วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตง่วงงุน

ชีวิตช่วงนี้ช่างง่วงนอนเหลือเกิน เพราะต้องทั้งทำงานและเรียน แถมยังต้องดูหนัง เขียน blog อ่านหนังสือ เล่นเกม ไอ้กิจกรรมหลังๆ พยายามจะเพลาๆ ลงบ้าง แต่ก็ยังทำไม่ได้ (หรือว่ายังไม่คิดจะทำอย่างจริงจังมากกว่า) ช่วงนี้ก็เลยรู้สึกเอ๋อๆ เบลอๆ นิดหน่อย

ก่อนหน้านี้มีอารมณ์เหนื่อยไปทีนึงแล้วก็หาย ยังหาสาเหตุไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะมันเหนื่อยถึงจุด peak แล้ว หรือเพราะว่าเริ่มสวดมนต์ก่อนนอนอีกครั้งหลังจากที่เลิกสวดตอนไปอยู่หอที่ลาดกระบัง แต่พักนี้รู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ดีขึ้น ไม่ค่อยเครียด สมองมัน alert ยังไงก็ไม่รู้ เหมือนจะดี แต่บางทีก็รู้สึกว่าการที่มัน alert ทำให้ยังไม่รู้สึกตัวเท่าไหร่ว่าช่วงนี้นอนไม่พอ ซึ่งตอนนี้นับๆ ดูแล้ว นอนน้อยกว่าเมื่อก่อนเยอะ กลัวว่าจู่ๆ อารมณ์อดนอนมันจะระเบิดออกมาส่งผลเป็นอะไรสักอย่าง (ที่ตอนนี้ยังคาดเดาไม่ได้) รู้สึกเหมือนจะเริ่มเป็นหวัดอีกรอบแล้ว สงสัยเพราะนอนน้อย

เมื่อวันศุกร์ได้ไปกินข้าวกับเพื่อนๆ ลาดกระบังที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ตอนไปดันเจอรถติดมาก วันอื่นไม่เห็นติด ทีจะรีบ ติดเชียว เลยลงมาเดินจาก lotus พระราม 1 ไป CTW เหนื่อย - -“

เพื่อนๆ อาจจะเปลี่ยนไปบ้างคนละนิดหน่อย แต่พอมาอยู่รวมๆ กัน มาคุยกันอย่างนี้แล้ว ก็ให้ความรู้สึกเดิมๆ กลับมา (ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองพูดน้อยเพราะพักนี้นอนน้อยก็เหอะ) คิดถึงตอนเรียน ตอนที่ทำค่ายด้วยกัน ตอนที่ติวหนังสือกัน นั่งดูทีวีที่หอด้วยกันกับเพื่อนๆ ชักอยากจะกลับไปตอนนั้นใหม่ ไม่อยากเรียนจบเลย T^T

ทำงานแล้วเหนื่อยจัง แต่ชีวิตเราต้องก้าวไปข้างหน้าต่อไป ทำจิตใจให้สดใสไว้แล้วอะไรๆ ก็จะดีขึ้นเอง

 

ปล. ไปดู Knowing กับเพื่อนๆ แล้วก็ไปดู bolt กับน้องแฮทและน้องต้นมา ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังนะ

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2552

Slum dog Millionaire

ตอนแรกกะว่าจะเป็น entry เดียว แต่ว่ามันยาว แตกเป็น 2 อันแล้วกันนะ

ไปดูเพราะ 1) มันจะได้ oscar อะไรมากมาย 2) ชอบหนังสือเรื่องนี้มากกกกกกกกกกก

เรื่องย่อ: เด็กกำพร้าผู้ไม่มีการศึกษา ตอบปัญหาเกมเศรษฐีได้ทั้งหมด และได้เงินรางวัลไป เขาโกงหรือ?? เขาแค่บังเอิญรู้คำตอบของทุกคำถามที่รายการ(ดัน)เลือกมาถามเขา เพราะเขาเคยเจอสิ่งเหล่านั้นมาในชีวิตอันต้องดิ้นรนของเขาเอง

