด ถ้าคุณอยู่โลกจะตาย และถ้าโลกตายคุณก็จะตาย ประมาณนี้แหละจำประโยคเป๊ะๆ ไม่ได้ ตอนที่ดูตัวอย่างนึกว่านางเอกต้องเสียสละชีวิตเพื่อโลก ทำให้กรี๊ดๆ อยากดูมาก เพราะอยากรู้ว่านางเอกสำคัญยังไง และมันจะจบยังไงให้ดูดี แต่พอไปดู ปรากฎว่าตูคิดไปเองนี่หว่า คำว่า 'คุณ' ในประโยคนั้นหมายถึงมนุษยชาติต่างหาก ไม่ใช่นางเอก

2) ทำไมคนในโลกถึงบ้าเลือดกันจัง มีแต่คนจะพยายามยิง,ทำลาย,สู้ กับมนุษย์ต่างดาว ทั้งๆที่สิ่งที่เขาแสดงให้ดูแต่ละอย่างก็แสดงแล้วว่าเทคโนโลยีพวกเขาช่างสูงยิ่งนัก เจรจาก่อนแล้วถ้าเขายังพยายามจะทำลายโลกแน่ๆแล้วค่อยสู้ยิบตาก็ได้นะ ทั้งลูกนางเอก รัฐมนตรีกลาโหม และประธานาธิบดี เอาแต่จะพยายามต่อสู้กับเขาจังเลย

3) สงสัยว่าทำไมฝูงแมลงที่กินเมืองได้ในเวลาแป๊บเดียว ดันให้พระเอกวิ่งฝ่าไปได้ตั้งนาน กว่าเสื้อผ้าจะเริ่มขาด และเริ่มบาดเจ็บ ลำเอียงนี่นา

4) ดูเรื่องนี้แล้วสอนให้รู้ว่าตอนนี้คนเราตระหนักว่ามนุษย์กำลังทำลายโลก แต่ก็ยังไม่อยากตายไปเพื่อให้โลกอยู่รอดอยู่ดีนั่นและ

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สุดท้ายแล้วมันก็อยู่ที่ความรู้สึก....

ทุกวันนี้เราใช้อะไรตัดสินว่า 'ใช่' หรือ 'ไม่' 'มาก' หรือ 'น้อย' 'ต่ำ' หรือ 'สูง' 'ดี' หรือ 'เลว'

ความยาว 5 เซนติเมตร

ถ้าเป็นริบบิ้น 5 เซนติเมตร คงสั้นจนใช้ประโยชน์ได้น้อยมาก

แต่ถ้ามีมดตัวยาว 5 เซนติเมตร มันคงเป็นมดกินคน(หรืออาจจะกินช้าง)

ความยาว 5 เซนติเมตร วัดเป็นตัวเลขได้ แต่ สั้น หรือ ยาว อยู่ที่ความรู้สึกต่อสิ่งที่วัด

 

"ขอทิชชู่เช็ดปากหน่อย" ฉันหยิบส่งให้เอ 2 ท่อน

เอบอกว่า "ขออีกหน่อยสิใช้ไม่พอหรอก"

"ขอทิชชู่เช็ดปากหน่อย" ฉันหยิบส่งให้บี 2 ท่อน

บีบอกว่า "ท่อนเดียวก็พอแล้ว เปลือง"

ทิชชู่ 2 ท่อน มาก หรือ น้อย อยู่ที่ความรู้สึกของแต่ละคน

 

ซี ฆ่า ดี ตาย

ซีเลวหรือไม่ ศาลสั่งประหารซี ยุติธรรมหรือไม่

ซีฆ่าดีทำไม

  ถ้าดีทุบตีน้องสาวของซี จนซีบันดาลโทสะ

  ถ้าดีขับรถชนพ่อแม่ของซี

  ถ้าดีฆ่าพ่อแม่พี่น้องของซีโดยเจตนา

  ถ้าดีทรมานและฆ่าพ่อแม่พี่น้องของซี

  ถ้าดีเป็นโจรที่ฆ่าคนมาเป็นร้อยคน

  ถ้าซีทราบมาว่าดีกำลังจะวางแผนฆ่าคน

  ถ้าซีทราบมาว่าดีกำลังจะวางระเบิดห้างสรรพสินค้า

  ถ้าซีป้องกันตัวเอง ที่ดีเข้ามาทำร้าย

  ถ้าดียึดโรงเรียนไว้ และจับเด็กเป็นตัวประกัน

  ถ้าดีกำลังจะจุดชนวนระเบิดซึ่งวางไว้ในโรงเรียนอนุบาล

เหตุผลใดบ้างที่ทำให้การสั่งประหารซี ดูอยุติธรรม

เหตุผลใดบ้างที่ควรจะลดโทษ

เหตุผลใดบ้างที่ควรจะอภัยโทษ

หรือดูแค่ผลลัพธ์ก็เพียงพอ ฆ่าคน ชดใช้ด้วยชีวิต ไม่สนใจเหตุผล

กฎหมายที่ยุติธรรม คือความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ที่คิดว่ายุติธรรม

 

สุดท้าย ไม่ว่าอะไรก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนั่นแหละ

ความรู้สึกมันก็คือ ความคิดซึ่งเป็นผลมาจากสิ่งที่สะสมมาในตัวคนๆหนึ่งจากประสบการณ์ การอบรมสั่งสอน และสันดาน(บางคนมีประสบการณ์เดียวกัน ได้รับการอบรมเหมือนกัน แต่คิดไม่เหมือนกันก็มี) และสมองก็จะประมวลผลเหล่านี้ออกมาเป็นความรู้สึก

"จงใช้เหตุผลแทนที่จะใช้ความรู้สึก" ประโยคนี้ทำได้จริงหรือ คนเราจะคุยกันด้วยเหตุผล ได้ย่อมต้องมีความรู้สึกร่วมกัน เพราะการที่จะยอมรับว่าเหตุผลนั้น สมเหตุสมผล ก็ต้องใช้ความรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลเช่นกัน เพราะชีวิตไม่ใช่วิชาตรรกศาสตร์ จึงจะพิสูจน์ได้ว่าประพจน์นั้นสมเหตุสมผลหรือไม่

 

ปล. หดหู่ไปหน่อยหรือเปล่าไม่รู้ จู่ๆ ก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา น่าจะเป็นเพราะสถานการณ์ทางการเมือง คนจะชอบหรือเกลียดทักษิณ คนจะเป็นกลาง คนจะคิดว่าการปิดสนามปิดทำให้ชาติเสียหาย หรือคิดว่าการปิดสนามบินมันจำเป็น สุดท้ายมันก็คือความรู้สึกของแต่ละคนล่ะนะ เถียงกันไป คนที่ชนะก็คงเป็นคนที่มีพวกมากกว่า

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Twilight

ช่วงนี้มีเรื่องโน่นนี่ตั้งหลายเรื่องที่น่าจะเอามาอัพได้ แต่เพราะมีเรื่องเยอะนี่แหละก็เลยไม่มีเวลา

มีทั้ง ไป outing, ไปพิพิธภัณฑ์+พระเมรุ, ไปกินข้าววันเกิด, ไปเที่ยวภูกระดึง

อย่างไรก็ตาม เราก็ยังจะอัพเรื่องหนังที่ไปดูอยู่ดี เพราะว่าจะเอาไว้เป็นสถิติ

พอเลื่อนการเลี้ยงทีมออกไปเพราะเหตุการทางบ้านเมือง เราก็รีบฉกฉวยเวลาว่างนี้ไปดู Twilight

เรื่องนี้เกี่ยวกับแวมไพร์ที่ดูจะไม่เหมือนแวมไพร์ที่รู้ๆจักกันเท่าไหร่(นอกจากดูดเลือดได้) เพราะเฮียแกไม่กลัวแดด ไม่กลัวไม้กางเขน ไม่กลัวกระเทียม เรื่องนี้ทำมาจากหนังสือที่ดังมากๆ ในต่างประเทศ และเท่าที่อ่าน review ของคนที่อ่านฉบับแปลแล้ว เสียงตอบรับก็ดีทีเดียว

คำเตือน การอ่าน review ด้านล่างนี้อาจทำให้เกิดอคติในการดูหนังได้(ถึงแม้จะไม่ spoil เยอะก็เถอะ)

ตัวอย่างหนังน่าดูมากๆ แต่ก็ได้ข่าวว่าความจริงมันเป็นหนังแนวโรแมนติก ซึ่งก็มาช่วยฉุดความคาดหวังลงมาหน่อย แต่ไปดูก็ยังรู้สึกเฉยๆ ที่เพลินไปกับหนังส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะภาพ และหน้าตาคุณพระเอกเอ็ดเวิร์ด ที่ทำให้เคลิ้มไปกับหนัง ตัวเรื่องดำเนินไปแบบราบเรียบเกินเหตุ ฉากที่ดูตื่นเต้นก็อยู่ในตัวอย่างหนัง ส่วนที่เหลือก็คือเข้าไปปะติดปะต่อเนื้อเรื่อง ดูแล้วก็สงสัยว่าพระเอกกับนางเอกไปชอบกันตอนไหน จู่ๆ ก็รักกันบานจะกลืนกิน

แต่พอดูแล้วก็คิดว่าหนังสือน่าจะสนุกกว่า เพราะดูแนวเรื่องแล้วน่าจะสนุกที่รายละเอียด หนังมีเวลาแค่ 2 ชั่วโมงเลยได้มาแต่โครง (อันนี้จากการสันนิษฐานนะ เพราะยังไม่ได้อ่าน) ซึ่งตอนนี้ก็ยังคิดอยู่ว่าจะไปซื้อมาอ่านดีไหม เหมือนจะไม่ใช่แนว

อีกอย่างที่เซ็งก็คือไอ้แนะนำตัวละครหน้าโรงนี่มันอะไรกัน ดูไม่เป็นเรื่องเดียวกันกับที่เข้าไปดูเลย(เรื่องนี้น้องสาวเซ็งกว่าอีก เห็นบ่นอยู่หลายรอบ) หรือว่านั่นจะเป็นหนังอีกเรื่องนึง!!!

ว่าแต่เรื่องเขาเขียวก็ยังเขียนไม่จบสักที จะพยายามมาเขียนต่อไปนะ ถ้ายังจำได้อยู่ เหอๆ

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

007: Quantum of Solace and Scar 3D

เมื่อวันเสาร์ไปดูหนังสองเรื่องควบมาอีกแล้ว

เรื่องแรกคือ 007 เรื่องนี้ไม่ได้อยากดูเท่าไหร่ เพราะเกิดอาการเบื่อ 007 มาตั้งแต่ช่วง Die Another Day แล้วก็รู้สึกว่าอีตาพระเอกคนใหม่นี่ไม่หล่อ(หน้าตาบ้านๆเกินไป) ในความคิด 007 ควรเป็นผู้ชายสุดเนี้ยบ ปากหวาน แต่ในความเห็นส่วนตัวหน้าพี่แกไม่ให้ยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็ไปดูด้วยความที่มีคนชวนดู+มีบัตรสะสมแต้มอยู่ (ซึ่งความจริงได้เสื้อมาก็ให้คนอื่นไปอยู่ดี หาเรื่องเสียตังค์จริงๆชั้น)

ไม่ได้ดูภาคที่แล้ว รู้สึกเรื่องมันจะต่อกันเล็กน้อย(และได้ข่าวว่าจะต่อกับภาคหน้าด้วย) ดังนั้นก็เลยงงๆ นิดหน่อย แต่ก็ทำใจไว้แล้วก็เลยไม่หงุดหงิดเท่าไหร่ 007 ก็ยังคงความเป็น 007 บู๊ตลอดเรื่อง มีทั้งวิ่งไล่กัน ขับรถไล่กัน ขับเรือไล่กัน ขับเครื่องบินไล่กัน ดีที่ยังไม่มีปั่นจักรยาน หรือเข็น wheelchair ไล่กัน ซึ่งในภาคนี้(คงจะภาคที่แล้วด้วยมั้ง ไม่ได้ดูภาคที่แล้ว) Bond ได้ลดความเนี๊ยบลงมาติดดิน ซึ่งเห็นหลายๆคนออกจะชอบว่ามันไม่เวอร์เกินไป ภาคอื่นเราจะเห็นพระเอกทำงานเหมือนง่ายๆ แต่ในภาคนี้ออกจะเหมือนกับพวกหนังบู๊ทั่วไป ซึ่งถ้าถามความเห็นก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ 007 รู้สึกขาดอะไรไปสักอย่าง

แต่มาคิดๆ ดูก็ไม่ได้มีฉากที่พระเอกเสียท่าเท่าไหร่นะ โดนอัดลงไปกระอักเลือด อย่างนี้ไม่มี ก็เลยสรุปว่าที่ 007 ดูติดดินขึ้นเป็นเพราะหน้าตาแกนั่นแหละ(วกกลับมาเรื่องนี้จนได้)

แล้วก็ไม่มี Q กับเครื่องมือสุดไฮเทคออกมาเลย T_T ดู 007 เพราะชอบเครื่องมือของเฮียแกนี่แหละ

สรุป ว่า หนังสนุกดี ถ้านับเป็นหนังธรรมดา แต่ด้วยคาดหวัง(ของหนู)ในความเป็น James Bond ในจินตนาการ ตัวอคติเลยมากระซิบว่า "ไม่สนุกๆ" รวมๆ แล้วก็เลยรู้สึกเฉยๆ กับเรื่องนี้นะ ไม่มีฉากไหนประทับใจหรือไม่ชอบเป็นพิเศษอีกต่างหาก เลยไม่มีอะไรเม้าท์

เรื่องย่อไปหาอ่านตาม web แล้วกันนะ ดูแล้วจับใจความไม่ค่อยได้รู้แต่มันไล่ยิงกัน หุหุ

 

แล้วตอนบ่ายเราก็ไปดู SCAR 3D ก็รอดูว่าเทคโนโลยี HD-3D ที่ไม่ต้องปวดหัวกับแว่นแดงฟ้าอีกต่อไปมันจะเป็นอย่างไร พอดูแล้ว ........

จอร์จ: มันเป็นเทคโนโลยีที่ดีจริงๆเลยซาร่า!!!

ซาร่า: มันดียังไงรึจอร์จ??

จอร์จ: ด้วยเทคโนโลยีนี้เราจะไม่ต้องปวดหัวกับแว่นแดงฟ้าอีกต่อไป โยนแว่นแบบเก่าทิ้งไปได้เลย!

ซาร่า: โอ้! พระเจ้าจอร์จ มันยอดมาก.......แล้วมันทำงานอย่างไรล่ะ

จอร์จ: มันก็ให้เราปวดหัวกับแว่นสีชาแทน สีแดงฟ้าน่ะสิ

ซาร่า: ........

มันก็ปวดหัวอยู่ดีค่ะ แต่เปลี่ยนแว่นให้ดูไฮโซขึ้น แต่ไม่รู้เพราะสวมทับแว่นสายตาหรือเปล่านะ เลยทำให้ดีกรีความปวดหัวเพิ่มขึ้น สรุปว่ามันก็แว่นอันเดียวกับที่ดู Journey to the center of the earth นั่นแหละ

เข้าเรื่องหนัง พูดถึงตัวหนังคิดว่าทำได้ดีเลยล่ะ แบ่งออกเป็น 2 ประเด็น เนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องดี ภาพที่ทำออกมาเป็น 3D สวยมาก(title สวยมาก ดูเพลินเลย) แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พี่จะทำเป็น 3D ไปเพื่อบิดามารดาหรือไง

อย่าเพิ่งร้องอ้าว! ไหนบอกดีไงล่ะ ดีน่ะดี แต่ 3D ที่ทำออกมาไม่มีเลือดกระเซ็นมาโดนตัวหรือมีดพุ่งมาใส่หน้า(หรือว่ากอง censer เมืองไทยเอาฉากพวกนั้นออกไปหมดแล้ว) 3D มันสวยก็จริงแต่สวยในแง่ที่เหมือนได้ดูคนตัวเป็นๆ มาแสดงหนังผีให้ดูต่อหน้า ประมาณว่าดูละครเวทีอยู่ ซึ่งเทียบกับอาการปวดหัวที่เพิ่มขึ้นแล้วทำให้ความลุ้นลดน้อยถอยลงไปแล้ว ขอเลือกดูแบบ 2D จะดีกว่า ช่วงกลางเรื่องปวดหัวจัด ฉากที่ไม่ใช่ไคล์แมกซ์ ก็เลยถอดแว่นดูซะเลย จะเห็นตัวละครเป็นหลายๆตัวเหมือนทีวีไม่ชัด พอฉากมันทรมานกันค่อยใส่แว่น

เรื่องย่อ : นางเอกเคยเป็นเหยื่อของฆาตรกรโรคจิต แต่ฆ่ามันแล้วหนีออกมาได้ หลังจากนั้นเธอก็ออกไปอยู่นอกเมือง และเธอก็กลับมาเพื่อร่วมงาน(อะไรสักอย่าง)ของหลานสาว และแล้วก็มีฆาตรกรที่ห่าโดยวิธีเดิมโผล่ออกมา ไม่มีใครเชื่อเธอว่ามันกลับมาแล้ว แต่กลับจับเธอเป็นผู้ต้องสงสัยแทน เธอจะต้องหนีออกไปเพื่อช่วยหลานสาวที่หายไปให้ได้

ชอบบทของเรื่องนี้ตรงที่เกมที่ฆาตรกรเล่น (Spoil เล็กน้อย แต่ถึงรู้ก็ไม่ทำให้ความสนุกลดลงหรอกมั้ง) เขาจับคนสองคนที่เป็นเพื่อนกันมาทรมาน โดยคุณสามารถหยุดการทรมานนี้ได้ โดยการบอกให้เขาฆ่าเพื่อนของคุณซะ ถ้าปฏิเสธก็โดนทรมาน แล้วเขาก็จะหันไปถามเพื่อนคุณแทนว่าต้องการให้ฆ่าคุณหรือไม่

ถ้าลองคิดดูเป็นคำถามที่น่ากลัวมาก ว่าเราจะยอมทนทรมานได้สักเท่าไหร่กว่าที่จะยอมสั่งฆ่าใครสักคน(และยิ่งคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทด้วยแล้ว) การบอกให้ฆ่านั้นทำเพื่อตัวเอง หรือว่าทนเห็นเพื่อนทรมานไม่ได้แล้วกันแน่ ถ้าบอกให้ฆ่าไปตั้งแต่แรกเราก็จะไม่โดนทรมานเลย แต่แน่นอน ว่าคุณต้องเล่นเกมนี้กับคนต่อไปเรื่อยๆ และบอกให้ฆ่าทุกคนไปเรื่อยๆ เราจะทำอย่างนั้นได้หรือ? หรือว่าเราจะยอมโดนทรมานสักสองสามครั้งก่อนจะทนไม่ไหว เราควรจะหยุดการทรมานในครั้งนี้ แล้วรอเริ่มใหม่ในเกมหน้า หรือว่าทนทรมานต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเพื่อนจะบอกให้ฆ่า เราจะได้ไม่ต้องทนเล่นเกมบ้าๆนี้ต่อไป

และถ้าเราสั่งให้ฆ่าใครสักคนไป แล้วรอดมาได้ ความรู้สึกผิดจะเกาะกินในไปนานเท่าไรกันนะ.....

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

City of ember : ความหวังที่ยังคุกรุ่น

ตอนดูชื่อเรื่องครั้งแรกก็สงสัยเลยว่า Ember นี่มันแปลว่าอะไรกันแน่ แต่ก็ไม่ได้หาจนกระทั่งไปดูมาแล้วนี่แหละ

จาก web dict.longdo.com Ember แปลว่า ถ่านหรือเถ้าที่ยังคุกรุ่นอยู่ และจาก Dictionary ของ Oxford บอกว่า

ember noun [usually pl.] a piece of wood or coal that is not burning but is still red and hot after a fire has died.

