วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

แบตเสื่อม

เอนทรีบ่น ไม่อยากอ่านแล้วเซ็งข้ามๆไปเลยไม่ต้องอ่านก็ได้นะ

พักนี้รู้สึกเหนื่อยง่ายจัง อยากทำโน่นทำนี่แต่ไม่มีแรง พอทำอะไรหลายๆ อย่างเข้าก็นอนน้อยอีก พอนอนน้อยต่อมรำคาญจะโต

ไอ้ที่ไปเที่ยวมาเนี่ยมันสลายไปไหนหมดไปรู้ ท่าจะ charge ไม่เข้าซะแล้ว ต้องหาทางเปลี่ยนแบต ไม่งั้นก็ต้องเปลี่ยน.... ซะแล้ว

ตอนนี้รู้สึกต่อมรำคาญมันเริ่มใหญ่ขึ้นทุกที เฮ้อ คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะปรับตัวได้ ใครเข้ามาใกล้แล้วเหวี่ยงโดนก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าแล้วกัน

สองวันนี้ได้อยู่แบบไม่ online แล้วรู้สึกดี เหมือนได้รับความรู้สึกเก่าๆกลับมา (ตั้งแต่เด็กจนจบมหาวิทยาลัยเราไม่เคยเล่น MSN เลย) ทำให้รู้สึกว่าเราเป็นคนที่ skill ด้านสังคมต่ำจริงๆ ด้วย

เคยรู้สึกกันบ้างไหมว่า ปล่อยกูไว้เฉยๆ ได้มั้ยกูอยากอยู่คนเดียว บางทีเราก็รู้สึกบ่อยๆ จนกลัวตัวเอง

แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่รู้สึกอยากไปเฮฮากันเป็นกลุ่ม อยากมีเพื่อนที่ชวนไปไหนเมื่อไหร่มันก็ไปด้วย

แต่ถ้ามึงชวนกูตอนเหนื่อยๆ กูไม่ไปนะ :P  เห็นแก่ตัวไปหน่อยไหมเรา แต่ความเป็นจริงมันก็เป็นอย่างนั้นไม่ได้นี่นา น่าจะเลี้ยงหุ่นยนต์ทาสไว้ตามใจเราสักตัวนะ

ปล. ใช้คำสุภาพเกินไปหน่อย พอคิดถึงว่าต้องเรียนเสาร์ อาทิตย์ไปอีกสองปี แล้วก็.... จะชินได้ไหมเนี่ย

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Confessions of a Shopaholic

เป็นหนังที่ต่างจากเบนจามินอย่างสิ้นเชิง

เข้าไปดูเพราะว่าติดใจหน้าตานางเอกตอนได้ช้อป ทำหน้ามีความสุขได้ใจมากๆ

อ้อ! ชื่อไทย : เสน่ห์รักสาวนักช้อป ชื่ออย่างนี้สิถึงฟังเข้าท่าหน่อย

spoil เต็มๆเลยนะ

เรื่องเริ่มจากนางเอกซึ่งเป็นโรคเสพติดการช้อปปิ้งอย่างรุนแรง(จากความเก็บกดวัยเยาว์ที่แม่ซื้อแต่ของลดราคา หน้าตาน่าเกลียด) จนเป็นหนี้หัวโต นางเอกมีความฝันที่จะได้ไปเขียนคอลัมน์ในนิตยสารแฟชั่นชื่อดัง แต่พลาดโอกาสไป แถมบริษัทที่ทำงานอยู่ยังเจ๊งอีกต่างหาก โชคชะตาพาไปให้บทความที่เธอกะจะเขียนสมัครงานกับนิตยสารแฟชั่น ส่งไปถึงนิตยสารการเงินและการลงทุนพอดิบพอดี (และเนื้อความดันเป็นการเปรียบเทียบแฟชั่นกับการลงทุนด้วยนะ) ปรากฏว่าบก. นิตยสารชอบมาก และรับเธอเข้าทำงาน เธอดังเปรี้ยงปร้างจากคอลัมน์นั้น แถมยังปิ้งรักกับบก.หนุ่มหล่อด้วย