หนังสร้างมาจากหนังสือเรื่อง Q&A เกมชีวิตพิชิต 1,000 ล้าน แปลเป็นไทยโดยสำนักพิมพ์มังกรยิ้ม (รู้สึกว่าจะพิมพ์ใหม่โดยใช้ชื่อหนังแทน) ตอนนั้นซื้อมาเพราะลดราคา ไม่ได้คิดว่ามันจะสนุกมากหรอก แต่คนขายเชียร์ แล้วเรื่องย่อก็ฟังดูดี (ตอนแรกเห็นปกกับชื่อเรื่องนึกว่าเป็นหนังสือแนวพ่อรวยสอนลูก) คนขายบอกว่ากำลังจะทำเป็นหนัง ยังคิดในใจเลยว่า หนังอะไรไม่เคยได้ยิน แต่พออ่านไปแล้วคุ้มมากๆ ต้องไปขอบคุณคุณคนขาย

สิ่งที่ชอบในหนัง:  หนังสนุกดี ตื่นเต้นน่าติดตามตลอดเลย การปรับบททำให้หนังลื่นไหลไปได้ (ยังนึกสภาพไม่ออกว่าถ้าทำตามหนังสือทั้งหมดหนังคงออกมาประหลาดน่าดู) วิธีการเล่าเรื่องและวิธีสลับฉาก ที่ตำรวจถามคำถาม แต่ตัดไปเอาคำตอบที่พระเอกตอบในรายการแทน

สิ่งที่ไม่ชอบในหนัง:  เปลี่ยนหนังสือไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมเลย มีจุดเชื่อมกันเล็กๆ เท่านั้นเอง คำถามส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนไป อีกเรื่องคือพระเอกดูไม่ค่อยเอาไหนเลย ต้องให้พี่ชายช่วยตลอดเวลา (เหมือนในการ์ตูนที่พระเอกจะคุณธรรมมากๆ แล้วก็ต้องให้เพื่อนๆ มาช่วยกันสู้)

โฆษณาหนังสือสักหน่อย

อ่านหนังสือแล้วชอบมาก เพราะวิธีการผูกเรื่องการเล่าเรื่องที่ย้อนไปย้อนมาตามลำดับของคำถาม แทนที่ลำดับของเวลา ชอบที่บางครั้งพระเอกจะบอกว่า “เดี๋ยวคุณก็รู้” กับบางคำถามที่เขาถูกถามไประหว่างการย้อนความ เหมือนกับไม่ได้แค่บอกคนถามเท่านั้น แต่เป็นการทิ้งท้ายให้สงสัยว่า เดี๋ยวเรื่องนี้ต้องมีอะไรต่อแน่ๆ

ซึ่งสุดท้ายเรื่องไม่ได้เพียงแต่มาต่อกันแต่ยังมีปม หลายปม รายละเอียดหลายๆ อย่างที่เชื่อมกันอย่างลงตัว แถมยังมีหักมุมอีกต่างหาก

หนังโรงกับหนังสือ : ไม่รู้เพราะว่ารู้เรื่องมาก่อนหรือเปล่า ทั้งจากหนังสือ และถึงไม่รู้จากหนังสือ ดันไปอ่านเรื่องย่อในเวป แล้วเรื่องย่อพี่แกก็ spoil เต็มที่เลย =_= รู้สึกชอบหนังสือมากว่าเยอะเลย

การเล่าเรื่อง - ตอนแรกก็สงสัยอยู่ว่าหนังจะทำออกมาในรูปแบบไหน สรุปว่าหนังเปลี่ยนคำถาม และเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่องให้ลำดับคำถามเป็นไปตามลำดับเหตุการณ์ เพื่อความไม่งง ความซับซ้อนต่างๆ ปมเล็กปมใหญ่ ถูกตัดออกเกลี้ยง ซึ่งแน่นอนว่าในส่วนนี้หนังสือชนะไปขาดลอย รู้สืกเหมือนเห็นกระดาษที่เขาพับไว้เป็นรูปปราสาทสามมิติ แล้วก็มีคนแกะมันออกแล้ววาดรูปปราสาทหลังนั้นลงไปในกระดาษแทน T^T แต่ในส่วนนี้ให้อภัยได้ เพราะทำไปเพื่อความไม่งง