สรุปว่ามันคือถ่านหรือเถ้าแดงๆ หลังจากไฟดับไปแล้ว คนตั้งชื่อตั้งได้เท่ห์มากๆ รู้สึกเห็นภาพมหานครแห่งนี้ขึ้นมาทันทีเลย

ชื่อภาษาไทยก็ กู้วิกฤตมหานครใต้พิภพ ตั้งชื่อได้ตาม standard ชื่อไทยของหนังเทศมากๆ ฟังชื่อไทยเราก็ได้รู้ว่า 1. มันต้องเกี่ยวกับเมืองที่อยู่ใต้ดิน(ท่าทางจะเมืองใหญ่เพราะเป็นมหานคร) 2. เมืองที่ว่านี้ต้องโดนวิกฤตการณ์อะไรสักอย่าง(ไม่งั้นจะกู้วิกฤตไปทำซากอะไร) ที่เหลือก็เดาได้จากการที่อ่าน+ดูเยอะๆ เช่น

    • คนที่กู้วิกฤตก็ต้องเป็นตัวเอก
    • เมืองที่อยู่ใต้ดินก็คงมีไม่กี่อย่าง เมืองของเหล่ามนุษย์จิ๋วในเทพนิยาย เมืองในอนาคตที่มุดลงไปอยู่ใต้ดิน หรือเมืองของคนบางพวกที่เหนื่อยหน่ายกับบนบกจนหลบลงไปแล้วลืมว่ายังมีโลกเบื้องบน
    • วิกฤตก็คงจะเป็น เมืองใกล้ถล่ม, มีคน/ปีศาจจะยึดครองเมือง, ป้องกันคนในเมืองจากมนุษย์บนดินที่โดนนิวเคลียร์จนกลายพันธุ์

ถ้าสงสัยว่าอันไหนเรื่องจริงมาดูเรื่องย่อกันดีกว่า

เรื่องย่อ : นานมาแล้วมนุษย์สร้างเมืองใต้ดินขึ้นและส่งคนลงมาอยู่เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ พวกเขาได้เก็บวิธีซึ่งจะกลับคืนสู่พื้นดินไว้ในกล่องซึ่งจะเปิดออกในอีก 200 ปี แต่กล่องนั้นกลับถูกลืมเลือน และนครแห่งนี้ก็ทรุดโทรมลงทุกที เด็กชาย-หญิงคู่หนึ่งพบกล่องนั้น และช่วยกันค้นหาวิธีที่จะออกไปจากนครแห่งนี้ก่อนที่มันจะสายเกินไป

อ่านแค่เรื่องย่อ ก็รู้ตอนจบแล้ว ตอนจบก็ออกไปจากเมืองได้น่ะสิ (เรียกว่า spoil ไหมเนี่ย) เรื่องนี้สร้างมาจากวรรณกรรมเยาวชนชื่อเดียวกัน และมีฉบับแปลไทยที่สำนักพิมพ์อมรินทร์ ชื่อ "พิภพบาดาล" (ต้องลองไปหามาอ่านซะแล้ว) หนังสือมีเล่มต่อด้วยภาษาอังกฤษมี 4 เล่ม แต่อมรินทร์แปลได้แค่ 2 เล่ม และไม่รู้จะแปลที่เหลือเมื่อไหร่ด้วย - -"

ฟังเรื่องย่อแล้วคงจะรู้ว่าทำไมถึงชอบชื่อเรื่องนี้ อ้าว!ไม่รู้เหรอ รู้สึกว่า ember มันเป็นคำจำกัดความของเมืองนี้มากๆ เป็นถ่านหรือขี้เถ้าที่ยังคุกรุ่นอยู่หลังจากไฟดับไปแล้ว เมื่อไฟของมนุษยชาติเผาผลาญตัวเองจนดับไปยังเหลือแต่เมือง ember ที่ยังคุกรุ่นเป็นสิ่งที่ไฟแห่งเทคโนโลยีของมนุษย์หลงเหลือเอาไว้ แต่ ember ไม่ใช่ดวงไฟ เพราะชาว ember ดำรงชีวิตอยู่ในเมืองโดยไม่คิดจะพัฒนาหรือสำรวจนอกเมือง เถ้าถ่านที่คุกรุ่นรอวันที่กล่องเปิดออกซึ่งจะเป็นเหมือนลมพัดมาและเติมเชื้อให้ไฟประทุขึ้นอีกครั้ง ถ้าปราศจากกล่องนี้ ember ก็เป็นเพียงแสงริบหรี่ และคงจะเย็นลงจนดับไปในสักวันหนึ่ง ก็เลยรู้สึกว่า ember เป็นทั้งความหวังที่ไฟจะลุกโชนอีกครั้ง แต่ความหวังอันนั้นก็ใกล้จะมอดลงเรื่อยๆ ดั่งถ่านที่กำลังเย็นลงเรื่อยๆ เช่นกัน

ดูแล้วรู้สึกอย่างไร?

จัดว่าดี สำหรับหนังเรื่องนี้ ดูไปรู้สึกว่ามีความสุข ทั้งลุ้น ทั้งอมยิ้มไปกับตัวละคร แต่ต้องบอกว่าเรื่องนี้เป็นหนังเด็ก ความตื่นเต้น ก็เป็นในระดับเด็กเท่านั้น แต่ถ้าใครชอบนิทานหรือเทพนิยายคงจะชอบเรื่องนี้ เข้าใจว่าเมืองทำขึ้นจาก CG ซึ่งทำได้สวยมากๆ ชอบโคมไฟมากมายที่แขวนอยู่เหนือเมือง รู้สึกว่ามันเก่า พร้อมจะหล่นลงมาทุกเมื่อ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เมืองนี้มีแสงสว่างอยู่ได้

แล้วก็ไปคัดตัวเอกมาจากไหนไม่รู้ ดูหน้าตาแล้วเหมือนพวกภาพประกอบที่มักจะวาดในหนังสือเลย แขนขายาว หน้าจืดๆหน่อย หรืออาจจะเพราะชุดก็ได้ พวกตัวละครเหล่านี้ทำให้รู้สึกได้ว่าเมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่อยู่ใต้ดินจริงๆ หนังได้ค่อยๆ แสดงเงื่อนงำต่างๆออกมาทีละน้อย จนมาเฉลยในภายหลังว่า สิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยินไปก่อนหน้านั้น มีความเกี่ยวพันกันอย่างไร ส่วนที่ชอบที่สุดในเรื่องนี้คงจะต้องยกให้ idea ทั้งหลายของการวิถีชีวิตใน ember ที่ทำให้รู้สึกได้ว่าเมืองนี้ถูกออกแบบมาให้อยู่ได้ 200 ปี ซึ่งต้องอยู่ให้ถึง และจะไม่เกินนั้น

spoil -> idea ที่บอกว่าชอบคือ วิธีดำเนินชีวิตของชาวเมือง ทุกคนจะได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ไปทำ โดยการจับฉลาก!! ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าอาชีพไหนจะขาดคน ซึ่งความจริงเด็กแต่ละคนก็คงมีอาชีพในดวงใจของตัวเอง แต่จะจับได้หรือเปล่านั้นเป็นอีกเรื่อง(หรือถ้าจับไม่ได้จะไปแอบแลกมาได้หรือไม่) ที่เป็นอย่างนี้ได้คงเพราะค่าตอบแทนของแต่ละอาชีพคงไม่ต่างกันมาก เพราะอย่างไรอาหารก็ต้องปันส่วนกัน สิ่งที่ทุกคนทำอยู่ก็เพียงเพื่อให้เมืองอยู่ได้ถึง 200 ปีเท่านั้นเอง แน่นอนว่าเหล่าผู้คนในเมืองต่างไม่รู้ถึงเรื่องโลกเบื้องบน (ถ้ารู้คงต้องมีคนไปสำรวจเป็นแน่) ผู้คนต่างบอกต่อกันมาว่าภายนอก ember มีแต่ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด แต่ความอยากรู้อยากเห็นของคนเราห้ามกันไม่ได้ ember จึงมีกฎเหล็กห้ามออกไปนอกเมืองเด็ดขาด และยังมีผู้ร้องเพลงขับกล่อมให้เชื่อว่า ember จะจีรังตลอดไป เป็นแสงสว่างเพียงแห่งเดียวในโลกนี้(คงคล้ายๆ ศาสนาคอยปลอบประโลมจิตใจคน)

จึงไม่แปลกที่ยังไม่มีใครออกไปสำรวจภายนอกสำเร็จ อาจจะเพราะออกไปยากด้วย หรือว่าเทคโนโลยีที่ชาวเมืองทราบก็แค่เปลี่ยนท่อ ทำให้เครื่องกำเนิดพลังงานทำงานต่อไปได้ ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าสิ่งทั้งหลายรอบๆ ตัวทำงานอย่างไร มีคนพยายามออกไปเหมือนกันแต่ไม่สำเร็จ ผู้คนส่วนใหญ่ยังพยายามอยู่ในกรอบ ถึงแม้จะรู้ว่าเมืองใกล้จะเสื่อมสลาย เสบียงใกล้จะหมด แต่ก็ยังมีคนที่เชื่อว่าวันหนึ่งผู้สร้างจะกลับมาช่วยอีกครั้ง แต่การออกไปของตัวเอกของเราถึงแม้ว่าจะเป็นการผจญภัย แต่ก็เป็นแค่การทำตามคำสั่งที่ทิ้งไว้ ไม่มีการมุดดินเสี่ยงอันตรายมากมาย ถึงบอกว่าเป็นหนังเด็กๆ ไงล่ะ

ก็นับเป็นหนังอีกเรื่องที่ดูแล้วปิ๊งเลยล่ะ

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2551

หนังที่ดูไป

วันนี้เป็นบ้า up 3 entries เลย

ช่วงเดือนที่หายไปไม่ใช่ว่าไม่ได้ดูหนัง แต่ขี้เกียจมา up ดังนั้น entry นี้จึงอยาก list หนังที่ดูช่วงนั้นออกมา

จะได้จำได้ว่าดูอะไรไปบ้าง อยากจะรู้ว่าปีหนึ่งๆ ดูหนังไปกี่เรื่อง ไม่รู้จดไว้ไหนก็เอาไว้ใน space นี่แหละ หุหุ

  1. Body of Lies - เรื่องนี้ไม่ใช่แนวเลยน่ะ เลยไม่รู้สึกสนุกเท่าไหร่ ไม่บู๊ ออกจะเครียดๆ ถึงจะไม่ใช่สงคราม แต่ก็มีการซ่องสุมกำลัง เหยียดผิว ไม่ชอบดูหนังที่แบบนี้เลย ให้ความรู้สึกว่าจะสู้กันไปทำไมนะ ถ้าเป็นการสู้กันที่เวอร์ๆ จะไม่เป็นไรเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง (ออกแนวหนีความจริง)
  2. Eagle Eye - เรื่องนี้สนุกดี ตื่นเต้น น่าติดตาม ถ้าดูเอาความสนุก แนะนำเรื่องนี้มากกว่า Body of Lies ถึงแม้จะมีบางคนบอกว่ามันไม่ดีก็เหอะ แต่มันทำให้เราใจจดจ่อยู่จนจบได้โดยไม่ดูนาฬิกาก็นับว่าสนุกแล้วล่ะ
  3. My Best Friend Girl - เรื่องนี้ฉายแต่ที่ SF เป็นหนังน่ารักๆ ดูสบายๆ แต่ดูแล้วสงสารพระรองมากๆ เป็นคนดีที่ถูกทิ้ง(แต่สุดท้ายก็มีคู่กับเขาล่ะนะ ดีใจด้วยๆ)
  4. Mamma Mia - หนังเพลงแสนสนุกสนาน เพลงเพราะมากๆ รู้สึกว่าท่าเต้นมันแปลกๆ แต่น้องสาวบอกไม่เห็นแปลก(ไม่รู้ รู้สึกมันไม่อลังการณ์แบบตอนดูหนัง Disney)
  5. You Don't Mess with the Zohan - ดูตัวอย่างนึกว่าจะไม่ใช่หนังตลกอย่างเดียว สรุปถึงจะมีข้อคิดเล็กๆ แต่มันก็ตลกอย่างเดียว ทำให้รู้ว่าตัวเองก็ยังไม่ชอบหนังตลกอยู่ดี (ขำบางมุข แปลว่าเริ่มดูได้เล็กน้อย ปกติดูหนังตลกจะออกมาเครียด)
  6. Made of Honor - หนังน่ารักๆ อีกเรื่องหนึ่ง พระเอกสุดแสน perfect (แต่เจ้าชู้) พอรู้ว่าตัวเองหลงรักเพื่อนสนิท เธอกลับจะไปแต่งงานกับอีกคน(แถมคนนั้นยังดูจะดีกว่าเขาทุกด้าน) สุดท้ายก็ happy ending ตามระเบียบ ดูแล้วรู้สึกว่า ถ้ามีคนที่อยู่ด้วยกันอย่างสนิทใจแบบนี้บ้างก็คงดีนะ
  7. The Death of Ian Stone - ตัวอย่างหนังดูน่ากลัว แต่ไปดูจริงออกจะเป็นแนวสืบหาความจริง + สัตว์ประหลาด มากกว่าผี ดูได้ชิวๆ ไม่น่าเบื่อ แต่ก็ไม่ได้ประทับใจมากมาย

หมดแล้วมั้ง ไม่รู้ลืมอะไรหรือเปล่า (แต่นี่ก็ปาเข้าไป 7 เรื่องแล้วนะ)

Max Payne : ผีไวกิงส์

หลังจากดู Amusement แล้วก็ดูนี่อีกเรื่อง แล้วตอนเย็นก็ไปกินสปาเก็ตตี้แบบญี่ปุ่นที่ชั้น 1 MBK มา(อยู่ฝั่งโรงแรม) ราคาค่อนข้างแพงเลย แต่ก็แปลกดี กินครีมซอสวาซาบิเข้าไป ในเมนูเขียนไว้ประมาณว่า "ถ้าถามว่าครีมซอสวาซาบิเป็นอย่างไรคงยากจะอธิบาย ให้ลองกินดูเอง" (- -") ง่ายดีนะ เราก็เลยใจง่ายสั่งมากิน สรุปว่ามันก็คล้ายๆ ครีมซอสปกติ แต่มีกลิ่นวาซาบินิดๆ ใครชอบกินวาซาบิ+ครีมซอสก็น่าจะชอบเพราะมันหอมๆ ดี แต่กินมากๆ แล้วพอชินกับกลิ่นมัน ก็รู้สึกถึงความเผ็ดแบบแปลกๆ เหมือนกัน กินบ่อยๆ คงไม่ work

มาเข้าเรื่อง Max Payne กันดีกว่า

เรื่องย่อ :

Max ตำรวจหนุ่มผู้ไม่แคร์ชาวบ้านเนื่องจากลูกเมียถูกฆ่า แล้วจับผู้ร้ายไม่ได้ เขาย้ายตัวเองไปแผนกจัดการคดีเก่าและพยายามสืบคดีต่อไปด้วยตนเอง แต่ยิ่งขุดลึก ยิ่งมีคนตายมากขึ้น และสาเหตุของเรื่องนี้มันใหญ่กว่าที่เขาคาดไว้มากนัก รอยสักรูปปีกคืออะไร ทำไมหลายๆ คนถึงมีรอยสึกรูปนี้?

ต่อจากนี้ spoil (เยอะๆ) เลยนะ

ความเห็น :

เป็นหนังยิงกันธรรมดา เนื้อเรื่องธรรมดา ดูเอามันส์ได้ ไม่น่าเบื่อ ตอนแรกเหมือนจะมีสัตว์ประหลาดเป็นปีกซาตานออกมาไล่ฆ่าคน แล้วก็มีคนบอกว่าพระเอกพยายามหาสิ่งที่พระเจ้าซ่อนไว้ นึกว่าจะมีสัตว์ประหลาด แต่สรุปเป็นยาเสพติด (แป่ว) ไอ้ตัวนั้นมันก็แค่ภาพหลอน ส่วนคนที่ตายก็ถูกคนอื่นฆ่านั่นแหละ แล้วมาบอกว่าไม่รู้อาวุธที่ใช้ฆ่า ที่รู้สึกว่าจบไม่ดีคือ เหมือนตัวร้ายจะตายหมด ยกเว้นประธานบริษัท และดูพระเอกก็จะพอใจแค่ฆ่าคนที่มาฆ่าลูกเมีย ไม่สนใจเหตุผล ไม่สนคนบงการ จบแล้วรู้สึกว่า อ้าว! อีนี่ล่ะ ลอยนวลไปเหรอ??

และตอนจบถ้าพระเอกตายไปเลยอาจจะรู้สึกดีกว่านี้ หรือเพราะว่ามันทำจากเกม หรือไม่คงกะว่าจะทำภาค 2 สงสัยว่าพระเอกจะเป็นไง เป็นตำรวจแต่เล่นทำอะไรตามใจตัวเอง บุกเข้าตึกฆ่ารปภ.เป็นว่าเล่น (ในพวกนั้นอาจจะมีคนที่ไม่รู้เรื่องยาก็ได้นะ T-T) ต้องโดนปลดแล้วขังลืมไปเลย

เกี่ยวอะไรกับไวกิงส์น่ะเหรอ รอยสักรูปปีกที่เห็นอยู่ในเรื่องเกี่ยวกับไวกิงส์ ประมาณว่าเป็นสัญลักษณ์ในการคุ้มครอง และยาเสพติดนั่นก็ประมาณว่าดื่มแล้วให้เหมือนพวกไวกิงส์ คือ คิดว่าพระเจ้าอยู่ข้างตัวเอง ตัวเองมีพลังมาก และไม่กลัวตาย เพราะถ้าตายในการรบจะได้ไปสวรรค์ ตอนแรกยานี่ทำมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ทหารนั่นเอง กินยาแล้วจะเห็นตัวปีกหน้าตาเหมือนปีศาจนั่น เป็นเทพเจ้าของไวกิงส์ ไม่ก็ตัวแทนเทพเจ้านี่แหละ

พอดูจนจบเรื่องแล้วค้นพบอะไรบางอย่าง

  1. ถ้าเมายาตัวนี้ ให้ลองระเบิดตึกดู แล้วสติเขาจะคืนมา - พระเอกกินยาเข้าไป แล้วกำลังโดนหลอนอย่างหนัก พอผู้ร้ายระเบิดตึก บึ้ม!! จากแรงกระแทกช่วยให้พระเอกคืนสติไปไล่ตามซะงั้น
  2. พระเอกตายไปแล้ว!!! ที่โผล่มาเป็นร่างวิญญาณเท่านั้น สังเกตได้จากไม่ว่าใครจะยิ่งปีนกลใส่ หรืออะไรก็ไม่โดนพี่แกเลย สังเกตได้จากตอนมีกองทัพพบปืนกลมาระดมยิงใส่ พระเอกก็คลานไปเอาซอง แล้วก็วิ่ง 400 เมตรไปที่ประตูหนีไฟ โดยไม่โดนกระสุน(สงสัยกระสุนทั้งหมดจะทะลุผ่านร่างไปได้) อ้อ! เห็นโดนนัดนึงที่ไหล่ แต่หลังจากนั้นก็ยังใช้แขนข้างนั้นยิงปืนได้เป็นปกติเหมือนไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ
  3. เหตุผลที่อาจจะหักล้างกับข้อ 2 คือ พนักงานคนอื่นก็ไม่ค่อยจะโดนกระสุนเหมือนกัน จึงเป็นไปได้ว่า ผู้ร้ายใช้กระสุนพิเศษผสมกับกระสุนจริงในอัตรา 100:1 และกระสุนพลาสติกจะมีอำนาจการทำลายโต๊ะ ตู้ แต่ไม่ทำลายเนื้อคน
  4. แต่มีเหตุผลสนับสนุนข้อ 2 คือ พระเอกใช้กระสุนพลังวิญญาณ!!! เพราะกระสุนไม่หมดสักที่ แล้วยิงไปก็เข้าเป้าหมด ตอนวิ่งหนี(ฉากเดียวกับข้อ 2) พี่แกฝ่าดงกระสุนปีนกล แล้วเอาปืนพกยิงผู้รายตายเป็นใบไม้ร่วง อาจจะปกติของหนัง แต่ท่ายิงแกคือ เอามือซ้ายถือปืน แล้วพาดผ่านตา(เหมือนเอาแขนกันอะไรเข้าตา) แล้วยิงไปทางขวาของตัวเอง หัวหันไปด้านหน้าด้วย ใช่แล้วพี่น้อง พี่แกยิงแบบไม่มองเป้า แต่โดน ส่วนทหารหลายสิบคนที่มีปืนกล ระดมยิงไม่โดนเลย นอกจากปิดตายิงแล้ว พี่แกยังมีท่าเท่ห์ เอนตัวไปข้างหลังแล้วยิง(ท่านี้ค่อนข้องฮิตในหนังหลายเรื่อง) มีคนยิงจากด้านหลัง ก็เลยหลบกระสุนด้วยการล้มตัวลงไปด้านหลัง(มีตาหลังอีกต่างหากรู้ว่าเขาเล็งอยู่) แล้วก็ยิงปืนย้อนกลับไป ทีเดียวตาย ไอ้ผู้ร้ายที่เล็งอยู่ก่อน ยิงหลายนัดดันไม่โดน แถมไม่หลบกระสุนด้วย หรือปืนของพระเอกเป็นญาติกับไซโคกัน
  5. อีกสมมติฐาน ความจริงพระเอกมีความสามารถพิเศษ บังคับกระสุนได้ ทำให้เบี่ยงกระสุนที่จะมาโดนตัวได้ และบังคับแล้วกระสุนเลี้ยวไปโดนเป้าหมายได้
  6. หรือไม่พระเอกก็ไปเก็บ item เกราะเจ๋งๆ กับปืนกระสุนติดตามตัวมาได้
  7. เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้วพอเหอะ

แต่ตอนดูอยู่นี่คิดข้อ 1, 2, 4 ขึ้นมาจริงๆ นะ นอกนั้นคิดได้ตอนพิมพ์นี่แหละ

Amusement : ความเพลิดเพลิน??