แต่อีกด้านของชีวิต การเสพติดการช้อปก็ยังเลิกไม่ได้(ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้อยากเลิกเท่าไหร่ แม้ว่าเพื่อนรักของเธอจะพยายามบอกให้เลิกก็เถอะ) แถมหนี้ยังถูกตามทวงยิกๆ สุดท้ายเรื่องก็แดง แฟนก็ทิ้ง เพื่อนก็โกรธ หนี้ก็ยังไม่ได้ใช้ ตกงานอีกต่างหาก แต่ในความโชคร้ายนิตยสารแฟชั่นที่เธออยากทำงานด้วยสุดๆ ก็มาเสนองานให้ (ทายซินางเอกทำยังไง) เธอปฏิเสธไปเพราะรู้สึกว่านิตยสารแบบนี้จะทำให้คนเป็นหนี้หัวโตแบบเธอ สุดท้ายเธอจึงตัดใจ ขายของที่ช้อปมาทั้งหมดในบ้าน เพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ ไปขอคืนดีกับเพื่อนรัก และแฟนก็กลับมา ที่สำคัญเธอเลิกช้อปได้แล้วววววววววววว จบ.

เป็นหนังน่ารักๆ ดูแล้วอมยิ้มตลอดเรื่อง ให้ข้อคิดคือ แม้คนที่ไม่รู้เรื่องเงิน ก็มาเขียนคอลัมน์การเงินให้คนทั่วไปเชื่อได้ 555

เราสามารถนำความสามารถของเราที่ดูจะไม่เกี่ยวกัน(แฟชั่น) ที่ปรับใช้กับการทำงาน(เขียนคอลัมน์การเงินการลงทุน) ได้ และอาจจะดีกว่าด้วย แต่ต้องมีคนให้โอกาส

ปล. ชอบ logo สาวผ้าพันคอเขียวมากเลย

The Curious Case Of Benjamin Button

เป็นหนังที่สนุก แต่บอกไม่ได้ว่ามันสนุกยังไงหรือเรื่องเป็นแบบไหน

อย่างที่น่าจะรู้กันเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเกิดมา "แก่" และค่อยๆ "หนุ่ม" ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อชีวิตผ่านไป

หนังไม่ทำอะไรมาก เล่าถึงชีวิตของเขาผ่าน diary ของเขาเอง(พร้อมการเสริมจากคุณยายอีกเล็กน้อย) แต่หนังเรื่อยๆ เรื่องนี้ก็ทำได้ไม่น่าเบื่อเลย แม้ว่าหนังจะยาวถึงสองชั่วโมงครึ่งก็ตาม แต่ถ้าคนชอบหนังแบบเปรี้ยงปร้าง บอกไว้ก่อนเลยว่าคงจะเบื่อ เพราะเรื่องนี้ไม่มีฉากตื่นเต้นเอาซะเลย

ดูแล้วก็เหมือนกับไปเจอเพื่อนใหม่ แล้วเขาเล่าชีวิตของเขาให้ฟังนั่นแหละ มีอะไรแปลกๆบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับชักปืนมายิงกันกลางถนน ในแต่ละฉากยังมีการใส่ข้อคิดไว้ (ข้อคิดเยอะจนไม่ค่อยรู้สึกถึงความสำคัญของข้อคิดพวกนั้น เพราะมันดูเกร่อ) แต่สิ่งที่เราได้มาเป็นประเด็นใหญ่ก็คือ การที่นาฬิกาที่สถานีเดินถอยหลัง หรือการที่พระเอกหนุ่มขึ้นก็ตาม มันอาจจะเป็นความคิดที่เราอยากย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งต่างๆในอดีต แต่สุดท้ายแล้ว ชีวิตพระเอกหรือนาฬิกา ก็เดินไปทางเดียวอยู่ดี และก็เดินไปสู่จุดสิ้นสุดเดียวกันกับพวกเรานั่นก็คือความตาย

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Push : พุช โคตรคนเหนือเมฆ

เรื่องนี้ดูหลังจากกลับจากญี่ปุ่นหนึ่งวัน คือกลับมาวันพฤหัส วันศุกร์ก็ไปทำงาน แล้วก็ไปดูหนังตอนเย็น(เรื่องไปญี่ปุ่นจะพยายามเขียนออกมานะ แต่ไม่รู้จะว่างแค่ไหน)

ตั้งชื่อภาษาไทยได้ตามแบบแผนมากๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนมีพลังพิเศษ เลยตั้งว่าโคตรคนเหนือเมฆ แต่นึกได้ว่า เฮ้ย! โคตรคนเหนือเมฆมันไม่เกี่ยวกับชื่อเรื่องภาษาอังกฤษเลยนี่นา เลยเติมคำว่า พุช เข้าไปข้างหน้าซะเลย