โครงเรื่องหลัก - จากในหนังสือที่เป็นชีวิตลำเค็ญ ต้องต่อสู้ชีวิตเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง กลายเป็นการตามหารักแท้ไปซะอย่างนั้น เลยรู้สึกว่าเรื่องมันเบาขึ้น ประเด็นหนักๆ หลายประเด็นก็ถูกตัดออกไป พระเอกถกเปลี่ยนชื่อจากประเด็นทางศาสนา เหตุผลที่ไปแข่งในรายการก็ดูต่างกันเยอะเลย

การจับพระเอกไป - ตอนดูรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่คิดอะไร ตอนนี้มาคิดดูรู้สึกว่ามันตลก เหมือนกับพิธีกรไม่อยากให้พระเอกได้รางวัลไป และการเรียกตำรวจมาจับเพราะว่าคิดว่าโกงจริงหรือเปล่า?? หรือแค่ไม่อยากจ่ายเงิน?? ในหนังสือเป็นประเด็นว่ารายการไม่มีเงินจ่าย เลยพยายามบอกว่าพระเอกโกง แต่เหมือนในเรื่องมันไม่ค่อยชัด เพราะสุดท้ายพี่แกก็ยังทำหน้าระรื่นแจกเงินไปอยู่ดี

ตัวละคร – หาสาเหตุไม่ได้แต่ตัวละคนหลายตัวในหนังสือดูมีมิติกว่า(ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร) อย่างเช่นคุณตำรวจในหนังก็ดูเชื่อพระเอกง่ายๆ ว่าไม่ได้เล่าเรื่องโกหก เพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่ในหนังสือคนที่ฟังพระเอกเล่าเรื่องไม่ใช่ตำรวจนะ หนังสือมีการผูกเรื่องอีกแบบที่ดูเข้าท่ากว่า พวกมาเฟียที่อ่านในหนังสือแล้วเป็นตัวประกอบที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ในหนังก็โผล่มาเหมือนจะมีบทเยอะ แต่ก็ไม่ได้บทเยอะแต่อย่างไร รู้สึกเหมือนมันกึ่งๆ ยังไงไม่รู้

พระเอก - ในหนังสือเท่ห์กว่าเยอะมาก พระเอกจะดูเป็นคนที่ปากกัดตีนถีบเลี้ยงตัวเอง และอยู่กับความเป็นจริง แม้จะมีทำผิดบ้างเล็กน้อย แต่รู้สึกว่าพระเอกเป็นตัวแทนของความถูกต้อง ไม่เคยโกงเขา หรือว่าขโมยของเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่พระเอกในหนังดูเหมือนเป็นพวกแกงค์เด็กที่มาหลอกตุ๋นนักท่องเที่ยว ที่ได้เป็นพระเอกเพราะมัวแต่เพ้อเจ้อถึงความรักสมัยเด็ก (สงสัยอย่างนึง ว่าพระเอกในหนังไปเรียนภาษาอังกฤษมาจากไหนหว่า)

นางเอก - ในหนังเด่นกว่าในหนังสือมากๆ ในหนังสือรู้สึกนางเอกเป็นตัวประกอบ จะบอกว่าชอบในหนังมากกว่าก็ไม่ใช่ เพราะถ้าเนื้อเรื่องเป็นแบบในหนังสือนางเอกก็ต้องไม่เด่นเป็นธรรมดา (แต่นางเอกในหนังหน้าตาน่ารักดี)

ซาลิม – เป็นเพื่อนพระเอกในหนังสือ เป็นพี่ชายพระเอกในหนัง สองที่นิสัยต่างกันแบบหน้ามือกับหลังเท้า คิดว่าคงให้เหมาะกับพระเอกที่ดูเอ๋อมากขึ้น ซาลิมเลยดูเหี้ยมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด น้องสาวชอบแบบในหนังมากกว่า แต่ว่าเราว่ามันก็ดูดีคนละแบบนะ สงสัยไม่ชอบในหนังเพราะมันนิสัยไม่ดี