อยากดูมาตั้งแต่เห็นตัวอย่างหนังแล้ว ความจริงอยากดูเพราะป้ายที่มันตั้งอยู่ตามโรงหนัง(มันเรียกว่าอะไรนะ ใช่ cut-out หรือเปล่า) มันแบบมีลวดขึงๆ ดูแปลกตามากๆ พอวันพุธที่ 22 ก็คิดว่า พรุ่งนี้ต้องไปดูให้ได้ก่อนที่มันจะออก(วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม หยุดวันปิยมหาราช) แล้วก็ลองเปิดรอบวันรุ่งขึ้นดู ก็เกิดอาการเศร้าขึ้น เพราะเหมือนกับว่าหนังจะโดนปืนใหญ่จอมสลัดเบียดออกไป ก็เลยตั้งความหวังไว้ว่าบางโรงที่ยังไม่ update รอบหนังของวันรุ่งขึ้นจะมีเรื่องนี้

มาตอนเช้าก็พบว่าที่ paragon มีรอบ 13:30 เพียงรอบเดียวในวันนี้(ไม่ใช่โรงแพงมากด้วย ขอบคุณพระเจ้า) ตอนสายๆ เกือบเที่ยง ก็ออกไปกินซิสเลอร์กับที่บ้านแล้วก็ดิ่งไปดูหนังทันที

มาถึงเรื่องหนังกันก่อน Amusement เปิดตามพจนานุกรมแล้วแปลได้ว่า ความขบขัน ความเพลิดเพลิน ความสนุกสนาน แต่! เดี๋ยวก่อน! อย่าตัดสินประเภทของหนังจากชื่อเรื่อง เพราะเรื่องนี้เป็นหนังผีนะจ๊ะ

จะบอกว่าหนังผีก็คงไม่ใช่ 100% เพราะเป็นหนังฆาตรกรโรคจิต(ก็ไม่ใช่ผีนี่นา) แต่ถ้าจัดประเภทหนังก็เป็น horror แน่ๆ ไม่ใช่ thriller แล้วมันเกี่ยวอะไรกับความขบขันล่ะ?? เพราะเรื่องนี้เป็นหนังผีตลกแบบบ้านผีปอบ?? คงไม่มีใครคิดหนังผีตลกได้นอกจากประเทศไทยแล้วมั้ง หรือว่าเรื่องนี้ตั้งใจให้คนดูที่โรคจิตพบกับความเพลิดเพลินในการไล่ฆ่าคน?? =,= ชักไปกันใหญ่แล้ว ถ้าใครได้ดูตัวอย่างหนังคงจะเห็นโฆษณาประมาณว่า ความกลัวของเหยื่อคือความเพลิดเพลินของเขา พร้อมเสียงหัวเราะแหลมสูงตามมา หุหุ เริ่มน่ากลัวแล้วไหมล่ะ

เรื่องย่อ(spoil หน่อยๆ) :

เรื่องเปิดที่การแนะนำสาว 3 คนที่ดูจะเป็นสาวสวย และเป็นที่ชื่นชอบ พร้อมกับเด็กชายคนหนึ่งที่มีอาการทางจิต และทั้ง 3 คนก็ต้องประสบกับความโรคจิตไม่แพ้กัน สาวคนแรก ผู้ขับรถไปกับแฟนบนทางหลวง และออกนอกเส้นทางไปเพื่อหนีรถติด และทำให้ไปเจอฆาตรกรโรคจิตเข้า สาวคนที่สองมาช่วยเลี้ยงหลาน แต่ในห้องนอนแขกมีตุ๊กตาตัวตลกหลอนๆ เต็มไปหมด อีกทั้งมีชายท่าทางแปลกๆ ก็มาตามหาพี่เลี้ยงเด็กที่กลับบ้านไปแล้วอีก สาวคนสุดท้ายพยายามตามหาเพื่อนที่หายไปในโรงแรมเก่าๆ แห่งหนึ่ง แต่เธอคงไม่คาดคิดว่าจะเจออะไรเช่นนี้ สุดท้าย ทั้ง 3 คนจะเป็นอย่างไร และทั้ง 3 เรื่องมีความเกี่ยวพันกันหรือไม่ ต้องไปหามาดู!!! หรือไม่ก็อ่าน spoil ข้างล่างนะจ๊ะ

ความเห็น :

หนังตื่นเต้นและน่ากลัวดี แต่ด้วยความที่แบ่งเป็น 3 part ซึ่งในความรู้สึกเราทำให้ความกดดันไม่ต่อเนื่องเพราะเหมือนเรื่องมันจบไปแล้ว ฉากแหวะๆ ก็มีบ้างตามประสาหนังประเภทนี้ แต่ไม่ถึงกับค่อยก็กรีดหน้า หรือตัดแขนออกแบบที่บางเรื่องทำ อื่นๆ ก็เหมือนหนังผีเรื่องอื่น คือ วางโครงเรื่องไว้หลวมๆ แล้วก็ทำให้หลอนแล้วก็ทำให้ตกใจ สุดท้ายก็ต้องวิ่งหนีฆาตรกรให้พ้น ซึ่งมันก็มีจะจุดที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง สุดท้าย หนังเรื่องนี้ดูแล้วปวดหัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเนื้อเรื่องหรือวิธีตัดต่อภาพ หนังผีบางเรื่องดูแล้วหลอน บางเรื่องดูแล้วกดดันมากกว่านี้ แต่ไม่ปวดหัว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดูแล้วกดดันและปวดหัว(เรื่องหนึ่งที่ดูแล้วปวดหัวคือ The Omen)

ความเห็นเกี่ยวกับเนื่องเรื่อง(spoil นะจ๊ะ) :

เรื่องแรกดูจบแล้วก็ยังงงๆ มีการหักมุมเล็กน้อย ว่าคนที่ดูจะเป็นคนร้ายน่ะไม่ใช่คนร้าย(ตามประสาหนังแนวนี้) แต่ก็ยังงงว่าคนร้ายตัวจริงที่หลอกให้ออกนอกเส้นทางตั้งใจจะทำอะไร เพราะในขบวนที่ร่วมทางกันมีคนอื่นอยู่ด้วย @_@ อ่านแล้วอาจจะงง อาจจะต้องดูถึงจะเข้าใจ

เรื่องที่สองนี่รู้สึกว่านางเอกใจแข็งมากๆ ถ้าเห็นตุ๊กตาหน้าหลอนแบบนั้นเต็มห้อง คงย้ายไปนอนโซฟารับแขกจะดีกว่า ในห้องในมีตุ๊กตาตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่งบนเก้าอี้โยก ซึ่งความจริงก็เป็นคนร้ายปลอมมานั่งนี่เอง สงสัยว่าเราจะไม่เห็นการหายใจเลยหรือไง และมีตอนที่เธอไปหยิบรีโมทบนตักตุ๊กตาทำให้เก้าอี้โยก มันไม่มีความรู้สึกว่าหนักกว่าปกติเลยหรือไงนะ

เรื่องสุดท้ายดูแล้วรู้สึกยัยนี่บ้าหรือเปล่า บ้านนั้นเหมือนบ้านผีสิงมากๆ ตอนแรกส่งแฟนตัวเองเข้าไป แล้วเขาหายไป แทนที่จะไปแจ้งตำรวจหรืออะไรดัน แอบเข้าไปซะงั้น - -"

สุดท้ายก็ได้รู้ว่า 3 คนนี้เคยเป็นเพื่อนกันตอนเด็กแล้วก็เป็นเพื่อนกับคนโรคจิตด้วย ซึ่งเขาก็ตามมาแก้แค้นเธอสามคนเพราะเคยโดนหัวเราะเยาะ แล้ว 3 คนนั้นก็ไม่ขำกับมุขโรคจิตของเขา มีเอาผู้หญิงสองคนแหวะท้องแล้วขึงเปิดท้องไว้ ก็สงสัยอยู่ว่าไม่ตายเหรอ แต่ปรากฎมันแค่เอาของปลอมมาแปะท้องเฉยๆ (ตอนดูรู้สึกว่าเอางี้เลยนะ) นางเอกช่วยเพื่อนออกมาได้ด้วยการทำเป็นหัวเราะไปกับความโรคจิต เหมือนกับที่เขาหัวเราะตลอด แต่ตอนวิ่งนี้เพื่อนสองคนตายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้คิดว่าจะช่วยมาทำไมเนี่ย (คนนึงตายหลังจะหลุดจากที่ขึงไม่ถึงนาที) แล้วผู้ร้ายก็ตกจากที่สูงไปพร้อมกับเพื่อนอีกคน เพื่อนตาย แต่ผู้ร้ายไม่ตาย(ตามประสาหนังอีกแล้ว) ซึ่งก็มาวิ่งไล่กันอีกแป๊บนึงแล้วนางเอกก็จิ้มสมองผู้ร้ายตายไป(สงสัยตายเพราะเวลาหมด)

สรุป : ดูเพลินๆ ดี ตอนออกมามีคนคุยกันว่า หนังฆาตรกรโรคจิตน่ากลัวกว่าหนังผีอีกเนอะ ---- เห็นด้วยค่า++

ปล. เจอสาว 2 คนข้างๆ คุยกันเหมือนดูหนังอยู่ที่บ้านอีกแล้ว แต่คราวนี้ไม่รำคาญมากเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไม

ปปล. ที่บอกว่าเหมือนอยู่บ้านเพราะคุณเธอคุยเรื่องหุ่นของนางเอก ว่าหุ่นดีหรืออ้วนหรือผอม!!! O_o ดูหนังผีอยู่นะน้องนะ

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Book Expo #13

หายไปนาน บังเอิญเป็นช่วงจิตตก เลยไปหาอย่างอื่นทำแก้เครียดแทน พอหลังจากนั้นมาอีกก็ขี้เกียจ(หุหุ) ความจริงมี space ที่เขียนทิ้งไว้ครึ่งๆกลางๆ ด้วย เหมือนจะต่อไม่ติดแล้ว ไม่ได้เป็นอารมณ์ตอนนั้น
แต่ว่าวันนี้เป็นวาระพิเศษนั่นก็คือ งานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 13 ใครสนใจจะไปก็ 11-23 ตุลาคม 2551 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์นะจ๊ะ
คราวนี้ไปถึงก็แวะนานมีบุคส์ก่อนเลย เนื่องด้วยคราวที่แล้วกว่าจะไปถึงผู้คนก็มากมายจนเบียดเข้าไปดูหนังสือไม่ได้ ก่อนหน้านี้มี e-mail ส่งมาบอกว่าให้ไปรับบัตรลด 30% ได้โดยไปแจ้งชื่อและ e-mail (เฉพาะคนที่มี mail ส่งมาให้เท่านั้น) ก็สงสัยอยู่ว่าเราไปเป็นสมาชิกกับนานมีตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็คาดว่าคงจะเพราะสั่งจองแฮร์รี่น่ะแหละ ไปถึงก็ได้บัตรลดมา 30%

ขอย้อนกลับไปเมื่อเดือนที่แล้ว มีงานหนังสือที่ Double A book Tower ลด 30% ทั้งตึก ก็เลยดี๊ด๊าไปซื้อการ์ตูนมาเยอะแยะ ซึ่งปกติงานหนังสือนานมีจะลดแค่ 20% ก็เลยตัดสินใจซื้อหนังสือชุดมนตร์น้ำหมึกมาชุดหนึ่งด้วยความงกที่มันลดมากกว่างานหนังสือ แต่ว่ายังไม่ได้ซื้อชุดอยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย(ที่อยากได้มานานแล้ว) ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากรอมัน pack เป็นชุดขาย เผื่อจะมีกล่องใส่สวยหรู

กลับมาที่งานวันนี้ ตอนที่บอกว่าได้บัตร 30% ก็คิดว่า โอ๊ะ! ลดเท่ากับตอนนั้นเลยอย่างนี้ชุดอยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้ายก็ซื้อได้ราคาถูกสินะ ลัลลา~ แต่ยังสงสัยว่าบัตรมันจะใช้ได้กับเล่มเดียวหรือเปล่านะ? ซึ่งเปิดเข้าไปใน web นานมีพบว่าถ้าสั่งทั้งชุด(13 เล่ม)ทาง web จะได้ลด 30% ก็เลยคิดกันกับน้องว่าถ้าในงานใช้บัตรลด 30% ได้แค่เล่มเดียว หรือมีเงื่อนไขอื่นๆ ก็จะมาสั่งทาง web แทน แต่ว่าพอเดินดูที่บูทแล้วแทบกรี๊ด ถ้าซื้อครบชุดลด 40% เหลือ 999 แถมอัตชีวประวัติไม่ธรรมดาของคนเขียนอีกเล่ม (โล่งใจมากที่ไม่ได้ซื้อไปก่อน) แต่ในความโล่งใจก็รีบกวาดตาดูอย่างหวาดๆ แล้วมนตร์น้ำหมึกล่ะ ลดเท่าไหร่ >.< และแล้วก็โล่งใจ ลด 29% (อาจจะสงสัยว่าทำไมต้อง 29 ด้วย ไม่รู้เหมือนกันก็นานมีเขาวงเล็บไว้ว่าอย่างนั้นน่ะ คาดว่าคงจะทำให้เลขลงตัวกว่าลด 30%)
สรุปแล้วก็ได้หนังสือมาแล้ว 14 เล่ม เงินลอยออกไป 999 บาท เลขสวยเป็นอย่างมาก แล้วก็บัตร 30% เลยไม่ได้ใช้ ใครอยากซื้อหนังสือนานมีมาขอไปได้นะคะ แต่สำหรับใช้ในงานหนังสือเท่านั้นนะ
แล้วก็ไปนายอินทร์พยายามเลือกหนังสือที่อยากอ่านที่สุดออกมาจากหนังสือมากมายในบูท ก็ได้มา 5 เล่ม แล้วก็เลี้ยวกลับไปที่ pearl ไม่รู้ pearl ใช้ยาอะไรมามอมหรือเปล่า ใครช่วยไปตรวจสอบที T^T เพราะโดนน้องคนขายปลดทรัพย์ไป 2,779 น้องแกยังจะหลอกล่อให้ซื้อครบ 4 พันอีก ดีนะไม่หลวมตัว ปีนี้ก็เลยได้กระเป๋าจาก pearl มาอีก 1 ใบ
พอซื้อหนังสือหลักๆ ครบ ก็เอาไปฝากไว้แล้วก็เริ่มเดินเที่ยวงาน ไปได้การ์ตูนมาอีก 1 ตั้งกับหนังสือ 3 เล่มร้อย นอกนั้นเดินๆ แล้วเหมือนกับกระเป๋ามันเบาๆ พาลอยออกจากบูทไป
ออกจากบ้าน 9:30 งานเริ่มประมาณ 10:00 เดินเสร็จบ่าย 3 พอดี ตอนแรกคิดว่าจะไปกินข้าวที่อื่นต่อ แต่พอคิดถึงน้ำหนักของหนังสือแล้ว ก็เลยแว่บเข้า black canyon ในศูนย์ฯ กินเสร็จแล้วก็จรลีกลับบ้าน
พอเอาหนังสือมาแผ่ สภาพก็เป็นแบบนี้

 
ที่เห็นถุงๆ อยู่ข้างหนังนั่นมีใบซ้ายสุด(สีส้ม)ใบเดียวที่ได้มา ใบอื่นเป็นใบที่พกไปเพื่อลดการใช้ถุงพลาสติก ลดโลกร้อน
ที่งานมีติดโฆษณาไว้ด้วยว่าถุงใบเดียวเที่ยวทั่วงาน(คือให้ใช้ถุงผ้านั่นแหละ) แต่หนูใช้ถุงใบเดียวไม่พอนะคะ~~~~
ถ้าใครดูภาพข้างบานแล้วยังไม่รู้สึกว่ามันเยอะแยะมากมายเลื่อนลงมาด้านล่างนี่เลย
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เอาหนังสือมาตั้งเรียงกันดู ตอนแรกจะเอาการ์ตูนไปซ้อนด้วย แต่กลัวมันถล่มลงมา เห็นมันสูงเลยลองวัดดูได้ดังภาพ

สามเล่มข้างบนสุดนั่นคือที่ไปซื้อมาตอนงาน double A แต่ก็นับเป็นงบของเดือนตุลานี้ด้วย
ถ้านับรวม 3 เล่มนั้นด้วย เฉพาะหนังสือได้ 36 เล่ม 5,547 บาท
ถ้ารวมการ์ตูนก็เป็น 56 เล่ม 6,177 บาท
มองหนังสือแล้วก็มีความสุข แต่พอมองกระเป๋าเงินแล้วก็เศร้า
 
"ในความสุขย่อมมีความทุกข์อยู่เสมอ"

                                 ยู้, เด็กน้อยธรรมดาคนหนึ่ง
















































วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Death Race : ซิ่ง ชน ระเบิด ตีลังกา เสียบ เลือดสาด หัวแบะ ตาย

หลังจากวันอาทิตย์ไปสอบ CU-BEST ตอนเช้า ตอนบ่ายก็ไปดู Death Race มา

ก่อนไปเรื่องหนังมาเพ้อเจ้อถึงเรื่อง CU-BEST กันก่อน

วันเสาร์ก่อนสอบ ด้วยความที่อ่านหนังสือจบแล้ว(รีบอ่านเพราะจะเอาหนังสือไปคืนให้พี่เต่าอ่านบ้าง) ก็เลยไปเที่ยวเล่น ไปเดินสำเพ็งหาซื้อกระเป๋า แล้วก็ไปจุฬาเพื่อไปหาตึกสอบก่อนจะได้ไม่หลงทางวันสอบ ซึ่งก็ดีที่ไปดูก่อน เพราะไม่รู้ว่าประตูฝั่งอังรีดูนังเขาไม่เปิดวันเสาร์อาทิตย์!! ไอ้เราก็ลงป้ายตรงสถานเสาวภา กะว่าจะเข้าด้านหลัง ปรากฎว่าปิด O_o แต่ยัยนี่ยังไม่เข็ด ประตูหน้าคงเปิดน่ะ เดินไปเรื่อยๆ สรุปเดินไปทะลุที่โรงเรียนเตรียมฯ แล้วเดินกลับมา ดีนะที่โรงเรียนเตรียมเขาให้เข้า ถ้ายามไล่คงต้องเดินไปสยาม วันนั้นถึงกับขาลากเลยเชียว ร้อนก็ร้อน รวมเวลาเดินตั้งแต่สำเพ็งยันรัฐศาสตร์ ประมาณ 4 ชั่วโมงได้ -_-"

วันอาทิตย์ ตื่นมาตอน 7 โมง ออกจากบ้าน 8 โมง กะว่าให้ไปถึงโน่นสัก 8:30 เผื่อว่ามีอะไร เช่น หาห้องไม่เจอ ก่อนออกจากบ้านพ่อถามว่าที่สอบไกลจากรถไฟฟ้าเยอะไหม (ประมาณว่าไปส่งเอาไหม) ด้วยความรักโลก ก็เลยบอกไปว่าไม่ไกลค่ะ(ความจริงก็ไม่ไกลมาก แต่ก็ไม่ใกล้นะ) จะได้ไม่ต้องขับรถออกไปเปลืองน้ำมัน พอเดินไปถึงรถไฟฟ้าใต้ดินอุ๊ก็โทรมา บอกว่าไปด้วย~~ ไปไม่เป็น ถ้าเราให้พ่อไปส่งคงอดแล้วนะอุ๊

ไปถึงก็ชี้ตึกเศรษฐศาสตร์ให้อุ๊ดูประหนึ่งว่าเป็นเด็กจุฬา (ความจริงคือเห็นตอนที่มาสำรวจตอนวันเสาร์) แล้วก็ไปถึงตึกตรวจสอบชื่อก็เห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเยอะ(ไล่อุ๊ไปดูห้องสอบแล้วเลยอยู่คนเดียว) ก็เลยไปนั่งเอาหนังสือ "เที่ยวไม่ง้อทัวร์ ตีตั๋วตะลุยญี่ปุ่น3" ขึ้นมาอ่าน ใครเห็นคงสงสัยว่ายัยนี่มันมาสอบหรือมาทำอะไรกันแน่ ~ก็หนูไม่รู้จะอ่านอะไรแล้วนี่นา~ ทำข้อสอบก็นับว่าทำได้ ออกมาลัลลา (โดนพี่เต่าบอกว่ายิ้มแป้นมาเชียว) พี่เต่าก็เลยบอกว่าถ้าได้เกิน 400 เลี้ยงข้าวพี่ด้วย แต่ถ้าได้น้อยกว่า 400 ต้องเลี้ยงข้าวพี่ เอาเลย ได้เสีย ได้เสีย

วันนี้คะแนนก็ออกมาแล้ว ได้กินฟรี ฮิ้ว~~~ ไม่ต้องเสียใจแทนว่าคะแนนน้อย คะแนนไม่น้อยหรอกนะ(คนอ่านคงหมันไส้แล้ว) แต่ดวงมันจะได้กินฟรีน่ะ ถ้าตอบถูกอีกข้อคงเสียดายตังค์

ว่าแล้วก็โทรหาน้องสาวที่นัดกันออกมา แล้วก็ไปกินข้าวกันที่ pepper lunch กับพี่เต่าและอุ๊ ความจริงเจอพวกวัดที่จะไปกิน Fuji กันด้วย แต่ด้วยความไม่ชอบส่วนตัว ขอไม่กิน Fuji แล้วกันนะ pepper lunch ก็อร่อยเท่ากับที่คาดไว้(ไม่ได้คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว) แต่เห็นมันแปลกดีก็เลยลองเข้าไปกิน