เรื่องนี้เกี่ยวกับมนุษย์พลังจิตที่องค์กรพัฒนาขึ้นเพื่อใช้เป็นกำลังรบ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ไม่ให้ความร่วมมือย่อมมี และควรถูกกำจัด พระเอกผู้มีพลังย้ายสิ่งของเหมือนพ่อ ได้เจอกับเด็กสาวซึ่งมีพลังตาทิพย์(เหมือนแม่ของเธอ) เธอได้มาขอให้เขาช่วยตามหาผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งถือกุญแจที่จะทำลายองค์กรได้ เพื่อช่วยแม่ของเธอที่ถูกจับไว้

ถึงแม้รู้สึกว่าเรื่องนี้จะไม่มีฉากที่ดูสื่ออารมณ์เท่าไหร่ แต่ด้วยความชอบส่วนตัว ดูแล้ว ดาโกต้า น่ารักกกกกกกกกก เป็นหนังที่ดูแล้วภาพแปลกๆ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพราะฉากเป็นฮ่องกงทั้งหมด แต่ไปเจอเวปบอกว่าเรื่องนี้เขาใช้การถ่ายทำจริงให้มากที่สุด แทนการใช้ CG ก็คงเพราะสาเหตุนี้ด้วยล่ะมั้ง

ตัวหนังสนุกดีน่าติดตาม แต่จบปาหมอนไปหน่อย ดูแล้วเหมือนยังขาดๆ อะไรคาใจอยู่ สาเหตุหลักอาจะเป็นเพราะตอนจบ พอมานอนคิดๆ แล้วรู้สึกว่าเนื้อเรื่องนี้ค่อนข้างหลวมเลยทีเดียว เหมือนมีโครงเรื่อง มี idea ของความสามารถพิเศษต่างๆ แล้วก็ใส่เรื่องเข้าไป แม้หนังจะจบไปแล้วก็ยังงง อยู่ในหลายๆประเด็น เช่น สรุปของในกระเป๋านั่นช่วยทำลายองค์กรได้ยังไง - -"

นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่ต้องเลือกระหว่างการแปลชื่อต่างๆในเรื่องให้ตรงกลับภาษาเดิม หรือให้ตรงกลับความเข้าใจในภาษาไทย ซึ่งหนังเรื่องนี้เลือกอย่างหลัง ไอ้คนที่นั่งฟังเสียงในฟิล์มไปด้วยอย่างเรา ก็รู้สึกงงๆ ว่าคำในภาษาอังกฤษมันอะไรหว่า มาดูทีหลังมันไม่ตรงกันเลยนี่ แต่จะให้แปลตรงๆ หนังอาจจะประหลาดน่าดู ถ้าทับศัพท์ไปคนดูก็อาจจะไม่เข้าใจอีก ได้อย่างก็เสียอย่างล่ะนะ

สรุป หนังสนุกใช้ได้ แต่ถ้าคุณเป็นพวกความคาดหวังสูง หรือชอบถามหลังจากหนังจบไปแล้วว่า แล้วอันนี้ล่ะ แล้วอันนั้นล่ะ ก็อย่าดูเลยนะ

High School Musical 3 : Senior Year

High School Musical ที่ภาค 1 และ 2 ได้ดูทาง Disney channel (ไม่มีฉายในโรงนะจ๊ะ) ภาค 1 ชอบมากๆ แต่ไม่ค่อยชอบภาค 2 เท่าไหร่

มาดูภาค 3 รู้สึกว่าสนุกกว่าภาค 2 แต่น้อยกว่าภาค 1

ภาค 3 นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับปีสุดท้ายของเหล่าตัวละครในเรื่อง ซึ่งจะกล่าวถึงการเรียนต่อ การลาจาก และงานพรอม!! แน่นอนว่ามีการแสดงละครเวทีเป็นครั้งสุดท้ายของพวกเขาด้วย ซึ่งการแสดงนั้นก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียน การจบการศึกษา และความฝันต่อไปของพวกเขา ชอบฉากที่เป็นเหมือนงานพรอม น่ารักดี มีตั้งแต่ตอนเลือกชุด เตรียมตัว ไปรับสาวไปงาน