เงินรางวัล - ดูไม่ได้ประโยชน์สักเท่าไหร่เลย ไม่ค่อยมีเหตุผลว่าทำไมต้องเล่นไปเรื่อยๆ ได้สิบล้านแล้วไม่รู้คำตอบก็หยุดสิฟะ ตรงนี้ spoil หนังเล้กน้อย --> อยากจะให้นางเอกเห็นก็หันไปที่กล้องแล้วพูดเลยว่าจะนัดเจอกันที่ไหน ไหนๆ จะไม่เน้นแล้วน่าจะหักมุมให้ตอบผิดไปซะเลย หรือไม่ก็น้ำเน่าให้สุดๆ พระเอกวิ่งออกไปเลยโดยไม่ตอบคำถาม ไม่เเหมือนในหนังสือที่พอชนะแล้วดูมีเงินเอาไปทำฝันให้เป็นจริง และที่หยุดไม่ได้เพราะอยู่ในช่วงได้เสีย ซึ่งหยุดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

วิจารณ์ซะเหมือนหนังไม่ดี ความจริงหนังก็สนุกดีนะ น่าไปดู แต่ชอบหนังสือมากว่าเท่านั้นเอง

Make it happen

ไปดูหนังมาอีกทั้งๆ ที่ไม่ค่อยจะมีเวลา

เป็นหนังแนวทำความฝันให้เป็นจริง ดูแล้วก็สนกดี เนื้อเรื่องเป็นไปตามที่คิด(ตามแบบฉบับของหนังแนวนี้)

เรื่องย่อ: นางเอกผู้ฝันจะเป็นนักเต้นมาแต่เด็ก เข้ามา Chicago เพื่อจะทดสอบเข้าโรงเรียนเต้นรำ แต่ว่าการสอบนั้นโหดกว่าที่เธอคาดไว้ จะกลับบ้านก็ไม่กล้าบอกที่บ้านว่าสอบตก โชคชะตานำพาให้เธอรู้จักกับคลับแห่งหนึ่ง ซึ่งทำให้เธอรู้จักการเต้นรำอีกด้านหนึ่ง ….

ความจริงเนื้อเรื่องมีมากกว่านี้ อันนั้นเป็นประมาณครึ่งเรื่องแรก ที่เหลือลองไปหามาดูกันเองแล้วกันนะ

สิ่งที่ชอบ:  นางเอกน่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกก เต้นเก่งอีกต่างหาก ชอบดูการเต้นในเรื่องจะดูเป็นหลายๆ แบบ โดยส่วนตัวชอบการเต้นแบบนี้มากกว่า hiphop หรือ break dance นะ แต่ถ้าเอามาผสมกันจะชอบมากที่สุด (แบบนางเอกทำตอนจบ)

สิ่งที่ไม่ชอบ:  ยังนึกไม่ออก ถ้ามีก็คงเป็นที่พระเอกเตี้ยไปหน่อย แต่ชอบพี่ชายนางเอกนะ หล่อดี

สิ่งที่ได้รับ: 

  1. บางครั้งความสามารถที่จะทำความฝันให้สำเร็จมีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำให้มันเกิดขึ้นหรือเปล่า
  2. การทำความฝันให้เป็นจริง อาจจะเป็นทางเดียวกับความเห็นแก่ตัวก็ได้ ความฝันบางอย่างที่เราอยากไล่ตาม มันก็ทำให้เราต้องทิ้งบ้าน ทิ้งเพื่อน ทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลังบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกอะไร การทำความฝันให้เป็นจริง หรือความจริงในปัจจุบัน

ปล. ถ้านางเอกทำกรรมการตาค้างได้ขนาดนั้น ไม่ต้องเรียนแล้วมั้งนั่น

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

สยามเมืองยิ้ม

วันนี้ตอนนั่งรถเมล์กลับบ้าน เห็นข้างๆ เป็นรถตุ๊กๆ บรรทุกถ่าน เอ๊ย!! ไม่ใช่ (เล่นมุขอะไรเนี่ยฉัน) เอาใหม่ เห็นรถตุ๊กๆ มีผู้โดยสารเป็นชาวต่างชาติ 2 คน แล้วก็ได้ยินเสียงลอยมาว่า อ๊าฟเต้อ แบงค์คอก แว ยู โก (After Bangkok where you go) คุณคนขับรถตุ๊กๆ ชวนฝรั่งคุยค่ะ สำเนียงพี่แกก็สำเนียงไทยสุดๆ ไม่รู้เพราะเสียงดัง หรือเพราะสำเนียง คุณฝรั่งต้องชะโงกหน้ามาฟังอีกรอบ สรุปว่าเดี๋ยวเขาจะไป Cambodia ต่อ(ไปแอบฟังเขาอีก)