บอกอุ๊ว่าจะไปดู Death Race (ในที่สุดมันก็เข้าเรื่องหนังสักที) แต่อุ๊บอกว่าจะไปดู Maid of honor ก็เลยบอกไปว่ามันยังไม่เข้าไม่ใช่เหรอ ตอนนี้มีแต่รอบพิเศษที่ฉายล่วงหน้า(ทำเหมือนเป็น box office) สรุปแล้วก็จริงๆ มีแต่รอบหลัง 2 ทุ่ม ดังนั้นทุกคนก็เลยไปดู Death Race กันแทน มีพี่ใหม่มาอีก 1 คนเป็น 5 คน

ใครชอบดูหนัง action เอามัน ก็รีบไปดูเลยเรื่องนี้ ฉากค่อนข้างโหดเอาการอยู่ แต่เป็นความโหดประเภท ชนกระเด็น ระเบิดกระจาย ถูกทับทีเดียวแหลก ไม่ใช่ประเภทค่อยๆ ตัดนิ้วออกไปทีละนิ้ว ดังนั้นคนขวัญอ่อนน่าจะดูได้

เรื่องย่อ : เรื่องนี้เกิดขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจอันล่มสลายของอเมริกา คนทำผิดเยอะจนรัฐบาลจัดการคุกไม่ไหว ต้องให้เอกชนมาดูแล และสิ่งที่เอกชนทำคือ เอานักโทษมาแข่งรถไป ฆ่ากันไป เพื่อให้คนเสียเงินดูการถ่ายทอดสด แล้วนักโทษจะได้อะไรหรือ?? ถ้าชนะ 5 ครั้ง ก็ออกจากคุกไปเลย พระเอกเป็นนักซิ่งเก่า แต่ทำผิดอะไรสักอย่างจนต้องติดคุก แต่พอออกมาก็ได้แต่งงานมีลูกมีความสุข วันนั้นโรงงานที่เขาทำงานอยู่ปิดตัวลง และพอกลับมาบ้านก็ต้องพบกับสิ่งไม่คาดฝัน มีใครบางคนบุกเข้ามาฆ่าภรรยาเขา และป้ายความผิดให้เขา เขาถูกส่งไปเข้าคุก และได้รับข้อเสนอให้แข่งรถแทนแฟรงค์(แฟรงเกนสไตน์) นักแข่งรถสวมหน้ากากที่เพิ่งตายไปเพราะรถคว่ำ แต่เนื่องด้วยแฟรงค์เป็นตัวเพิ่ม rating แม่สาวพัสดีคุมคุกจึงพยายามหาคนมาแทนแฟรงค์(ยังไงเขาก็สวมหน้ากากอยู่แล้วนี่) แฟรงค์ชนะไปแล้ว 4 ครั้ง ดังนั้นอีกครั้งเดียวพระเอกก็จะได้อิสรภาพ แต่มันคงไม่ง่ายนักเพราะถ้าแฟรงค์ชนะ หมายถึงเขาจะไม่ได้อยู่แข่งครั้งหน้า และหมายถึง rating จะตก และเขาเริ่มสงสัยแล้วว่าทำไมเขาถึงได้เข้ามาอยู่ในคุกพอดีในเวลาที่ต้องการตัวนักแข่งรถ

เนื้อเรื่องไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่ แต่ฉากแต่ละฉากสนุกสุดยอดจริงๆ ใครเคยเล่นเกมแข่งรถที่ต้องทำลายคู่ต่อสู้ไปด้วย เช่น ปาระเบิดใส่รถข้างหลัง หนังเรื่องนี้ประมาณนั้นเลย ดูไปบางทีก็รู้สึกเหมือนเกมนะ แต่ภาพโหดกว่าแค่นั้นเอง

ที่บอกว่าเนื้อเรื่องไม่มีสาระแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องห่วยๆ หรอกนะ แกนหลักของเรื่องก็สมเหตุสมผลและน่าติดตาม เพียงแต่มันไม่ได้มีบทซาบซึ้ง มีแฝงข้อคิดลึกทุกอณู และด้วยความเป็นเรื่องง่ายๆ ก็เลยไม่รู้ว่าจะเอาตรงไหนมาไม่สมเหตุสมผล

สรุปความเห็น : ชอบมากเรื่องนี้ ดูแล้วระบายอารมณ์ดี

spoil : เป็นหนังดีเพราะจบ happy ending ด้วย ตัวร้ายตาย พระเอกอยู่มีความสุขกับลูก ดูแล้วไม่จิตตก ^_^

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

WALL-E

ไปดู WALL-E มาแล้ว(ความจริงต้องบอกว่าดูมานานแล้ว)

เป็นหนังการ์ตูนที่ดีเชียวล่ะ แต่ไม่รู้ทำไมออกมาแล้วไม่รู้สึกว่า กรี๊ดๆ สนุกจังเลยก็ไม่รู้ - -"

แล้วก็ไม่เกิดอาการ Disney Mania แม้แต่นิดเดียว

ครึ่งชั่วโมงแรกจะหลับด้วย ซึ่งสำหรับเราแล้วการดูหนังแล้วจะหลับเนี่ยโอกาสเกิดน้อยมากๆ ครั้งเดียวที่เคยง่วง(แล้วแอบสัปหงกไปนิดนึง) คือตอนที่ดู Nemo (เป็นอะไรกับ Pixar เนี่ยฉัน) แต่ว่าตอนนั้นที่หลับเพราะว่าเป็นการไปดูหนังหลังสอบเสร็จ ซึ่งช่วงสอบนี่นอนน้อยมากๆๆ คืนก่อนวันที่ไปดูนอนไม่ถึง 3 ชม. เลยมั้ง แต่พอสอบเสร็จยัยนี่ก็กระแดะไปกินข้าว ดูหนัง ไม่กลับไปนอน

กลับบ้านมาก็เลยมาวิเคราะห์ว่าทำไมถึงไม่ประทับใจนะ?? และก็ได้เหตุผลหลักออกมา 3 ข้อ

หมายเหตุ ใครดูหนังเรื่องนี้แล้วชอบมาก หรือว่าอยากไปดูหนังเรื่องนี้ให้สนุกก็อย่าอ่านเลยนะคะ จะอารมณ์เสียเปล่าๆ

1. ฉากตอนต้นๆ พี่ Pixar แกเล่นเอามาทำ trailer หมดแล้วความน่ารักหน้าหยิกของ WALL-E ก็ดูมันทุกรอบในโรงก่อนหนังฉาย ก็เลยเกิดอาการเอียนเข้าให้ (ส่วนหลังๆ จะเป็นตอนที่ไม่มีใน trailer ก็เลยสนุกขึ้นมา)

2. เพราะทุกคนบอกว่ามันดี เลยค่อนข้างจะคาดหวังสูงเกินไป ทั้งๆที่ปกติดูหนังจะพยายามไม่คาดหวังหรือตัดสินตัวหนังก่อน แต่เรื่องนี้คิดไว้ว่าจะต้องดีฉากน่ารักๆ ขำๆ ตลอดเรื่อง แต่ว่าดันไม่ค่อยขำ(ขำบ้างแต่ไม่มาก) หรือว่าเพราะเราเส้นลึกเนี่ย

3. ดันไปดูช่วงจิตตกพอดี กะว่าจะไปดูการ์ตูนให้จิตใจชุ่มชึ่นสักหน่อย แต่ว่าหนังกลับไม่ค่อยจรรโลงใจ ถึงดูฉากหน้าจะน่ารัก แต่ทั้งเรื่องเจ้า WALL-E จะทำตาตก ดูเหงา เศร้าตลอดเรื่อง ส่วน EVE ก็ออกจะจริงจังกับหน้าที่อย่างเดียว หุ่นทั้งหลายดูขำ แต่ความจริงเขาก็เป็นแค่หุ่นที่พังแล้ว และสรุปถึงจะจบแบบ happy ending มันก็ดูเวอร์เกินไปยังไงไม่รู้ ขยะก็ยังเต็มเมือง แล้วจะเอาที่ไหนไปเพาะปลูก แล้วคนเราจะทำอะไรเป็นหลังจากอยู่กับวัฒนธรรมนอนอืดกันมา 700 ปี (พอจิตตกเลยคิดอะไรด้านลบมาซะเยอะเลย)

สรุปแล้วหนังเขาดี มีข้อคิด แต่ไม่ใช่แนวที่ชอบ ดูแล้วไม่ค่อยลื่นไหลเลย มันรู้สึกสะดุดๆ สงสัยว่าอีตานั่นเอาทุกคนขึ้นยานไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา เขาจะจ่ายตังค์ให้เหรอ แล้วทุกคนมีตังค์หรือไง หรือว่าทำเพื่อปกปิดเรื่องที่ตัวเองทำให้โลกเต็มไปด้วยมลพิษ

แต่ที่ดูไปแล้วขัดใจสุดๆคือแล้วเขาเอาอะไรมาเลี้ยงคนทั้งยาน ขยะก็ทิ้งไปเรื่อยแล้วมันผลิตมาจากไหน(ดูทั้งยานทุกคนจะนอนอืดกันหมด) และจนสุดท้ายแล้วถึงจะบอกว่าหนังเรื่องนี้บอกเราว่าถ้าเรายังไม่ดูแลรักษาโลก โลกจะอยู่ไม่ได้อีกต่อไป แต่ถึงอย่างไรเราก็หนีไปบนยานนอนอืดสบายใจ แล้วก็ค่อยกลับมาทำลายโลกใหม่ตอนที่โลกรักษาตัวเองแล้วก็ได้นี่

ดูไปก็พยายามบอกตัวเองว่ามันเป็นการ์ตูนอย่าไปคิดลึก แต่ถ้าคิดแบบเด็กเนี่ย บางจุดถ้าเป็นเด็กดูเขาจะเข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อไหมนะ เหมือนบางฉากก็มีข้อคิดแฝงอยู่ลึกๆ (หรือเด็กสมัยนี้เขาฉลาดกันนะ)

สรุปว่ายังไม่ได้ชมเลยนะเนี่ย ก็มันไม่ spark นี่นา ความจริงบางฉากชอบก็มีนะ แล้วก็มีส่วนที่อยากบ่นมากกว่านี้ด้วย แต่ง่วงนอนแล้วน่ะ ขอไปนอนก่อนนะจ๊ะ บายๆ

ปล.เมื่อวานไปดู Death Race มา บู๊กันมันส์มากๆ ไว้จะมาเขียนวันหลังนะ

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

The Strangers : ฆาตรกรโรคจิต ปะทะ ผีโรงหนัง

ต่อจากตอนที่แล้ว

ตอนบ่ายก็เดินไป central world เพราะที่นั่นมีรอบเร็วที่สุดในละแวกนั้นตอน 4 โมง พอไปถึงที่จองตั๋วเท่านั้นแหละ วันนี้มันเทศกาลดูหนังฟรีหรือไง ทำไมคนเยอะอย่างนี้ เข้าไปต่อคิวได้พักนึงก็หันไปดู แถวเริ่มยาวออกไปเรื่อยๆ แต่พนักงานเขาก็บริการเร็วมาก อาจเป็นเพราะช่องขายตั๋วเปิดทุกช่องด้วย ก็เลยทำให้ไม่นานก็ได้จองตั๋วแล้ว

พอจะมาเอา magnet โอ้ มีคิวด้วย ยาวอีกต่างหาก(ไม่เคยเจอ) ไว้มาเอาทีหลังก็ได้ ก็เลยไปนั่งเล่นใน TK park ซะหน่อย พอได้เวลาก็ออกมาดูหนัง

ตอนจองก็เห็นยังไม่ค่อยมีคนและคิดว่าคงไม่มีคนเท่าไหร่ เพราะเป็นหนังเล็ก รอบก็น้อยแล้ว(แปลว่าคนดูน้อยเลยโดนถอดออก) ก็เลยจองตรงกลาง ตรงทางเดิน ที่ไหนได้ คนค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว คงจะเพราะรอบน้อย คนเลยต้องมาแออัดในรอบเดียวกันหมด

กำลังดูตัวอย่างหนังอยู่ ก็เจอดีเลย ผีกระซิบ ไม่รู้คุยอะไรกันนัก ถ้าอยากคุยกันไม่ออกไปนั่งกินข้าวฟะ (ได้แต่ภาวนาว่าพอหนังเริ่มขอให้หยุดคุยเถอะ) ยังดีที่ผีกระซิบไม่ใช่ผีแท้ เพราะว่าพอหนังเริ่มก็ไม่มีการคุยกันแล้ว(หรือว่ามีผีตัวอื่นที่น่ากลัวว่ามาบดบังก็ไม่รู้) สักพักต่อมาก็มีตัวหนังสือให้ยืนตรงขึ้นแล้วก็ได้ยินเสียง มือถือดัง!! เมื่อกี๊ก็มีโฆษณา DTAC ให้ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดแล้วไม่ใช่เหรอคะ?? อย่าน้อยดังตอนนี้ก็ดีกว่าดังตอนดูหนังแหละน่าคิดในแง่ดี แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ความน่ากลัวเพิ่งจะเริ่มต้น หนังเริ่มไปได้สักพัก ผีมือถืออีกตัวโผล่มาจากเก้าอี้ข้างๆเลยครับ รับสายแล้วฟังเขาพูดอีกต่างหาก - -" จะบ้าตาย หันไปทำตาเขียวทีนึง แต่น้องเขาคงไม่รู้สึก ระหว่างที่คิดว่าควรจะบอกเขาให้วางสายดีหรือเปล่า เขาก็วางพอดี เฮ้อ!!

หลังจากนั้นผีมือถือตัวแรก(เหมือนจะนั่งด้านหลังซ้าย) ก็แผลงฤทธิ์อีกรอบ ไม่รู้ว่าฉันหูดีหรือว่าโทรศัพท์เป็นรุ่นบ่อเกิดแผ่นดินไหว ได้ยินเสียงสั่นดังมาเลย แล้วเขาก็รับขึ้นมาบอกว่าดูหนังอยู่แล้วก็วางไป ไม่นานนักหนังเริ่มตื่นเต้นขึ้น ผีตัวใหม่ก็ออกอาละวาด ได้ยินเสียงลอยมาจากที่ไหนไม่รู้ "กลัวเหรอ"(เสียงผู้ชาย) "ไม่ได้กลัวแค่ตกใจ"(เสียงหญิงสาว) นั่นไง ผีคู่รัก - -"

อีกไม่นานนัก ผืมือถือข้างๆ ที่คิดว่าตายไปแล้วก็ฟื้นคืนชีพมา แต่คราวนี้รับแล้วบอกว่าอยู่ในโรงแล้ววางทันที แต่อีผีปลายสายนี่สิ จะโทรมาอีกรอบทำม้ายยยยยยยยยยยย น้องเขาก็ไม่รับแต่ก็ไม่ได้ปิดกระเป๋าให้เรียบร้อย มันก็กระพริบๆ เหมือนผีกระสือ ให้แยงตาเล่น ถ้าใจกล้าพอจะหันไปบอกว่ากดทิ้งให้ไหมคะ? แต่ว่าไม่กล้า ก็เลยได้แต่ทำใจแล้วก็ตั้งใจจดจ่อกับหนังต่อ (สักพักมันก็หายไปเอง)

ยิ่งดูตอนจบหนังยิ่งตื่นเต้น กดดัน เครียด ก็เลยเจอผีกระตุก - -" ทุกครั้งที่มีฉากตกใจจะต้องมาถีบเก้าอี้ด้วย บางทีก็ผสมเสียงกรี๊ด (และผีสาวคู่รักก็ผสมโรงกรี๊ดมาด้วย) กลัวเสียงกับภาพในจอจะทำให้ฉันตกใจไม่พอหรือไง ต้องเพิ่ม effect เก้าอี้กระตุก กับ sound จากด้านหลังเพิ่มด้วย

อย่าคิดว่าความน่ากลัวมีเท่านี้ ความน่ากลัวที่สุดยอดคือ ถึงจุดไคล์แมกซ์ของเรื่อง คุณผีสาวคู่รักก็อาละวาดหนัก ได้ยินเสียงว่า "เครียดอ่ะ" มาเป็นระยะ บางทีก็ได้ยินคู่ของเธอตอบบ้าง แล้วมีฉากหนึ่งที่คนร้ายโผล่มา(โผล่แบบไม่ตกใจ เพราะถ้ามาแบบตกใจเธอจะกรี๊ด) เธอก็พากษ์เองซะงั้น "แฮ่~~" (หรือคำอื่นไม่รู้แต่ให้อารมณ์ประมาณนี้แหละ) ใจนึกก็ขำ ใจนึงก็เครียดเนื้อเรื่อง อีกใจนึงก็เครียดคุณเธอ อยากดูหนังเงียบๆ บ้างงงงงงงงงงงงงงงงงงง T_T ถ้าอยากคลายเครียดนักก็ไปดู Mummy เซ่ หรือกลับบ้านไปดูการ์ตูนก็ได้ รู้ว่ากลัวแล้วยังจะดู คุณแฟนหนุ่มก็พาเข้ามาดูได้ ทีหน้าทีหลังเช่าไปดูกันสองคนที่บ้านนะ

โวยวายพอให้หายเซ็ง อยากหันไปบอกให้เงียบๆ อยู่เหมือนกัน แต่ว่าได้ยินแต่เสียงลอยมาจากข้างหลัง เดี๋ยวบอกผิดคนไปจะซวย แถมหันหลังไปลำบากอีก แล้วถ้าหันไปจะรบกวนคนอื่นไหมเนี่ย ว่าแล้วก็เลยทนต่อไปจนจบเรื่อง

สรุปจนป่านนี้ยังไม่มีเรื่องเกี่ยวกับหนังเลยต่อไปจะเป็นเรื่องหนังโรคจิตเรื่องนี้แล้ว

ใครได้ดูตัวอย่างมาแล้วคงจะพอรู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร และตัวหนังเต็มๆ ก็ไม่ได้มีเนื้อเรื่องอะไรมากไปกว่านั้นหรอก เปิดเริ่องมาด้วยคำบรรยายว่า เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง ประมาณว่ามีคดีฆ่าโหดคดีหนึ่งพบชายหญิงตายอยู่ในบ้าน และไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ทำอย่างไร และเพื่ออะไร คุณคนเขียนบทก็เลยแต่งเองซะเลย(เหมือนหนัง spoil หนังตัวเองซะงั้น)

ช่วงแรกของหนังค่อนข้างน่าเบื่อ เป็นการปูพื้นว่าสองคนนี้เป็นใครมาอย่างไรถึงมาอยู่ที่บ้านนี้ได้ ซึ่งเหตุผลก็พื้นๆ (ไม่ต้องหาสาเหตุก็ได้นะ) สักพักหนึ่งก็เริ่มกระตุกต่อมเสียวเล็กน้อย (แต่ยังดำเนินเรื่องเนือยๆ อยู่) ก่อนจะกระชากอารมณ์ขึ้น แล้วหย่อนลงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พาลากขึ้นไปเรื่อยๆ แบบไม่ให้หายใจกันเลย จนจบ

หนังดีไม่ดี ดูไม่รู้ รู้แต่ว่าบีบหัวใจมากๆ เครียดมากๆ หนังที่เครียดแบบนี้เรื่องล่าสุดที่ดูคือ house of wax หนังไม่มีเหตุผล ดูเสร็จยังไม่รู้เลยว่ามันฆ่าทำไม หรือทำไมก่อนฆ่าต้องทำแบบนั้นด้วย หรือจะเป็นเหตุผลอย่างที่บอก "เพราะคุณอยู่บ้าน" ใครชอบหนังโรคจิตแนะนำให้ไปดู แต่ถ้าใครขวัญอ่อนอย่าเข้าไปดูเชียว เดี๋ยวจะเป็นเหมือนคุณผีสาวคู่รักคนนั้น

ข้างล่างนี้ออกจะ spoil เล็กๆ

  • ถึงหนังตอนแรกจะบอกว่ามาจากคดีจริง ซึ่งทำให้รู้เลยว่ายังไงก็ไม่รอด(ไม่งั้นจะเป็นคดีได้ไงล่ะ) แต่เรื่องก็ยังสนุกสนานเร้าใจอยู่ได้ ความจริงคือแอบลุ้นว่าศพที่พบจะเป็นผู้ร้าย(แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก)
  • แค่ตอนแรกที่มาเคาะประตูถามว่า .....(จำชื่อไม่ได้แล้ว)อยู่ไหม? หลายๆ รอบ ก็หลอนจะแย่แล้ว ยังไม่ต้องตามไล่ฆ่าหรอก
  • ตกลงว่าพวกนี้เขาเป็นผีหรือเป็นคนก็ไม่รู้ อยู่ๆ ก็เข้ามาให้บ้านคนอื่นได้เฉยเลย แถมวูบไปวูบมาเหมือนผีอีกด้วย
  • มีอยู่ตอนนึงพระเอกนางเอกกำลังซุ่มดักยิงหัวผู้ร้ายอยู่ในห้อง(เล็งปืนไปที่ประตู) เพื่อนพระเอกขับรถมา เห็นบ้านแปลกๆ รถพระเอกโดนทุบ แทนที่จะรีบแจ้งตำรวจ ดันเดินเข้าไปในบ้าน โดยหยิบขวานที่คนร้ายทิ้งไว้ติดมือไปด้วย เดินเข้าไปแบบเงียบๆ อีกต่างหาก(หรือส่งเสียงแล้วเพลงกลบก็ไม่รู้) และแล้วก็เป็นไปตามบท โดนยิงตายไปตามระเบียบ แล้วก็มีเสียงลอยมาว่า "ยิงเพื่อนตัวเองอ่ะ~~" (คาดว่าเป็นเสียงสาวคู่รัก)อยากจะหันไปบอกว่ารู้ว่ามันต้องโดยยิง ตั้งแต่มันหยิบขวานแล้วเฟ้ย
  • ตะเกียกตะกายไปมาสุดท้ายก็ไม่รอดอยู่ดี ตอนจบยังอุตส่าห์มีฉากให้ตกใจทิ้งท้ายอีกฉากหนึ่ง

สรุป ว่าหนังบีบหัวใจดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าวันนั้นตัดสินใจไปดู Lido แทน central world (รออีกครึ่งชั่วโมงเอง) เลือกโรงผิด คิดจนหนังจบ

เซ็ง

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Mummy III และยามเช้าที่มึนๆ

เมื่อวันเสาร์ไปดู Mummy มา

เริ่มจากวันศุกร์ น้องสาวก็ชวนว่าตอนเช้าไปวิ่งที่สวนลุมกัน พร้อมกับบอกให้ปลุกด้วย(ปกติคนชวนต้องเป็นคนปลุกไม่ใช่เหรอฟะ) ก็เลยตั้งโทรศัพท์ปลุกไว้ตอนตีห้าครึ่ง ตื่นมาฝนยังไม่หยุดตกเลย(เห็นตกตั้งแต่ก่อนนอน) ไปยืนตรงหน้าต่างอยู่นาน พิจารณาว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงฝนที่ตกอยู่ หรือเป็นฝนที่ค้างอยู่ตามหลังคาบ้าน แล้วก็ตัดสินใจได้ว่าเสียงมันสม่ำเสมอ และถี่ ดังนั้นฝนคงตกอยู่นั่นแหละ (ความจริงก็ผสมความง่วงด้วย) แล้วก็เลยกลับไปนอน พร้อมตั้งโทรศัทพ์ใหม่ให้ปลุกเพื่อไปดูหนัง

ความจริงตอนยืนพิจารณาอยู่แทบอยากไปปลุกให้น้องมาร่วมพิจารณาด้วย ให้ตูตื่นอยู่คนเดียวได้ไง นอนขาดตอน T_T แต่ก็สำเหนียกได้ว่าการปลุกมันจะเปลืองพลังงานมากกว่าเดิมอีก ก็เลยปลงแล้วไปนอนซะ

และแล้วก็ตื่นอีกรอบเพื่อไปดู Mummy รอบ 10:30 เอาฝาโค้ก 1 ฝา ลดได้ 10 บาทต่อที่นั่ง(วันพฤ.-อา. ลดได้สูงสุด 4 ฝา วันจ.-พ.ลดได้สูงสุด 2 ฝา) วันนี้ก็เลยได้ดูหนังในราคา 80 บาท จะหาอะไรกินสักหน่อยร้านรวงก็ยังไม่เปิด ก็เลยไปซื้อ popcorn กินในโรงแทน

มาว่ากันถึง mummy ดีกว่า หนังเรื่องนี้ได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่ดีนัก จะบอกว่าสนุกจังควรไปดูก็ไม่ใช่ แต่มันก็สนุกเท่าความคาดหมายล่ะนะ ยกเว้นเล่นมุขเยอะ จนจะกลายเป็นหนัง action comedy แล้ว

หนังค่อนข้างเหตุผลอ่อนไปบ้าง เช่น ไม่รู้ว่าแม่นางจะเฝ้าสุสานไปทำไมเป็นร้อยเป็นพันปี ถ้ามีมีดที่จิ้มแล้วตายอยู่ ทำไมไม่เอามีดจิ้มให้ตายไปซะเลย (หรือว่าต้องให้ฟื้นคืนชีพก่อนถึงจะจิ้มได้) หรือว่าอีตามัมมี่ฮ่องเต้ที่เก่งเวอร์ซะขนาดนั้น ทำไมดันสู้แพ้พระเอกได้ ความจริงก็ทุบเข้าให้หัวแบะ หรือว่าพ่นไฟให้ไหม้ตายไปแต่แรกก็จบแล้ว

และสงสัยว่ากองทัพฮ่องเต้ตายง่ายเหลือเกิน เคาะทีก็แตกแล้ว แต่ว่ากองทัพผีดิบใต้กำแพงเมืองจีนกลับฆ่าไม่ตาย เอาตัวมาต่อกันใหม่ได้ (สงสัยกลัวฝั่งพระเอกเสียเปรียบเกินไป) อีกเรื่องคือสงสัยว่าตอนแรกที่ขุดสุสานมันถูกฝังอยู่ใต้ทราย แต่พอเข้าไปเจอศพคุณนักสำรวจคนก่อนหน้าซะงั้น สงสัยพี่แกจะมีวิชาดำดิน หรือไม่ก็ใช้ประตูวิเศษของโดเรม่อนเปิดเข้าไป หรือความจริงมันมีปุ่มลับที่พอกดแล้วทรายมันจะหายไป แต่อเล็กซ์ดันใช้วิธีถึกไปขุดมันเอง(ไม่ใช่ Indiana Jones นะเฟ้ย)

สรุป หนังสนุกดีไม่น่าเบื่อ แต่ถ้าหวังสูงไปจะตกลงมาเจ็บได้นะ ถ้าไม่ได้ดูภาคก่อนๆมา อาจจะตามบางมุขไม่ทัน หรือไม่ได้อารมณ์ขำเท่าที่ควร (แต่ก็พอถูไถเดาๆ ไปได้) พอจะดูฆ่าเวลาได้โดยที่ทุกคนไม่บ่นอุบอิบหลังออกจากโรงล่ะนะ

หลังดูเสร็จเราก็ไปกินข้าว แล้วเดินลงมาฝากเงิน ไปกดตังค์ออกมาก่อนนับๆ แล้วก็กดออกมา 13000 เสร็จแล้วก็ไปเขียนใบฝาก ดันเขียนผิดซะนี่ ติ๊กช่องชนิดบัญชีผิด เลยต้องเขียนใบใหม่(ทำให้โลกร้อน - -" ) หลังจากนั้น ก็เลยเอาไปฝาก จะฝาก 3 บัญชี 5000, 5000, 3000 พอยื่นไปปั๊บ พนักงานนับแล้วบอกว่า ฝาก 15000 แต่นี่ให้มา 13000 เอง เอ๊ะ! ยังไง พอมองลงไปถึงรู้ ตูเขียนตัวหนังสือ สามพันบาท แต่ดันเขียนเลข 5000 เป็นความก๊ง ครั้งที่ 2 ต้องเอามาแก้ไขใหม่ ตอนรอเขา key อยู่ก็คิดๆ เอ๊ะ เมื่อกี๊เรากะฝากเงิน แล้วต้องถอนไปให้ป่าป๊าอีก 3000 นี่นา เมื่อกี๊บวกไว้แล้ว แล้วทำไมมันดันฝากไปหมดเลยล่ะ ก็เลยลองบวกใหม่ มันต้องได้ 16000 นี่หว่า ไม่ใช่ว่าเมื่อกี๊ลืมบวกด้วย ก็คิดไว้ก่อนแล้วนะว่าต้องถอนไปทำอะไรบ้าง รวมวันนั้นก๊งไป 3 รอบ

แล้วหลังจากนั้นก็หนีไปดู the strangers มา(ต้องมี s ด้วยเพราะมีหลายคน) ไว้ต่อ entry หน้าแล้วกัน

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ดิ่งทะลุสะดือโลก : Journey to the center of the earth

ชอบชื่อภาษาไทยเรื่องนี้จริงๆ เลย มันขำดี

เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ดูตัวอย่างหนังแล้วคิดว่ามันเป็นอย่างไร มันก็เป็นอย่างนั้นน่ะแหละ แต่ถ้าคิดจะดู แนะนำให้ไปดู 3D จะดีกว่า (ที่ SF ฝาแฟนต้า 5 ฝาลดได้ 50 บาท) เพราะว่ามีหลายๆ ฉากที่รู้สึกว่าคุณคนสร้างเขาทำมาเพื่อให้เป็น 3D ชัดๆ เลยนะเนี่ย ตอนดูไปก็คิดว่าถ้าไม่ได้ดู 3D ฉากนี้มันจะเป็นยังไงนะ คงตลกน่าดู เช่นฉากที่เอาสายวัด(แบบตลับ)ชี้มาทางผู้ชมซะดื้อๆ

เนื้อเรื่องเกี่ยวกับพระเอกที่พี่ชาย(สุดเก่ง) หายสาบสูญไป และวันหนึ่งเขาก็ได้พบหนังสือของพี่ชาย(หนังสือชื่อ Journey to the center of the earth น่ะแหละ) พี่ชายเขาเป็นพวกเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้สามารถเป็นความจริงได้ แล้วก็ปีนเขาแล้วหายไป แน่นอนว่าอีตาพระเอก(และหลานชายที่มาอยู่ด้วยตอนนั้นพอดี) ก็ออกสำรวจภูเขา พร้อมกับไกด์สาว และทั้ง 3 ก็บังเอิญตกลงไปทะลุสะดือโลก ซึ่งเรื่องในหนังสือก็เป็นความจริงซะด้วย พี่ชายของเขาซี้แหงแก๋ไปแล้ว และพวกเขาเหลือเวลาอีกเพียงน้อยนิดที่ลาวาจะทำให้โลกใจกลางโลกร้อนขึ้นจนอยู่ไม่ได้

ถ้าไม่ใช่ 3D ความสนุกคงจะลดไปครึ่งนึงเลยล่ะ แต่ถ้าชอบดูหนังประเภทเพ้อไปเรื่อยๆ ก็คงนับว่าสนุกได้ หนังมีเรื่องให้ติดตามเรื่อยๆ ฉากตื่นเต้นแทรกเป็นระยะ แต่ว่ายังไม่มี ไคล์แมกซ์ เหมือนกับฉากต่างๆ มันตื่นเต้นเท่าๆ กันหมด แม้แต่ฉากก่อนที่จะหลุดออกมาจากใต้โลก ก็ตื่นเต้นนะ แต่ไม่มาก ก็เดาตอนจบได้นี่นา

แต่ถ้าใครดู 3D เตรียมเวียนหัวปวดตาไว้เลย สำหรับเราเวียนหัวไม่ค่อยรู้สึก แต่ปวดตามากเลย อาจจะเพราะใส่แว่นทับแว่นสายตาด้วย แล้วเจ้าแว่น 3D นี่มันก็จะหล่นลงมาอยู่ได้ ถ้าเอาใส่เข้าไปเฉยๆ มันจะค้างอยู่ตรงส่วนกลางๆ ของจมูก(เพราะแว่นสายตากันไว้) น่ารำคาญมากเลย ใครได้ไปออกแบบแว่น 3D ช่วยทำที่เกี่ยวแว่น 3D เข้ากับแว่นสายตาด้วยนะ

แต่ตอนกลางเรื่องขยับแว่นอีท่าไหนไม่รู้มันเกาะอยู่กับแว่นสายตาได้ด้วย lol แต่พอใกล้จบเรื่องก็ตกลงมาใหม่ ต้องพยายามอยู่นานกว่าจะเอามันกลับไปเกาะไว้ทีเดืมได้

จบแล้ว วันนี้เขียนไม่ค่อยยาววุ้ย (นี่ยังไม่ยาวอีกเหรอยะ)

วันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

The dark Knight : The dark night

ช่วงนี้รู้สึกหนังเริ่มกลับมาแล้ว หลังจากที่เมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน ดูเหมือนหนังจะน้อยๆ

คนอ่านอาจจะเถียง ว่าน้อยอะไร ตอนนี้ใครๆก็ว่าหนังเยอะ มีแต่หนังฟอร์มใหญ่ตบเท้ากันเข้าโรงมากมาย

ถ้าพูดกันในทำนองนั้นก็ใช่ แต่ที่บอกว่าหนังน้อยก็คือ หนังที่อยู่ในโรงมันน้อยเหลือเกิน คงเพราะหนังใหญ่มา หนังเล็กๆ ก็เลยหลบลี้หนีหน้ากันไปหมด ปกติดูรอบหนังที่ movieseer.com จะมี list หนังที่ฉายอยู่ตอนนี้ประมาณ 20 เรื่อง เมื่อสัปดาห์ที่ Hellboy กับ Hancock เข้าดูมันจะหดสั้นลงเหลือแค่สิบกว่าเรื่อง หนังที่หาญกล้าเข้าในช่วงนั้นก็มี Friendship กับ the happening (ฮะเก๋าก็นับว่าเข้าช่วงนี้ก็คงได้มั้ง)

มาพูดถึง batman กันดีกว่า หนังสนุกสมคำร่ำลือจริงๆ หนังเข้มข้นตลอด แต่ทำไมไม่ค่อยประทับใจก็ไม่รู้ - -" (แป่ว)

ไม่รู้ว่าเพราะช่วงนี้ดูหนังเยอะเกินไปหรือเปล่า แต่เท่าที่คิดๆดูมันคงจะไม่ใช่แนวซะมากกว่า

ตอนแรกที่ดูตัวอย่างหนัง ก็รู้สึกว่า ตัวอย่างหนังไม่บอกเลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร Joker ออกมาทำอะไร เรื่องจะไปในทิศทางไหน ความจริงไม่ได้อยากดูมากเท่าไหร่ แต่ด้วยแรง built จากคนรอบข้าง และใครๆก็ว่าหนังเรื่องนี้สนุก ก็เลยอยากดูขึ้นมา

หลังจากไปดูแล้วก็เข้าใจตัวอย่างหนังขึ้นมาทันที เพราะประเด็นใหญ่ของเรื่องไม่มีอะไรเลย ถ้าจะบอกว่า batman begin บอกว่าทำไมบรูซถึงมาเป็น batman ภาคนี้ก็บอกว่าทำไมบรูซถึงไม่สามารถเลิกเป็น batman ได้ Joker ไม่ได้ออกมาเพื่อปล้นธนาคาร ทำลายล้างโลก หรืออะไรทั้งนั้น เขาออกมาเพื่อเล่นกับ batman เป็นตัวร้ายที่โรคจิตจริงๆ(แค่นี้คงไม่ถือว่า spoil นะ) ดังนั้น main หลักของเรื่องคือการ "ไล่จับ Joker" แทบไม่มีการป้องกันเมือง ไม่มีฉากไคล์แมกซ์ แต่มีเรื่องให้ขบคิด และฉากสนุกๆเต็มเรื่องไปหมด

หนังเสนอประเด็นหลายอย่างมาก ความบ้าสติแตกของ joker ซึ่งเชื่อในความชั่วร้ายของมนุษย์ที่มีอยู่ในสันดาน ความดีที่ยังมีเหลืออยู่ในสังคม อัศวินรัตติกาลที่ปกปิดหน้าตา ต่อสู้กับเหล่าร้ายอย่างเงียบๆ และอัศวินแห่งแสงสว่างที่เปิดเผยตัวตนสู้กับผู้ร้ายโดยไม่เกรงกลัว ผู้ที่ผลักดันไปยังด้านมืด และความจริงที่ไม่สมควรถูกเปิดเผย

ถ้าจะวิเคราะห์ให้ลึกคงต้อง SPOIL นะ ดังนั้นต่อจากนี้จะ Spoil แล้ว

ด้านล่างนี้ออกจะเพ้อแบบเครียดๆ หน่อยนะ อ่านไปก็ทำใจไว้ด้วย

ความบ้าของ Joker : Joker เป็นตัวร้ายที่ออกมาด้วยความเพี้ยนเต็มพิกัด ใครเข้าใจว่าพี่แกต้องการอะไรบอกด้วยนะ เท่าที่ดูไปเข้าใจว่า Joker ต้องการแกล้ง batman เท่านั้นเอง ให้คนที่สนับสนุนเปลี่ยนมาต่อต้าน ให้คนที่ดีเปลี่ยนเป็นคนเลว

  • การกระทำบางอย่างของคนบางคนก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล เพียงแค่เขาอยากทำเท่านั้น

ความชั่วร้ายของคน ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ : เมื่อ Joker ออกมาบอกว่าเขาจะฆ่าต่อไปเรื่อยๆ จนกว่า batman จะออกมาเปิดเผยตัว ผู้คนก็อยากให้เขาออกมาสละตัวเอง โดยที่ไม่คิดถึงว่าก่อนหน้านี้ batman ได้ช่วยพวกเขาไว้ขนาดไหน เมื่อ Joker บอกให้ฆ่าคุณผู้ตรวจสอบบัญชี ไม่อย่างนั้นเขาจะระเบิดโรงพยาบาล ก็มีคนหมายจะฆ่าเขาหลายคน ตอนที่ Joker ขู่จะระเบิดเรือ คนส่วนใหญ่ก็ต้องการให้ระเบิดอีกลำเพื่อให้ตัวเองรอดไป

  • อะไรกันแน่คือสิ่งที่ถูก batman ควรจะออกมาเสียสละตัวเอง เปิดเผยตัว โดนจับ แล้วภาวนาว่า Joker จะไม่ทำอะไรผู้คนอีก หรือเขาควรจะปล่อยให้ Joker ฆ่าคนต่อไป และพยายามตามจับตัว Joker ภายใต้การสังเวยชีวิตของชาวเมือง ถ้า Joker เรียกร้องชีวิตของ batman ล่ะ การเสียสละชีวิตเพื่อหยุดการฆ่าครั้งนี้ ทำได้ ณ ตอนนี้ หรือการเสียสละชื่อเสียง เจ็บปวดกับการทำอะไรไม่ได้ ปล่อยให้มีการฆ่าต่อไปเรื่อยๆ เพื่อรอวันที่จะหยุดการฆ่าตลอดไป ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
  • ถ้าเราตกอยู่ในสถานะการณ์แบบชาวเมืองจะรู้สึกอย่างไร เราจะไม่โกรธแค้น batman ได้หรือไม่ เราจะคิดได้ไหมว่าดีแล้วที่เขาไม่ออกมาเปิดเผยตัว ทั้งๆที่ตัวเรา ครอบครัว เพื่อน เสี่ยงต่อการถูกฆ่าอยู่ทุกวัน? ถ้าการฆ่าคนๆ หนึ่งที่ไม่มีความผิด สามารถช่วยคนมากมายได้ เราควรจะฆ่าเขาหรือไม่? ไม่ว่าอย่างไรคนเราส่วนใหญ่ก็เห็นแก่ตัว ไม่ว่าจะเป็นเห็นแก่ตัวเอง ครอบครัวของตัวเอง เพื่อนของตัวเอง โรงเรียนของตัวเอง ประเทศของตัวเอง และโลกของตัวเอง
  • ผู้คนบอกว่าเรืออีกลำมีแต่พวกนักโทษ และพวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถ้าตกลงใจกดระเบิดเรืออีกลำไป พวกเขาจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันฆ่าผู้อื่นหรือเปล่า เป็นฆาตกรหรือไม่ การฆ่าคนเพื่อให้ตัวเองรอดต่างกับการฆ่าคนในสถานการณ์อื่นหรือไม่
  • สุดท้ายแล้ว ไม่มีใครกดระเบิด เพราะ คุณธรรม? หรือ เพราะไม่อยากให้ตัวเองเป็นฆาตกร? คุณธรรมคืออะไร ทั้งๆ ที่เสียงมากกว่าครึ่งบอกให้มีการกดระเบิด แต่ไม่มีใครสักคนกล้าทำ เพราะว่าการคิด หรือพูดว่าจะทำชั่ว มันง่ายกว่าการลงมือทำหรือเปล่า หรือว่าทุกคนก็แค่กลัว แค่เห็นแก่ตัว ไม่อยากจะรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต ไม่อยากจะถูกมองว่าเป็นฆาตกร บางครั้งคุณธรรมก็เกิดขึ้นจากความเห็นแก่ตัวได้เหมือนกันนะ เหมือนกฎทางสังคม ถ้าเราไม่ทำดีก็จะไม่มีใครรัก ถ้าเราทำชั่วก็จะถูกเกลียด

สิ่งดีๆ ที่ยังเหลืออยู่ในสังคม : เป็นฉากที่ชวนให้อิ่มใจที่สุดในเรื่อง กินเวลาไม่ถึง 3 วินาที่ ตอนที่ผู้ร้ายคนหนึ่งในเรือบรรทุกนักโทษ เดินมาหลอกเอาตัวจุดระเบิดไปจากผู้คุม แล้วทิ้งออกนอกหน้าต่างไป ไม่รู้ว่าเขาทำผิดอะไรมาถึงมาอยู่ในคุก แต่เขาก็รู้ว่าไม่ควรฆ่าผู้บริสุทธิ์ในเรืออีกลำเพื่อให้รอดชีวิต และทางเดียวที่จะตัดใจจากการกดระเบิดไปได้ ก็คือ ทิ้งมันซะเลย (ดูแล้วสะใจจริงๆ) ดูแล้วเขาเป็นคนดีกว่าพวกที่ไม่ใช่นักโทษ แต่พูดปาวๆ ให้กดระเบิดอีก T^T ซาบซึ้ง