ดูภาคนี้แล้วรู้สึกพระเอกเป็นผู้ชายที่โลเลในชีวิตมากๆ ส่วนนางเอกดูในภาค 1 เหมือนจะเป็นคนขี้อายเรียบร้อย ตอนจบภาค 1 ดูบุคลิกเปลี่ยนนิดหน่อย แต่ตอนนี้ดูเธอจะเป็นศูนย์กลางของผู้คน และกล้าขึ้นมากๆ(ภาษาตลาดเรียกแรดขึ้น) ถ้าดูแต่ภาคนี้ก็เหมือนกับเธอเป็นอย่างนี้มาทั้งชีวิต สาวน้อยขี้อายที่ไม่กล้าร้องเพลงต่อหน้าคนอื่นในภาค 1 หายไปหนายยยยยยยยยยยยยยยยย

สรุปแล้วโดยรวม ใครชอบหนังเพลง น่าจะชอบ ถ้าชอบหนังเพลงแนวแดนซ์ น่าจะไปดู และถ้าชอบหนังเพลงแนวแดนซ์แบบน่ารักๆ(ไม่ใช่เต้นหนักๆ แบบ step up 2) ต้องชอบเรื่องนี้แน่ๆ

ปล. เนื้อเรื่องเป็น Disney plot มากๆ

ปล2. ก่อนเรื่องนี้ หลัง yes man ได้ดูเรื่องอื่นหรือเปล่าไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว

Yes! man

ไปแอบเจอที่เขียนไว้นานแล้วเกี่ยวกับ yes man ก็เลย up ซักหน่อย

นานมากแล้วที่ไม่ได้ดูหนังในวันที่รุ่งขึ้นเป็นวันทำงาน (อาจจะเรียกว่าไม่เคยเลย เพราะปกติไปดูตอนที่วันรุ่งขึ้นเป็นวันเรียน) สรุปว่า น่าจะตั้งแต่เรียนจบนั่นแหละ(ถ้าจำไม่ผิดนะ) คิดแล้วก็รู้สึกว่าเวลาเรียนช่างสุขสบาย เลิกเรียน 4 โมงก็ชิ่งไปดูหนัง กลับมาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตื่นไม่ไหว เพราะเริ่มเรียนตั้ง 9 โมง ถ้าตื่นไม่ไหวจริงๆ ก็โดดซะเลย อิอิ (อันที่จริงหนูไม่ค่อยได้โดดนะคะ O.O)

กลับมาที่เรื่องหนัง ดูตัวอย่างก็คงจะรู้แล้วว่าเรื่องนี้สอนให้เรารู้จักเปิดรับโอกาส และสิ่งใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิต เรื่องนำเสนอโดยอีตาพระเอกที่เป็น "No man" คือประมาณว่าใครถามอะไรพี่แกปฏิเสธหมด - -" จนวันหนึ่งเขาได้ไปเข้าร่วมสัมมนา ซึ่งสอนให้ผู้เข้าร่วมตอบรับกับโอกาสที่เข้ามาในชีวิต หลังจากนั้นชีวิตก็ดีขึ้นหลังจากเขาเริ่ม say YES!

ความเห็น(spoil) :

หนังทำได้ตลกดี บางมุขก็ออกแนวทะลึ่งไปบ้าง แต่ว่าโดยรวมก็ไม่ใช่หนังตลก แบบจะเอาแต่ตลกอย่างเดียว(แบบนั้นไม่ชอบดูอ่ะ) ดูจนจบยังไม่ค่อยเข้าใจว่าตกลงพระเอกมันกลายเป็น No Man เพราะเมียทิ้ง หรือว่าเมียทิ้งเพราะมันเป็น No Man ก็ไม่รู้ (เหมือนไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกันเลยเนอะ) แต่ชอบเพื่อนสนิทพระเอกมากๆ ดูเขาเป็นคนใส่ใจเพื่อนดี โทรมาตามจิก เดินมาตามถึงบ้าน (เป็นฉันนะ ช่างหัวมัน อยากจะนอนตายอยู่บ้านก็อยู่ไป)

ส่วนการสัมมนานั่นก็เหมือนลัทธิอะไรสักอย่าง(โครตน่ากลัวเลย) ชอบการผูกเรื่องที่หลายๆอย่างที่พระเอก say yes ไป มามีประโยชน์ในภายหลัง ความซวยอย่างบังเอิญทุกครั้งที่เกิดเมื่อพระเอก say no ออกจะทำให้น่าสงสารพระเอกไปหน่อย สุดท้ายตาม style หนังก็สอนว่าเราต้องให้โอกาสตัวเองแต่ต้องคิดด้วยไม่ใช่ yes ไปซะทุกอย่าง

ปล. ชอบชมรม photo jogging มากๆ เลย