ฮีโร่ในเงามืด ฮีโร่ในแสงสว่าง : บรูซออกมาเป็นฮีโร่ในเงามืด ปกปิดตัวเอง คอยปราบเหล่าร้าย แต่ทำไมเขาต้องปกปิดตัวเองล่ะ?? เพราะใส่หน้ากากแบทแมนมันเท่ห์กว่าน่ะสิ (อิอิ) ถ้าไม่นับเรื่องที่ต้องทำให้ตัวการ์ตูนเท่ห์ เพราะอะไรล่ะ เขาอยากปิดทองหลังพระ? เมืองกอธแธมมันเลวร้ายซะจนใช้วิธีตามกฏหมายจัดการไม่ได้? หรือว่าเขาเพียงไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวให้ตัวเขาและคนที่เขารักตกเป็นเป้าของผู้ร้าย ไม่ว่าจะเหตุผลใดดูเหมือนว่าแบทแมนจะรอให้ทุกคนได้รับแรงบันดาลใจจากเขา ลุกขึ้นต่อสู้กับความชั่วร้าย แต่ผลก็คือ มีคนออกมาเลียนแบบเขาเต็มไปหมด แล้วฮาร์วีย์ก็ออกมา เชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นแค่ฮีโร่ของชาวกอธแธม แต่เป็นฮีโร่ของบรูซด้วย แสงแห่งความหวังของกอธแธมถูกจุดขึ้น ถ้ามีคนๆหนึ่งออกมาเปิดเผยตัวสู้กับความชั่วร้าย คงจะไม่ยากที่คนอื่นๆ จะตามเขาไป และในที่สุดบรูซจะได้เลิกเป็นแบทแมนสักที

ฮีโร่ในเงามืดต้องเผชิญกับความไม่เชื่อใจ ไม่สามารถประกาศเจตนารมณ์ของเขาได้ ไม่สามารถบอกใครๆ ได้ว่าเขาทำอะไรอยู่ ไม่สามารถแก้ตัวได้เมื่อมีผู้สงสัยหรือใส่ร้าย แต่ฮีโร่ในแสงสว่างซึ่งทุกคนเห็นว่าเขาทำอะไรอยู่บ้าง และทุกคนก็รวมถึงเหล่าร้ายด้วย แน่นอนว่าเขาตกเป็นเป้าได้ง่ายๆ และแล้วแสงสว่างที่ถูกจุดขึ้นนั้นก็ต้องดับวูบลง เหลือเพียงความมืดของรัตติกาล

สู่ด้านมืด : เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ถ้ายิ่งจิตใจของคนเอนเอียงไปด้านหนึ่งมากเท่าไร ยิ่งเป็นการง่ายที่จะฉุดให้เขาไปสู่อีกด้านหนึ่งมากเท่านั้น ฮาร์วีย์เป็นตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้ จิตใจที่ดีของเขาเมื่อถูกสั่นคลอนด้วยการตายของคนที่รักที่สุด และบวกด้วยการผลักดันอีกเล็กน้อยของ Joker เขาก็ก้าวเข้าสู่ด้านมืดอย่างกู่ไม่กลับ ไม่แบ่งแยกว่าใครเป็นคนดี คนเลว ทั้งๆ ที่บรูซก็ได้สูญเสียคนที่เขารักที่สุดไปเช่นกัน แต่บรูซกลับยังทานทนอยู่ได้ เพราะ Joker ไม่ได้มาพูดกับเขา? เพราะเขายังเหลือเพื่อนพ้องอยู่? เพราะเขาเคยผ่านความเจ็บปวดเช่นนี้มาแล้ว? หรือเพียงแค่คนเราสามารถ"เลือก"ที่จะเป็นได้

ความจริงบางอย่างไม่ควรเปิดเผย : ตามหลักศาสนาพุทธกล่าวว่า ความจริงควรพูดเมื่อสมควรแก่โอกาส แต่ถ้าโอกาสนั้นไม่มาถึงล่ะ? คุณผู้ตรวจสอบบัญชีที่ทราบว่าแบทแมนเป็นใครควรจะเปิดเผยหรือไม่ การโกหกว่าฮาร์วีย์เป็นคนดีจนวาระสุดท้ายจะทำให้ชาวเมืองมีแรงบันดาลใจที่จะต่อสู้กับความชั่วร้ายจริงหรือ แม้แต่อัลเฟรดก็ยังตัดสินใจเก็บความจริงที่ว่าเรเชลจะไม่แต่งงานกับบรูซไว้กับตัวเองตลอดไป

สรุปดูเสร็จแล้วค่อนข้างจิตตก เพราะเนื้อหาอันเข้มข้น ซึ่งสะท้อนสังคมและความเป็นมนุษย์ ถึงแม้ Joker จะถูกจับแต่ Joker ก็ได้ดับแสงเล็กๆ แห่งความหวังของกอธแธมไปแล้ว สุดท้ายแล้ว batman ก็ยังต้องต่อสู้ต่อไปคนเดียว ทำให้รู้สึกว่าคนดีที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความถูกต้องเพียงลำพัง ก็โดนทำร้ายจนไปไม่รอดอยู่ดี

ปล. two face ออกมาไม่ทันไร ตายซะแล้ว(ตกลงเขาตายใช่ไหม) two face ในความทรงจำจะดูเท่ห์ๆ จะทำชั่วทำดีขึ้นกับเหรียญ ประมาณว่าตูจะทำชั่วหรือดีก็ได้ทั้งนั้น แต่ที่เรื่องดู two face ค่อนข้างเป็นพวกแค้นฝังหุ่นมากกว่า โยนเหรียญแล้วดีก็โยนอีก เหมือนพยายามจะแก้แค้นให้จงได้ซะมากกว่า

ปล2. ตอนเห็นฮาร์วีย์โยนเหรียญครั้งแรกก็รู้สึกเลยว่า ไอ้นี่ต้องกลายเป็น two face แหงๆ จริงๆ ซะด้วยสิ

ปล3. เรื่องที่เหรียญมีแต่หัว เคยอ่านมาจากหนังสือเล่มนึง ไม่รู้ใครได้รับแรงบันดาลใจมาจากใครนะ แต่ว่าชอบมากเลย "ผมเลือกชะตาชีวิตให้ตัวเอง" โยนเหรียญเพื่อให้คนอื่นยอมรับเท่านั้นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

หม่ำๆ เนื้อย่าง: Giant Yakiniku

วันนี้ได้ไปกินเนื้อย่างมา หลังจากที่ชวนเตื้อยไปเมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากไปเจอใน web ว่าร้านนี้อร่อยและบริการดี(ถึงจะมีคนบอกว่าช้าไปบ้าง แต่พนักงานก็ยิ้มแย้ม และเต็มใจให้บริการ) หลังจากเลื่อนไปเลื่อนมาอยู่พักหนึ่ง ก็มาตกลงกันได้ว่าเป็นวันพุธ

แต่ทว่าทำไมสรุปคนที่เราชวนหายไปหมดเลยเนี่ย T_T เริ่มจากเหมี่ยวบอกว่าติดธุระ น้องต้นบอกไม่ไป น้องแฮทตอนเช้าบอกจะไป แต่ตอนบ่ายดันมีเรื่องต้องไป clear ด่วน คนอื่นๆไม่ว่างบ้าง ไม่ไปบ้าง เตื้อยโทรไปชวนโบว์ก็ติดนัดกับคุณพ่อพอดี ทำไปทำมาก็เหลือแค่ 3 คน พี่เต่า เตื้อย ยู้ ไม่เป็นไร คนน้อย จะได้ย่างสุกเร็วๆ ไม่ต้องแย่งกันกิน

ว่าแล้วก็โทรไปจองร้าน คุณคนที่ร้านให้เบอร์จองมา แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวจะโทรมา confirm อีกที เพราะว่ามีคนมาเยอะ ขอไปจัดก่อน ประมาณ 5 นาที แต่ผ่านไปครึ่งชม.แล้ว ก็ไม่เห็นมีใครโทรกลับมา ด้วยความที่ติด case ก็เลยใช้พี่เต่าโทรกลับไป สรุปว่า confirm ได้ที่นั่ง เอ้า ลุย

เนื่องจากเราอยู่ไกลถึงศิริราช ก็เลยกะว่าจะออกสัก 5 โมง แต่ทว่า!!!! เมื่อไหร่ที่เราคิดจะออกเร็ว เมื่อนั้น case ด่วนจะเข้ามาเสมอ สรุปก็เลยนั่งแก้ case อยู่กับต้นจนถึง 5 โมงครึ่ง พอเสร็จก็รีบชิ่งออกมาโดยเร็ว

จากกฎของมัวร์(น้องชายของมั่ว) กล่าวไว้ว่า ความถี่ของสายรถเมล์ที่ต้องการนั่งจะแปรผกผันกับความรีบ และสายรถเมล์ที่ปกติจะขึ้น แต่วันนี้ไม่ต้องการขึ้นจะมามากเป็นพิเศษ - -" รอรถอยู่นานมาก ในที่สุดรถก็มา(กำลังคิดว่าถ้ายังไม่มาอีกจะไปอีกทางแล้วนะ) แล้วก็เจอกฏข้อที่ 1 ของการจราจร ทางที่ปกติไม่ค่อยติด เมื่อไหร่ที่รีบมันจะติดขึ้นมาทันที ปกติทางที่ไปนี่รถไม่ค่อยมี แต่ทำไมนะ วันนี้รถเยอะเหลือเกิน ติดมันทุกแยก (เศร้า T_T)

เตื้อยซึ่งวันนี้ไปเทรนที่ปิยะธนา ก็นั่งรออยู่ตรงนั้นแหละ(คงหิวแย่แล้ว) ในที่สุดก็มาเจอพี่เต่าจนได้ ตอนนั้นก็ 6:30 เลยมาแล้วด้วย กำลังจะโทรไปเลื่อน ทางร้านก็โทรมาพอดี๊พอดี จะเลื่อนเป็นทุ่มครึ่ง แต่เขาบอกว่าต้องเป็น 2 ทุ่มเลย ก็ได้ฟะ ยังไงก็ไปไม่ทันทุ่มอยู่แล้ว สงสารก็แต่เตื้อยนั่งรอนานคงจะหิว

หลังจากฟันฝ่ารถติดมา ก็เข้ามาถึงซอยแล้ว ขับตรงๆ ไปก็เห็นว่าน่าจะตึกนี้แหละ เข้าไปเลย แต่พอรับบัตรจอดรถมา ทำไมเป็น resort อะไรเนี่ย - -" เหมือนตึกมันชื่อ Fuji market อะไรสักอย่างนี่นา แต่ก็เข้ามาแล้ว แถวนั้นก็ไม่เห็นตึกอื่นแล้ว ก็เลยตกลงใจจอดซะ ถ้าผิดตึกค่อยเดินไปก็ได้น่า แต่ก็สรุปว่ามาถูกตึก โชคดีไป

ไปถึงร้านทุ่มครึ่งพอดี ก็เลยถามว่าเข้าไปเลยได้ไหม เขาก็บอกว่าให้รอแป๊บนึง และให้สั่งอาหารไว้ก่อนได้ ก็เลยซัด เนื้อไปอย่างละ 2 (เนื้อติดมัน เนื้อลาย เนื้อสันใน รวมเป็น 6), กุ้ง 2, ปลาแซลม่อน, เห็ดเออรินจิ พี่เต่าสั่งข้าวไป ไอ้เราก็กลัวกินไม่หมด ก็เลยยังไม่สั่งข้าว รออยู่ไม่นาน ก็ได้เข้าไปนั่งกินสบายใจ กินกัน 3 คนขอให้เขาเปิด 2 เตาเลย ย่างกุ้งเตานึง ย่างเนื้อเตานึง แล้วก็สรุปว่าสั่งข้าวมากินด้วย เพราะว่าเนื้อมันค่อนข้างเข้มข้น กินเปล่าๆ อาจจะเลี่ยนได้ ไอ้ที่กลัวว่าจะกินไม่หมด สรุปก็กินหมด (ถ้าใครเห็นเราลังเลว่าจะสั่งอะไรแล้วกลัวกินไม่หมดเนี่ย ให้บอกว่าเดี๋ยวช่วยกิน ถ้าเราตกลงสั่งมา เดี๋ยวก็กินหมดคนเดียวเอง - -" สรุปที่กลัวกินไม่หมดเนี่ย แค่กลัวตัดกำลัง หรือกลัวอิ่มเกินเหตุ)

กินแล้วอร่อยสุดๆ ตอนแรกกะว่าจะนับ กินไปกินมาลืมนับ รู้แต่กุ้งไม่ต่ำกว่า 5 จาน น่าจะเกิน 30 ตัว(กุ้งนี่ส่วนใหญ่เห็นเตื้อยกิน) เนื้ออีกอย่างน้อย 15 จาน ปลา 1 เห็ด 2 กินไปแอบคิดในใจว่าจะกินไก่ด้วย (เขาโฆษณาว่าเป็นเนื้อน่อง ไม่มีอก กินแล้วนิ่มแน่นอน) แต่พอเองเนื้ยเข้าปากอีกชิ้น ก็คิดว่า สั่งเนื้อดีกว่า

ตอนกินๆ ไปไฟดับ ก็เลยสงสัยเอ๊ะ! เขาจะไล่เราแล้วเหรอกินยังไม่อิ่มเลย T.T แล้วก็เห็นเทียนแว๊บๆ อ๋อ++ โต๊ะข้างๆ เขาเป่าเค้กวันเกิด สุขสันต์วันเกิดนะคะ ^_^

กินกันจนอิ่มแล้ว ก็กินของหวานกัน ไอซ์ เยลลี่ ซึ่งก็คือน้ำแข็งใสใส่เยลลี่ ราดน้ำแดง แต่ไม่มีนม รสชาติ ก็น้ำแดงน่ะแหละ(ชอบน้ำเขียวมากกว่า) พี่เต่ากับเตื้อยกินของหวานแล้ว แต่เราขอเนื้ออีกจานนะ แหะๆ แล้วก็ตบด้วยของหวานเหมือนกัน

สรุปราคาแล้ว 450 บาทถ้วน มีน้ำ refill ให้ด้วย อิ่มอร่อยมากค่ะ วันหลังอาจจะมีชวนไปกินอีก เขาบอกว่าถ้าจะไปวันศุกร์ให้จองล่วงหน้าสัก 2 วันนะคะ (งั้นคงไม่ไปวันศุกร์แล้วล่ะค่ะพี่)

ใครอยากอ่าน review หรือแผนที่ร้านลอง search ใน google หรือ google map ดูนะคะ หาไม่ยากหรอก

->> มาเพิ่ม link แผนที่ให้ค่ะ

วันนี้อิ่มแล้วก็ไปนอนก่อนล่ะ บ๊าย บาย

ปล. พิมพ์ไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่เพิ่งได้มา up ดังนั้นที่บอกว่าวันนี้ก็คือเมื่อวานนะ

วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

หนีเที่ยวไปหลบฝน : Part 2 อาหารกลางวัน

ตอนกลับมาจากไปเที่ยวรู้สึกว่ามีเรื่องจะเขียนเต็มเลย ดังนั้นเรื่องนี้คงยาวมากแน่ๆ ถ้าไม่ขี้เกียจพิมพ์จนลืมไปก่อนนะ
คราวที่แล้วถึงเวลาอาหารแล้ว พวกเราก็พากันออกจากเต็นท์ และแล้วฝนก็เริ่มตกปรอยๆ ลงมา แย่ล่ะสิ T_T จะได้เที่ยวไหมเนี่ย แต่พนักงานบอกว่าสองสามวันก่อนหน้านี้ที่ฝนตกหนักในกรุงเทพฯ ที่เขาเขียวไม่ตกเลย ซึ่งหลังจากกินข้าวเสร็จ ฝนปรอยๆ นั่นก็หยุดสนิท และไม่ตกลงมาอีกเลย(ดีจริงๆ)
มาว่ากันด้วยเรื่องอาหารดีกว่า อาหารเป็นแบบเติมไม่อั้น มีกลุ่มพนักงานบริษัทมาสัมมนากลุ่มนึงสิบกว่าคน ซึ่งเขาจะได้กินเป็นแบบ line buffet ให้เดินไปตักเอง ส่วนพวกเรา เขาตักกับข้าวใส่จานมาให้แล้ว มีกับข้าว 4 อย่าง + สปาเกตตี้เป็น 5 อย่าง แล้วคุณพนักงานก็บอกว่า "ไม่พอเติมได้นะคะ" อาจจะไม่หมดมากกว่าไม่พอนะคะ



เห็นมีหนุ่มสาวคู่นึงคงซื้อ package เหมือนกัน มากันสองคน เขาก็ตักอาหารให้เท่ากับที่กินสี่คนนี่เลย เห็นแล้วเสียดาย เพราะคงเหลือแน่ๆ สงสัยถ้าตักไม่เต็มจานจะดูไม่สวยล่ะมั้ง
สรุปว่าก็กินเข้าไปกันจนหมด อาหารอร่อยใช้ได้เลย แล้วก็ขอสปาเกตตี้มาอีกจาน บอกเขาไปว่าขอจานเล็กๆ แบบกินกันสองคนพอ เขาก็ทำมาจานใหญ่เท่าเดิมเลย แต่ถึงอย่างไรก็กินเข้าไปจนหมดอยู่ดีล่ะนะ
กินอิ่มแล้วเหลือเวลาเล็กน้อย ก็ไปเข้าห้องน้ำ เตรียมตัวไปทัวร์ให้อาหารสัตว์

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ชีวิต ชิว ชิว : Museum Siam

เมื่อวันอาสาฬหบูชาที่ผ่านมาได้หยุด 1 วัน ก็เลยไปเที่ยว Museum Siam มา เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งใหม่ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงว่ามีสื่อที่ปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมได้อย่างไม่น่าเบื่อ(ดูจะใช้ศัพท์สูงจังเลยวันนี้)

มาพูดถึงความหมายกันก่อน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 กล่าวไว้ว่า
พิพิธภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของต่างๆ ที่รวบรวมไว้เพื่อประโยชน์ในการศึกษา เช่น โบราณวัตถุ หรือ ศิลปวัตถุ
พิพิธภัณฑสถาน หมายถึง สถาบันถาวรที่เก็บรวบรวมและแสดงสิ่งต่างๆ ที่มีความสำคัญด้านวัฒนธรรม หรือ ด้านวิทยาศาสตร์ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาเล่าเรียน และก่อให้เกิดความเพลิดเพลินใจ
<ที่บ้านก็ไม่มีพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหรอก ไปลอกน้องวิกกี้(พิเดีย)มา>



ดังนั้นที่พวกเราเรียกว่าพิพิธภัณฑ์กันนั้นผิดหมดเลย(เพิ่งจะรู้เหมือนกันนะเนี่ย)
ไปถึงประมาณ 10:30 อย่างแรกเลยที่รู้สึกว่าที่นี่ต่างกับที่อื่นจริงๆ อย่างแรกที่เห็นชัดๆ คือคนเยอะ ปกติไปพิพิธภัณฑสถานอื่น ที่จะกว้างๆ ไม่เบียดกัน ต่างคนก็ต่างดูไป ยิ่งบางที่ไม่ค่อยมีคนไปแทบจะไม่เห็นหน้าค่าตาคนอื่นเลย จนบางทีกลัวใครมาดักปล้น
อย่างที่สองคือเหมือนนิทรรศการมากกว่า พิพิธภัณฑสถาน ถ้าว่ากันตามความหมายที่นี่ก็มีสิ่งของที่รวบรวมเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา เหมือนกัน แต่ที่เราจะคุ้นเคยกันก็คือ สถานที่ซึ่งมีของเก่าเยอะๆ ถ้วย ชาม ไห มีด กระดูก อะไรต่อมิอะไร อยู่ในตู้กระจก (ยกเว้นถ้าเป็นวิทยาศาสตร์จะเป็นอีกแบบ) แต่ที่นี่ของเก่ามีอยู่ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นป้าย รูปภาพ คำอธิบาย วีดีโอ อธิบายความเป็นมาของไทยเรา
อย่างสุดท้ายคือ ดูไฮเทคมาก ไม่รู้คนอื่นเป็นหรือเปล่า แต่ภาพติดตาของเราพิพิธภัณฑสถานในบ้านเรามันจะเก่าๆโทรมๆ ถ้ามีปุ่มให้กดฟังคำอธิบายก็ให้เตรียมใจไว้เลยว่า ถ้าปุ่มไม่หายไป ก็กดแล้วไม่มีเสียง คงจะเนื่องด้วยงบประมาณอันมหาศาลในการบำรุงนั่นเอง แต่ที่นี่บอกได้เลยว่าของ 95% ยังใช้ได้ดีอยู่ สนุกสนานกับการดูมากๆ ไม่รู้เพราะยังใหม่อยู่หรือเปล่า ก็ได้แต่หวังว่าผู้เข้าชมจะช่วยกันรักษาของให้อยู่ไปนานๆ
web ของ Museum Siam www.ndmi.or.th อ้อลืมบอกไปเข้าฟรีนะคะ
 
ปล.







nunita
July 18 5:23 AM


ได้ข่าวว่า เฮลล์บลูบอยภาค 2 ไม่ค่อยสนุก

จริงเหรอๆ




ความจริงโดยรวมก็สนุกนะหนูนิด ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ชอบ Hellboy กัน แต่เขาไม่ชอบ Hancock นะ เราเป็นส่วนน้อย T_T








July 17 10:30 PM


พี่ก็ชอบเรื่องนี้มากกว่า Hell Boy นะ ถึงแม้จะบู้น้อยไปนิดนึง แต่ฮาและซึ้งกว่า



รู้สึกว่าพี่เต่าพยายาม comment มากเลย ไม่รู้จะ comment อะไร อ่านเฉยๆ ก็ได้ หนูไม่ว่าอะไรแล้ว :P










SoCrys
July 16 10:46 AM

อ่าน แต่ไม่เม้น จะทำมะ



ไม่ทำไมค่ะ ใครจะกล้าทำอะไรน้องแฮทล่ะคะ










วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Hancock : หนังที่มีฮีโร่ แต่ไม่ใช่หนังฮีโร่

up อีกแล้ว คนอ่านคงจะเริ่มขี้เกียจอ่านกันบ้านแล้วล่ะมั้ง ช่วงนี้ถึงไม่มีคนเม้นเลย(ความจริงเห็นเม้นกันอยู่ไม่กี่คน คงเม้นกันจนไม่รู้จะเม้นอะไรแล้ว)

ถ้าอารมณ์ยังค้างอยู่เดี๋ยวจะมี entry เพ้อเจ้อตามมาภายในวันสองวัน แต่ตอนนี้มาเข้าเรื่อง Hancock กันก่อนเถอะ

ถ้าตามการจัดพวกหนังของยู้ Hancock ไม่ใช่หนังฮีโร่เลย เพราะ..... ไม่มีตัวร้ายให้ปราบน่ะสิ ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ร้ายเลย แต่ว่ามีแต่ผู้ร้ายตัวประกอบ ปกติหนังฮีโร่ต้องมีผู้ร้ายเก่งๆ ให้พระเอกกระอักเลือดสักทีสองทีก่อนแล้วค่อยชนะ และพอออกจากโรงเราก็ต้องตอบได้ว่าตัวร้ายของภาคนี้เป็นใคร แต่ตัวร้ายของเฮียวิลแกคือโจรปล้นธนาคาร ปล้นร้านขายของ ชื่อยังไม่มีด้วยซ้ำมั๊ง(ถ้าใครรู้ว่าผู้ชายที่ยิงพุง Hancock ชื่ออะไรก็ช่วยบอกที)

สรุปแล้วตามการจัดประเภทของยู้ Hancock เป็นหนัง Drama~!! ถึงแม้จะเป็น comedy ซะเยอะ แต่เราไม่ขำซะอย่าง(คนสร้างคงด่า อีนี่หนังตูทำมาให้ตลก) ถ้าเทียบกับ Hellboy ชอบเรื่องนี้มากกว่านะ แต่ถ้าดูจากผล vote ส่วนใหญ่จะชอบ Hellboy มากกว่า คงเพราะมันบู๊กว่าล่ะมั๊ง

ถ้าลองอ่านวิจารณ์ดูเหมือนหลายๆ คนจะไม่ชอบเนื้อเรื่อง แต่แปลกที่เรารู้สึกชอบเนื้อเรื่องนี้มากๆเลย(มีหนังหลายเรื่องที่คำวิจารณ์ไม่ค่อยดี แต่ว่าชอบอ่ะ) บางคนบอกว่า wanted สนุกกว่า(ถ้าเทียบแต่ฉากบู๊ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น) บางคนบอกว่าหนังเหมือนเอา 2 เรื่องมาต่อกัน บางคนไม่ชอบที่เหมือนหนังสามี ภรรยาทะเลาะกัน บางคนบอกว่าบทหนังไม่มีดูขาดๆ เกินๆ แต่หนังเรื่องนี้ก็เรียกน้ำตาของเราได้ตอนดูแล้วกัน (หรือว่าชั้นบ่อน้ำตาตื้นเองนะ)

ข้างล่างนี้ spoil นะตัวเอง

ตัวอย่างหนังอันแรกที่เปิดมาไม่อยากดูเรื่องนี้เลย รู้สึกเหมือนหนังตลกทำลายข้าวของ แต่หลังจากที่ตัวอย่างหนังแบบยาวออกมาก็เริ่มอยากดูขึ้นมา น่าจะเป็นเรื่องราวของฮีโร่แย่ๆ ซึ่งมาเจอกับนัก PR ช่วยปรับภาพลักษณ์ของเขาให้ดีขึ้น ก่อนดูก็คิดว่าคงจบอยู่ 2 แนว ถ้า Hancock ไม่กลายเป็นฮีโร่ที่ดี ก็เป็นประมาณว่าการดูแลแต่ภาพลักษณ์กลับทำให้ช่วยคนได้น้อยลง และในที่สุดก็กลับไปเป็นอย่างเดิม(หรืออาจจะดีกว่าเดิมหน่อย)

แต่ดูแล้วหนังกลับจับประเด็นคนละเรื่อง (ความคาดไม่ถึง เลยอาจจะทำให้ชอบก็ได้) ประเด็นหลักสำคัญของหนังคือ ความโดดเดี่ยวของ Hancock ไม่ว่าใครจะดูเป็น 2 ประเด็นคือ 1 การปรับปรุงภาพลักษณ์ และ 2 เรื่องในอดีตระหว่าง Hancock กับภรรยา แต่ถึงอย่างไรใน 2 ประเด็นนี้ก็มาจากเรื่องเดียวกัน คือ ความโดดเดี่ยวของ Hancock

หนังครึ่งแรกก็เป็นอย่างที่เห็นๆกันในตัวอย่างหนัง Hancock ออกจะเป็น Hero ประเภททำลายบ้านเมือง โดยปกติคงจะไม่แปลกถ้า Hero จะทำลายบ้านเมืองบ้างตอนสู้กับผู้ร้าย แต่นี่พี่แกเล่นทำลายบ้านเมืองโดยเอารถของผู้ร้ายไปเหวี่ยงชนตึกเพราะโมโหที่โดนด่า ไม่ใช่ว่าสู้กับผู้ร้ายอยู่แล้วโดนเหวี่ยงไปชนตึกพัง จนวันหนึ่ง Hancock ได้ไปช่วยชีวิตประชาสัมพันธ์หนุ่มไว้ (โดยทำรถไฟและรถพังไปอีก) ซึ่งในขณะที่ทุกคนกำลังด่า Hancock อยู่ เรย์(PR หนุ่มคนนั้น)ก็พูดขึ้นมาว่าถึงแม้ว่าพี่แกจะทำไม่ถูกนัก แต่ Hancock ก็ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ และกล่าวขอบคุณ Hancock พร้อมกับชวนไปกินข้าวเย็นที่บ้าน เรย์ได้บอกกับ Hancock ว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้เพราะเขารู้สึกโดดเดี่ยว และหาทางออกด้วยการกินเหล้า และอาละวาด ซึ่งทำให้ผู้คนไม่ยอมรับ และวนกลับมาทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวอีก เรย์อยากใช้ความเป็นนักประชาสัมพันธ์ปรับภาพลักษณ์ให้ Hancock เสียใหม่

ดูแค่ฉากนี้ก็หลงรักตานี่เข้าอย่างจัง ผู้ชายอะไรเป็นคนดีมากๆ ตอนนี้เวลาจะพูดถึงเรย์ จะหลุดเรียกว่าพระเอกอยู่เรื่อย ฟังจากที่เรย์พูดก็น่าคิด ทุกคนมองแต่ผลเสียหาย จนมองข้ามสิ่งดีๆที่ Hancock ทำลงไป เหมือนกับมีเพื่อนมาช่วยเราทำงานซึ่งจะต้องส่งพรุ่งนี้แล้วที่บ้าน แต่ดันทำแจกันเจ้าคุณปู่ของเราตกแตก การจะไปโวยวายว่าแกไม่มาช่วยก็ดีอยู่แล้ว มันก็คงเป็นการทำร้ายจิตใจเขามากไป (ถึงแม้เรื่องแจกันจะเป็นอุบัติเหตุ แต่เรื่องของ Hancock ดูเหมือนเป็นการตั้งใจก็เหอะ) ลองคิดดูว่าถึงแม้ Hancock จะเป็นพวกขี้เหล้า ใจร้อน โมโหง่าย และต้องโดนด่าอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็เลือกที่จะนำพลังของเขาไปช่วยคนอื่นอยู่เสมอ ทั้งๆที่ถ้าเขาแค่เมาเหล้าไปวันๆก็ได้

ตอนไปกินข้าวที่บ้าน แมรี่ ภรรเมียของเรย์ ก็ทำหน้าทำตาแปลกๆ อยู่ตลอดและยิ่งตอนที่เรย์บอกว่าจะเปลี่ยนแปลง Hancock เธอบอกว่าคนอย่างนี้เปลี่ยนไม่ได้หรอกฉันรู้จักดี ทำให้สงสัยขึ้นมาตะหงิดๆ ว่าสองคนนี้จะเคยเป็นแฟนกันแล้วเลิกกันไปหรือเปล่าเนี่ย แต่ดูท่าทาง Hancock จะไม่รู้จักแมรี่มาก่อน?? ก็เลยได้แต่เก็บความสงสัยไว้

ในที่สุดรัฐบาล(หรืออะไรเทือกนั้นแหละ) ก็ประกาศจับ Hancock เข้าคุก ซึ่งเรย์ก็เห็นเป็นโอกาสดีและส่ง Hancock เข้าคุกไปเลย เรย์ไปเยี่ยม Hancock อยู่เสมอพร้อมกับอบรมวิธีช่วยปรับภาพลักษณ์ ซึ่ง Hancock ก็ฟังด้วยสีหน้าแบบที่ไม่คิดจะทำตามอยู่เสมอ และระหว่าง Hancock อยู่ในคุกก็มีแสดงอาการใจร้อนออกมาบ้าง แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะเชื่อใจเรย์ และรออยู่ในคุก(ทั้งๆที่จะหนีก็ง่ายนิดเดียว) ระหว่างนั้น Hancock ได้เข้ากลุ่มบำบัด(ไม่รู้เรื่องเหล้า หรือเรื่องใจร้อนนะ) เป็นการนั่งล้อมวงเล่าเรื่องตัวเองให้คนอื่นฟัง ซึ่งตลอดมาเขาเป็นผู้ฟังมาตลอด พอถึงตาเขาเล่าก็จะผ่าน แต่มาวันหนึ่งหลังจากโดนขยั้นขยอ Hancock ได้เราเรื่องตัวเองออกมา 2 ประโยค และได้รับเสียงปรบมือ เป็นจุดเล็กๆของหนังที่ทำให้รู้สึกว่า Hancock ได้รับรู้ว่าการมีผู้คนยอมรับนั้นเป็นอย่างไร แล้วในที่สุดก็เป็นไปตามแผน เมื่อแมวไม่อยู่ หนูร่าเริง อาชญากรรมสูงขึ้น จนผบ.ตร.ต้องเชิญ Hancock ออกไปช่วยปราบผู้ร้าย

เข้าตามภาษิตที่ว่าต้องเสียไปก่อนถึงจะเห็นคุณค่า ซึ่งกลับมาคราวนี้ Hancock ทำตามคำแนะนำของเรย์ทุกอย่าง ถึงแม้จะขัดๆเขินๆ ไปบ้างแต่เขาก็ได้รับการยอมรับและเสียงปรบมือจากผู้คน

เรื่องเหมือนจะจบ แต่ไม่จบถึงจะได้รับการยอมรับ แต่ก็ในฐานะ Hero แต่เราเพิ่งจะได้รู้ตอนนี้เองว่าเขาความจำเสื่อมเขาฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลเมื่อ 80 ปีก่อน(หลังจากโดนใครก็ไม่รู้ผ่าหัวแยก) พบว่าตัวเองมีพลังแบบนี้อยู่แล้ว และจำอะไรไม่ได้เลย ไม่มีใครสักคนที่จะมาบอกว่าเขาเป็นใคร เขาสงสัยว่าตัวเขาเลวถึงขนาดไม่ยอมมีใครมาบอกว่ารู้จักเขาเลยหรืออย่างไร

ตรงนี้เองคงเป็นสาเหตุของปมในใจของ Hancock และเป็น point ที่ทำให้อีกครึ่งเรื่องดำเนินต่อไปได้ ถึงแม้จะได้รับการขอบคุณการยอมรับ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ดี ไม่เหมือน Batman Superman หรือ Spiderman ที่ยังมีชีวิตอีกด้านหนึ่งซึ่งไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเป็นฮีโร่ ไม่เหมือน The Hulk ซึ่งมีแฟนรออยู่ แม้แต่ Hellboy ก็ยังมีลิซ มีเพื่อนๆ แต่ Hancock อยู่ตัวคนเดียว

ตอนที่บอกว่าฟื้นมาเมื่อ 80 ปีก่อนไม่ผิดหรอกค่ะ เฮียแกบอกว่าตัวเองหน้าตาแบบนี้มานานแล้ว กรี๊ด!!!!! 80 ปี ตอนที่บอกว่าความจำเสื่อม อุตส่าห์ลุ้นว่าเป็นแฟนเก่าแมรี่ก่อนประสบอุบัติเหตุ ถ้า 80 ปีก็ไม่มีทางสินะ แต่แล้ว.......

ที่คิดไว้จริงๆ ด้วย สองคนเป็นแฟนเก่ากัน แต่ที่คาดไม่ถึงคือ แมรี่มีพลังด้วย ตอนนี้จะมีมุขตลกและฉากบู๊ พ่อแง่แม่งอนเล็กน้อย แล้วเรย์ก็มาเห็นว่าแมรี่มีพลังพิเศษด้วย ซึ่งสรุปแล้วก็คือเขาสองคนถูกสร้างมาให้คู่กัน จะมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ซึ่งในอดีตพวกเขาเป็นสามีภรรยากันและดีๆ เลิกๆ อยู่หลายครั้ง จนแมรี่ตัดสินใจจะมาแต่งงานกับคนธรรมดาแทน

งานนี้ Hancock ก็เครียดสิครับ อุตส่าห์รู้ว่าไม่ใช่ตัวคนเดียว แต่เขาดันไม่เอาอีก ระหว่างจะไปซื้อเหล้ากิน  เจอกับโจรปล้นร้านพอดี แล้วก็โดนยิงเข้าที่ท้อง แต่!! คราวนี้กระสุนยิงเข้า O_o แมรี่ตามมาอธิบายว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาทั้งคู่อยู่ใกล้กันพลังจะเสื่อมเพื่อให้พวกเขาสามารถมีชีวิตร่วมกันอย่างคนธรรมดา แก่เฒ่าไปด้วยกันได้ แต่ในอดีตที่ผ่านมาเมื่อเขาอยู่ด้วยกันมักจะเกิดเหตุร้ายทำให้ Hancock ต้องปกป้องแมรี่จนปางตาย ทุกครั้งแมรี่จะหนีออกมา ทำให้พลังของเขาฟื้นคืนและรักษาตัวเองได้ แต่ในครั้งสุดท้ายเมื่อ Hancock ฟื้นขึ้นมากลับจำอะไรไม่ได้ แมรี่จึงเห็นเป็นโอกาสดีที่จะไม่ทำให้เขาต้องเจ็บตัวอีก

ดูท่าสองคนจะเข้าใจกัน ทำตาหวานใส่กัน กรี๊ดๆๆ แล้วเอาเรย์ไปทิ้งไว้ไหนล่ะ ผู้ร้ายก็แหกคุกออกมาแก้แค้นพอดี ซึ่งก็ทำให้ทั้งแมรี่และ Hancock ปางตาย สุดท้ายเรย์ก็โผล่มาช่วยเอากระบองทุบหัวคนร้ายไป (เท่จริงๆ ควรเป็นพระเอกแทนมากๆ) และจังหวะที่ดูเหมือนทั้ง 2 คนกำลังจะตาย Hancock ก็ฟื้นขึ้นมาและพยายามพาตัวออกไปห่างจากแมรี่ สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้พลังคืนมา และรักษาตัวเองได้ทัน

จบแบบ Happy Ending แมรี่กับเรย์ ยังหวานแหววกัน ส่วน Hancock ดูจะยอมรับการเป็นฮีโร่อยู่คนเดียวได้แล้ว เพราะเขาได้ตระหนักว่ายังมีคนที่เหมือนเขาอยู่อีกคนหนึ่ง ไม่ได้โดดเดี่ยว และการที่เขาอยู่คนเดียวนี้เป็นการปกป้องเธอไม่ให้เจออันตราย

ตอนแรกนั้นแมรี่จะเป็นฝ่ายหนีแล้ว Hancock ตามตลอด คงเป็นเพราะว่าแมรี่ไม่อยากให้ Hancock มีอันตราย ซึ่งตัว Hancock เองคงไม่กลัวตายหรอก แต่เมื่อ Hancock ได้ลิ้มรสความรู้สึกที่เห็นอีกฝ่ายกำลังจะจากไปแล้ว เขาก็คงทนได้ที่จะอยู่คนเดียวเพื่อปกป้องอีกฝ่าย (แถมยังมีสามีซึ่งเป็นคนดีมากๆ อีกด้วย)

อื่นๆ

- เรย์เป็นคนดีมากๆ ไม่รู้เป็นนักประชาสัมพันธ์หรือองค์กรการกุศล มีอย่างที่ไหนไปเสนอให้บริษัทเขาปรับภาพลักษณ์โดยการบริจาคของให้สังคม(โดยที่ไม่มีแผนโฆษณาอื่นเลย) เขาพยายามจะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นด้วยตัวเอง ไม่เอาแต่ด่าคนนู้นคนนี้

- ไม่รู้ 80 ปีที่ผ่านมา Hancock ทำอาชีพอะไร มีเงินซื้อเหล้าเป็นลังๆ แต่ถ้ามีร่างกายอมตะแบบนี้กินเหล้าแล้วเมาด้วยเหรอ?? อย่างนี้จะเป็นตับแข็งไหมนะ??

- ขัดใจจริงๆ ที่ว่า Hancock แค่ออกห่างจากแมรี่พลังก็คือนมาแล้ว อย่างนี้ตอนที่โดนยิงที่ร้านขายของแปลว่ามีแมรี่สะกดรอยตามมาใกล้ๆหรือไงเนี่ย!!!

- อีตาเรย์อยากให้ Hancock เป็น Hero ช่วยผู้อื่นไม่ส่งเมียตัวเองไปกอบกู้โลกบ้างล่ะจ๊ะ

ปล. ตรงสีฟ้าทั้งหมดเป็นเรื่องที่ดูแล้วคิดเอาเองทั้งสิ้น อย่าไปถามคนอื่นเชียวว่าอยู่ส่วนไหนของหนัง

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Hellboy II : ตอน Pan's Labyrinth ทะลุจักรวาล

ชื่อจริงๆ คือ Hellboy II : The Golden army ส่วนชื่อข้างบนเป็นชื่อที่เรียกกันกับน้องสาว ทำไมน่ะเหรอ?? ใครที่ดูโฆษณาหนังแล้วจำได้ เหล่าสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายในภาคนี้สร้างโดยทีมผู้สร้าง Pan's Labyrinth และถ้าใครเคยดู Pan's Labyrinth หน้าตาตัวละครเหมือนกับย้ายสำมะโนครัวมาจากหนังเรื่องเก่าเลย จนก่อนดูพูดเล่นๆกับน้องว่าความจริงตอนนี้เป็นตอนที่ตัวร้ายจากเรื่อง Pan's Labyrinth เจาะประตูมิติมาอาละวาดในหนังอีกเรื่อง ใครไม่เคยดู Pan's Labyrinth ลองเข้าไปดู web ของเขาได้ http://panslabyrinth.com/

ดูแล้วก็สนุกดี วันเดียวกันนี้ไปดู Hancock มาด้วย ซึ่งถ้าให้แนะนำระหว่าง 2 เรื่องนี้ ถ้าคนที่ชอบดูหนังเอามันส์ ก็ไปดู Hellboy เถอะ ส่วน Hancock เป็นอย่างไร ไว้ไปอ่านใน entry ของ Hancock แล้วกันนะ โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าชอบภาค 1 มากกว่า

ถ้าจะให้วิจารณ์แบบ spoil หน่อยๆ

จากที่ภาคแรก(เท่าที่จำได้) หนังมี focus ที่ตัว Hellboy เรื่องของชาติกำเนิด นิสัย ความรัก และเล่นกับประเด็นที่ว่าเขาจะเป็นผู้ทำลายล้างโลกหรือไม่ ซึ่งในตอนจบ แน่นอนว่าเขาก็เลือกที่จะปกป้องโลกนี้ไว้(ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด หรือสถานการณ์แบบไหนก็เหอะ)

แต่ภาคนี้เรื่องราวจะขยายออกมาที่สภาพรอบตัวเขามากขึ้น ทั้งลิซ(นางเอก) เอ๊บ(มนุษย์ปลา) เหล่าเอลฟ์ที่โผล่มา ตัวละครใหม่ และความรู้สึกของมนุษย์ต่อสิ่งมีชีวิตประหลาดอย่างพวกเขา อาจจะเพราะภาพกว้างขึ้น ความรู้สึกต่างๆที่คิดว่าหนังต้องการสื่อเลยรู้สึกไม่ลึกเท่าที่ควร หนังพยายามสร้างเหตุผลเพื่อนำเรื่องจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง แต่ดูๆแล้วเหตุผลเหล่านั้นบางอันดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ เรื่องราวเหมือนจะจับประเด็นที่ว่ามนุษย์เห็นแก่ตัวขึ้นมาใช้ แต่เอาเข้าจริงๆแล้วหนังก็ไม่ได้ทำให้คนดูสะเทือนใจไปกับความเลวของมนุษย์สักเท่าไหร่ จะไป focus ที่เนื้อเรื่องและการต่อสู้ซะมากกว่า

แต่ด้วยเหตุผลที่เป็นหนัง action เรื่องเหล่านี้จึงพอมองข้ามไปได้ และส่วนที่ดีๆ ของหนังก็มีเยอะแยะ เช่น ฉากการต่อสู้ที่มีทั้งแบบสวยงาม และแบบบู๊ล้างผลาญ การพัฒนาของตัวละคร และฉากสวยๆ อีกมากมาย สรุปแล้วหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังที่น่าดูอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

ต่อจากจุดนี้จนจบจะเป็น spoil แล้วนะ

เนื้อเรื่อง :

นานมาแล้วโลกของเรามีทั้งมนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ ภูต ฯลฯ อาศัยอยู่ร่วมกัน แต่มนุษย์นั้นเกิดความโลภจึงก่อสงครามขึ้น สงครามทำลายล้างเหล่าภูตไปจำนวนมาก ช่างตีเหล็กก๊อบลินจึงทูลพระราชาขอสร้างกองทัพทองคำขึ้นเพื่อต่อสู้ศัตรู โดยกองทัพจะบังคับได้โดยผู้ครองมงกุฏซึ่งมีเลือดขัตติยะเท่านั้น กองทัพทองคำเอาชนะมนุษย์ได้ แต่ยิ่งสร้างความเศร้าใจให้กับราชาเนื่องจากกองทัพที่ไม่มีหัวใจยิ่งจะทำให้คนตายมากขึ้น ทั้งสองฝ่ายจึงของสงบศึกกับโดยตกลงกันว่ามนุยษ์จะได้พื้นที่ในเมือง ส่วนภูตครองพื้นที่ในป่า และราชาก็แบ่งมงกุฏออกเป็น 3 ส่วนมอบให้มนุษย์ไปส่วนหนึ่ง และเก็บไว้ 2 ส่วน เจ้าชายไม่เชื่อใจมนุษย์จึงได้เดินทางจากไปเพื่อรอวันที่จะกลับมาอีกครั้ง

จากเรื่องเล่าตัดกลับมาเป็นเรื่องจริง เจ้าชายมาเข่นฆ่าและแย่งชิงส่วนของมงกุฎไปจากงานประมูล และกลับไปฆ่าและแย่งอีกส่วนมาจากท่านพ่อของเขา แต่เจ้าหญิงหนีออกมาได้พร้อมกับชิ้นส่วนซึ่งตนเองเก็บไว้ พร้อมกันนั้น Hellboy และเพื่อนๆ ซึ่งทำคดีซึ่งเกี่ยวข้องกับการงานประมูลที่เจ้าชายมาขโมยของ Hellboy ซึ่งไม่อยากหลบๆซ่อนๆ ก็เผยตัวต่อสาธารณะชน(โดยแกล้งทำเป็นอุบัติเหตุ) พวกเขาตามรอยไปจนถึงตลาดโทลว์ และได้พบกับเจ้าหญิง พวกเขาจึงได้ช่วยเจ้าหญิงมา แต่ในที่สุดเจ้าชายก็ตามมา จับตัวเจ้าหญิงไป และทำร้าย Hellboy บาดเจ็บ เจ้าชายได้บอกให้หาชิ้นส่วนของมงกุฎไปแลก(เจ้าหญิงซ่อนชิ้นส่วนไว้ในห้องสมุดของเอ๊บ) สุดท้ายมงกุฎก็กลับมารวมกันอีกครั้ง และ Hellboy ก็ท้าสู้กับเจ้าชายเพื่อชิงสิทธิความเป็นเจ้าของมงกุฏ แน่นอนว่าสุดท้ายก็ชนะ และทำลายมงกุฏได้ แต่พวก Hellboy ก็ไม่คิดที่จะกลับไปที่ศูนย์อีกแล้ว พวกเขาจะไปอยู่ด้วยกันอย่างคนธรรมดาที่ชนบทที่ไหนสักแห่ง

เรื่องที่ขอบ่นหน่อยเหอะ

- เปิดเรื่องมาเลย ความสงสัยอย่างแรกคือ คุณผู้ดูแลในภาค 1 ที่พ่อของ red หามาให้หายไปไหนซะแล้วล่ะ นักแสดงไม่รับเล่นเลยตัดออกไป หรือว่าถ้าเพิ่มเข้ามาแล้วจะเพิ่มความลำบากให้กับบทที่จะเขียนก็ไม่ทราบได้

- เจ้าชายดูเหมือนจะเก่งมากๆ ฝ่าองครักษ์เกือบสิบคนไปฆ่าราชาได้อย่างง่ายดาย แต่ว่าก็แพ้ Hellboy อย่างง่ายๆเหมือนกัน ที่บอกว่าง่ายเพราะ Hellboy ไม่ได้แผลเลย ที่โดนทำร้ายไปครั้งแรกดูจะเป็นเพราะกำลังเมาเบียร์ซะมากกว่า ทั้งๆที่ Hellboy น่าจะเป็น Hero ประเภทบู๊ลุย เอาแรงเข้าว่า ถ้าเจอศัตรูประเภทใช้ดาบและความเร็วแล้ว ก็น่าจะฟันโดน จะบอกฟันไม่เข้าก็ไม่น่าใช่ เพราะครั้งแรกยังแทงเข้าเลย

- ตอนจบ Hellboy ก็ไม่ฆ่าเจ้าชายถึงแม้จะชนะแล้ว แต่ในขณะที่เจ้าชายจะลอบทำร้าย Hellboy นั้นเจ้าหญิงก็ฆ่าตัวตาย ส่งผลให้เจ้าชายตายไปด้วย (สองคนนี่เขาเป็นแฝดกัน ประมาณว่าทำอะไรคนนึงอีกคนจะเป็นไปด้วย) ความจริงถ้าจะฆ่าตัวตายก็ทำไปตั้งแต่ตอนที่เจ้าชายบุกมาฆ่าพ่อไม่ดีเหรอจ๊ะน้องสาว ข้อนี้พอจะให้อภัยได้เพราะถ้าทำอย่างนั้นเรื่องคงไม่มี และเจ้าหญิงอาจจะต้องการเวลาทำใจล่ะมั๊ง

- พี่ปลาซึ่งภาคที่แล้วดูเหมือนจะไม่อยากออกจาก tank มาเลย แต่ภาคนี้เห็นพี่แกอยู่ใน tank แค่ฉากเดียวเอง แถมบางทีออกมายังไม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจด้วย ถ้าหลังๆ ยังรู้สึกว่าเป็นเพราะพิษรัก แต่ก็เห็นเดินไปเดินมาตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วนี่นา

- แล้วอีกอย่างพี่ปลานี่แหละที่ดันเอามงกุฏไปให้เจ้าชาย เพราะกลัวว่าเจ้าชายจะทำร้ายเจ้าหญิง แต่ก็พี่แกนี่แหละที่โวยวายว่าอย่าทำร้ายเจ้าชายเพราะเจ้าหญิงจะเจ็บไปด้วย แล้วเจ้าชายจะไปทำร้ายเจ้าหญิงให้ตัวเองเจ็บทำไมยะ!!!!!!!!!!!!!!!  หรือว่าแค่อยากได้เจ้าหญิงคืนมา ทำอย่างนั้นมันจะเห็นแก่ตัวไปหน่อยมั้งเพ่ แล้วทำเจ้าหญิงอุตส่าห์หนีมาจะมีประโยชน์อะไรเล่า เฮ้อ!!

- เรื่องสุดท้ายที่ดูแล้วขัดใจสุดๆ คือตอนที่หนูแดง สู้กับคุณต้นไม้แล้วช่วยเด็กทารกออกมา อุ้มไปด้วยสู้ไปด้วย แต่ตอนจบทุกคน(รวมทั้งแม่เด็ก) กลับกลัว และหาว่าจะมาทำร้าย แถมตะโกนด่าอีก ก็เข้าใจนะว่าต้องการสื่อว่ามนุษย์มองคนที่หน้าตา แต่มนุษย์ไม่ได้ตาบอดนะคะ ดูยังไงก็รู้ว่าเขาพยายามช่วย แล้วยังเอามาส่งคืนให้ดีๆอีก แล้วก็ใช่ว่าจะเห็นกันเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านั้นก็ออกทีวีกันไปแล้ว อย่างมากก็น่าจะเป็นแค่รีบมารับลูกไปแล้ววิ่งหนีเพราะกลัว ทุกคนหลบไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ กล้าคุย ไม่มีใครขอบคุณ แค่นี้ก็น่าจะสะเทือนในพอแล้ว ฉากนี้ซึ่งเหมือนเป็นฉากซึ่งทำให้ Hellboy รู้สึกว่าไม่มีใครชอบเขา น่าจะทำให้เศร้า แต่กลับดูแล้วหงุดหงิดคุณป้านั่นมากกว่า เขาช่วยลูกแกมานะเฟ้ย มนุษย์อาจชอบทำร้าย หรือแบ่งแยกจากผู้ที่ไม่เหมือนตัวเองก็จริง ซึ่งจะเป็นเพราะความกลัว ความเห็นแก่ตัว ความโลภ หรืออะไรก็ตาม แต่เราก็ยังเชื่อว่ามนุษย์ยังมีจิตใจที่ดีอยู่ ยังสำนึกบุญคุณ ยังแบ่งแยกดีชั่วจากการกระทำ

- อื่นๆ ก็มีเช่น กองทัพมันเยอะเหลือเกิน ก๊อบลินตัวเดียวจะต้องใช้เวลาสร้างนานเท่าไหร่เนี่ย ตอนที่เจ้าชายฆ่าพระราชาดูเหมือนปู่แกจะลุกขึ้นมารับดาบเองเลย หรือเรื่องที่เหล่าเอลฟ์ ภูต ยักษ์ โทลว์ ดูน่าจะแข็งแรงกว่ามนุษย์เยอะ แต่ทำไมในอดีตดันแพ้มนุษย์จนต้องสร้างกองทัพทองคำขึ้น

ความเห็นทั่วไป -  เหล่าภูตในเรื่องนี้ดูจะสีหม่นๆ ซะส่วนใหญ่ ออกเป็นโทนน้ำตาล กับฟ้าตุ่นๆ หรือไม่ก็ลงสีแล้วเอามาลด brightness กับ contrast ลง ไม่ใช่ว่าไม่สวย รายละเอียดของตัวละครแต่ละตัวสวยมาก แต่สีแบบนี้ถ้าอยู่ใน Pan's Labyrinth ซึ่งเนื้อเรื่องอยู่ในสมัยสงครามค่อนข้างหดหู่ก็เข้ากันดีหรอกนะ แต่ Hellboy มันเป็นหนังบู๊ ตามความเห็นส่วนตัวน่าจะใส่สีให้สดใสขึ้นหน่อย ถ้าเอาไปเทียบกับเอลฟ์ใน the lord of the ring แล้ว lord จะเหมือนกับป่าเขตร้อน หรือป่าเขียวชอุ่มในฤดูฝน มองแล้วชุ่มชื่นใจ แต่เอลฟ์เรื่องนี้ออกจะเป็นแนวป่าในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งกำลังผลัดใบอยู่ ดูแล้วก็สวยดี แต่บางทีก็ให้ความรู้สึกเหงาได้เหมือนกัน

ส่วนที่ชอบ (โม้มาไกลมากๆ)

- ชอบคุณต้นไม้รุขเทพมากๆ (อาจจะเป็นเพราะเขาสีเขียวก็ได้) ตรงหน้าเหมือนหุ่นรบเลย แต่ที่ชอบที่สุดคือตอนที่ตาย (ขอโทษนะคะคุณต้นไม้ T_T) ไม่ได้อยากให้ตายนะคะ แต่ตอนตายสวยมากๆ ตอนที่ราชา เจ้าชาย เจ้าหญิงตายจะกลายเป็นหินอ่อน แต่ตอนคุณต้นไม้ตายกลายเป็นต้นไม้ไปจริงๆ ไม่ใช่ต้นไม้แบบเป็นเปลือกไม้ แต่แต่เหมือนมีเถาวัลย์ และต้นไม้เล็กๆ ขึ้นเต็มไปหมด ให้ความรู้สึกว่าตรงนั้นกลายเป็นป่าไปเลย และชอบดอกไม้ที่บานและส่งละอองเกสรออกไปด้วย ให้ความรู้สึกว่าถึงเขากำลังจะตายไปแต่เขาก็กำเนิดชีวิตมากมาย และละอองเกสรจะบินไปตกยังที่ไกลๆ และจะมีต้นไม้เล็กๆ ดอกไม้สวยๆ งอกขึ้นมา รู้สึกได้ว่าธรรมชาติกำลังดิ้นรนต่อสู้กับการรุกรานของมนุษย์อยู่

- ส่วนคำพูดที่ชอบที่สุดมาจากปากของราชาว่า "ถ้าการผิดสัญญาเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เราควรทำตามธรรมชาติของเราคือการรักษาสัญญา" คงไม่ใช่คำนี้เป๊ะๆ หรอกนะ แต่ก็ประมาณนี้แหละ ถึงแม้เราจะถูกเอาเปรียบ หรือถูกคนเลวกระทำเช่นไร ก็ไม่ได้เป็นเหตุผลให้เราต้องกลายเป็นคนเลวกับเขาไปด้วยเลย

ชักจะเพ้อมาไกลเกินไปแล้ว หนังเรื่องนึงก็มีอะไรให้คิดถึงมากขนาดนี้เลยนะเนี่ย

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

หนีเที่ยวไปหลบฝน : Part 1 ออกเดินทาง

เมื่อ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นฤกษ์งามยามดี ก็เลยโดดงานไปเที่ยวซะ(ความจริงก็ลางานปกติน่ะแหละ เรียกว่าโดดซะ) ทำไมต้องเป็นศุกร์นี้ด้วย?? คนทั่วไปอาจจะไม่คิดอะไร ก็แค่วันที่ set ขึ้นมา แต่ทว่ามันมีที่มา วางแผนจะไปเที่ยวตั้งนานแล้ว เนื่องด้วยยัยน้องสาวยังเรียนอยู่ ถ้าโดดไปจะไม่ดี จะไปบอกให้อาจารย์เลื่อนสอนก็ไม่ได้ ก็เลยต้องไปมันตอนปิดเทอมนี่แหละ ช่วยมีนา-เมษา เป็นช่วงที่เสาร์อาทิตย์ไปลงเรียนภาษาอังกฤษไว้ ดังนั้นเรื่องเที่ยวก็เลยตกไป หลังจากนั้นแม่ก็ต้องปิดงบของปีที่แล้วให้กับบริษัท ถัดมาอีกน้องสาวก็ดันต้องไปต่างจังหวัด ด้วยวิชาเวชศาสตร์ชุมชนที่จะต้องเรียน สรุปแล้ว มีวันศุกร์ที่ 30 นี่แหละ ที่ว่างก่อนจะเปิดเทอมในเดือนมิถุนายน
ความจริงไปแค่ 2 วันเอง ทำไมไม่ไปเสาร์อาทิตย์น่ะเหรอ 1. กลัวคนเยอะ  2. อยากลาหยุดอ่ะ เดี๋ยวใช้วันลาไม่หมด ที่กะว่าจะไปญี่ปุ่นกับเพื่อนก็ดันล่มไปซะแล้ว T-T
เขียนมาป่านนี้แล้วยังไม่ได้บอกเลยว่าไปไหนมา ไป es-ta-te มาค่ะ สำหรับคนที่ไม่รู้จักเป็นที่พักในเขาเขียวค่ะ
ผ่านมาเดือนกว่าเพิ่งจะได้มาเขียนถึง ความจำคงกระท่อนกระแท่นอยู่บ้าง แต่คงยืดยาวเหมือนเดิม เขียนอะไรสั้นๆ ไม่เป็น
ตื่นมาออกเดินทางตั้งแต่ 8 โมงทำอย่างกับจะไปไกล เวลา check in ตั้ง 11 โมงแน่ะ แต่มันก็เป็นวัฒนธรรมของที่บ้านอยู่แล้ว ว่าจะไปไหนต้องออกแต่เช้า ไม่เป็นไร ถ้าไปถึงเร็วเกินไปก็เที่ยวเล่นแถวนั้นก่อนก็ได้
ว่าแล้วก็ออกเดินทาง ประมาณ 9 โมงก็ใกล้จะถึง เห็นในแผนที่มีสวนผีเสื้อ ก็เลยคุยกันว่าจะเข้าไปดูดีไหม แต่สรุปแล้วไม่ได้เข้าไป เพราะขับเลยทางเข้า (แป่ว) ก็เลยเข้าไปเขาเขียวเลยแล้วกัน

เข้าไปถึงเขาก็ยอมให้ check in เลย คงเป็นเพราะคืนก่อนหน้านั้นไม่มีคนพัก แต่รอน๊านนานกว่าจะได้เข้าห้อง สงสัยเขายังจัดห้องไม่เรียบร้อย ก็เล่นมาตั้งแต่ไก่โห่ขนาดนี้ ระหว่างนี้ก็เลยถ่ายรูปแถวๆ lobby เล่นไปก่อน
เขาเอาน้ำส้มมาเสริฟ ก็ไปทำน้ำส้มเขาหกอีก(ไม่ใช่เราทำนะ แต่เป็นป่าป๊าที่ทำหก) น้ำส้มอร่อยด้วยเสียดายจัง T_T
รอไปรอมา นานเหลือเกินก็เลยออกไปเดินเล่นด้านหน้า เห็นกรงสมเสร็จอยู่ มีสมเสร็จ 2 ตัวนอนหลับอุตุอยู่ด้านในทั้ง 2 ตัวเลย ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่ไปถ่ายเจ้าแมลงปอสีแดงมาแทน ด้วยเหตุที่เจ้าสมเสร็จนอนอยู่นั้นเอง ก็เลยคุยกับน้องสาวว่า มันหลับเหมือนใหม่เลยนะ (หมายเหตุ-ใหม่ เป็นนามสมมุติของเพื่อนน้องสาวคนหนึ่งที่ตอนเช้าพวกเราได้นินทาถึงการนอนของเขาไป) น้องสาวก็เลยตะโกนไปว่ามะม่วง (เพราะใหม่เป็นคนชอบกินมะม่วงมากๆ) และแล้ว เจ้าสมเสร็จก็กระดิกหู!!! เหมือนตอบสนองต่อคำว่ามะม่วง หลังจากนั้นก็เลยตั้งชื่อให้มันว่าน้องมะม่วงซะเลย





หลังจากเอ้อระเหยอยู่นานก็ได้เข้าห้องพักสักที ไปครั้งนี้ซื้อ package 2800 บาท ต่อคน (บัตร KTC ลด 10%) ซึ่งรวมที่พัก อาหาร 3 มื้อ และทัวร์ให้อาหารสัตว์ตอนกลางวัน + night safari ตอนกลางคืน (night safari คงจะเป็นตอนกลางวันไม่ได้หรอกเนอะ) แต่ต้องขับรถไปเองนะจ๊ะ ดังนั้นอาหารเที่ยง es-ta-te จะมีจัดไว้ให้ตอนประมาณ 11 โมง เมื่อกินเสร็จแล้วจะไปทัวร์ให้อาหารสัตว์กัน
ระหว่างรอเวลาก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็นอนเล่น+ถ่ายรูปไปพลางๆ ก่อน


รูปที่พัก กับน้องกวางที่อยู่ในบ่อด้านหลังเต็นท์ ที่เรียกว่าบ่อเพราะมันไม่ใช่กรง แต่เป็นกำแพงเตี้ยแค่เอว และเป็นบ่อลึกลงไปเพื่อไม่ให้กวางข้ามมาได้



น้องสาวพกตุ๊กตาน้องแกะไปด้วย ก็เลยเอามาถ่ายรูปเล่นฆ่าเวลาซะเลย

ตอนที่คุณพนักงานบอกเบอร์เต็นท์ก็รู้สึกคุ้นๆ พอเขาขับรถกอล์ฟมาส่งก็ใช่เลย!!! เต็นท์หลังเดียวกับที่นอนตอนไป core senior เลย - -"
เป็นเต็นท์ แบบแยกเป็นสองห้อง ห้องละสองคน ทุกคนเลยไม่ต้องเลือกห้องเพราะต้องให้ยัยนี่นอนคนละห้องกับคราวที่แล้วเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง (อะไรจะดวงสมพงศ์กับห้องนี้ขนาดนี้เนี่ย)
นอนรอตั้งนานเดี๋ยวก็จะถึงเวลาที่รอคอยแล้ว(อาหารกลางวัน) แต่ไว้ต่อคราวหน้าแล้วกันนะ