ได้ยินแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมา ไม่รู้หรอกนะว่าคนขับเขาจะพูดภาษาอังกฤษเก่งหรือเปล่า แต่ฟังจากสำเนียงแล้วคงไม่ได้ใช้บ่อยๆ เป็นแน่ แต่ว่าเขาก็มีอัธยาศัยชวนคนนักท่องเที่ยวคุยเล่น ดีกว่าพวกเราที่น่าจะเคยชินกับภาษามากกว่าเขา พอได้ยิน Excuse me ก็คิดในใจว่า "ซวยแล้ว"

คนอย่างนี้แหละที่ทำให้เมืองไทยเป็น "สยามเมืองยิ้ม"

ปล. เมื่อวานดอกไม้ตรงทางเข้าประตูศิริราชบานเป็นสีเหลืองเต็มต้น ตัดกับสีเขียวของใบสวยมากๆ เลย แต่วันนี้มันเริ่มร่วงซะแล้ว

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552

Watchmen & Y-MBA & Chicago

สามอันนี้ไม่เกี่ยวกันเท่าไหร่หรอก แต่ว่าขี้เกียจเขียนหลายอัน

เมื่อ week ที่แล้วไปดู watchmen มา หนังมันอาร์ตยังไงไม่รู้ แล้วก็จบแบบยังไงไม่รู้ ทำเอาอธิบายไม่ถูก

ไม่ใช่ว่าไม่สนุกนะ ตอนดูก็เรื่อยๆ แต่มันจบแบบ แบบ แบบ ความจริงเกิ๊น(กรุณาขึ้นเสียงสูงเพื่อความสมจริง) ดูแล้วรู้สึกว่าไม่มีใคร perfect สันติภาพของโลกมันช่างจอมปลอม และโลกนี้ก็คงยังต้องฟอนเฟะต่อไป เมื่อไหร่ที่โลกสงบสุข อะไรๆ เจริญถึงขีดสุด เราก็คงไม่มีอะไรทำนอกจากตีกันเอง(ช่างเหมือนกับเหตุการณ์ใกล้ตัว เพียงแต่เรายังไม่ได้เจริญถึงขีดสุดนะ มาช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองดีกว่า)

สรุปแล้ว ถ้าถามว่าตอนดูสนุกไหม ก็สนุกดีนะ นับว่าเป็นหนังที่ใช้ได้ แต่ว่ามันเหมือนสารคดีเปรียบเทียบเหตุการณ์บนโลกมากไปหน่อย เราชอบหนังที่มันเวอร์ๆ มากกว่า (เวอร์ในที่นี้ไม่ใช่ว่าต้องยิงพลังใส่กัน หรือมีเขี้ยวงอก แต่ว่าพอดูแล้วรู้สึกว่าไอ้คนแบบเนี้ย มีในโลกด้วยเหรอ)

...........

เรื่องที่สอง ตอนนี้สอบติด Y-MBA จุฬา แล้วรู้สึกเวลาที่เหลือในชีวิตถูกเด็ดไป เพราะต้องเรียนวันเสาร์-อาทิตย์ (คิดอย่างนี้ไม่ดีใช่ไหม ต้องคิดว่าฉันอยากเรียน เรียนสนุกมาก ฉันจะต้องเรียนจบ)

ปกติเป็นคนชอบนอนเยอะ วันธรรมดานอนดึก ก็มานอนชดเชยเอาวันเสาร์อาทิตย์ พอเรียนเสาร์อาทิตย์ ก็อดนอนแล้ว T_T ช่วงนี้เป็นหวัดไม่รู้ว่าเกี่ยวกับที่นอนน้อยหรือเปล่า มีคนบอกว่าสักพักก็จะชินพอเลิกเรียนจะรู้สึกว่างๆ แต่เราไม่ค่อยเชื่อหรอก ตอนที่เรียนภาษาอังกฤษอยู่นาน พอเลิกเรียนรู้สึกลัลลามากๆ มีเวลาอ่านหนังสือ ดูหนังเพิ่มขึ้น(แต่ก็ยังไม่พอใช้อยู่ดี) เวลามีเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอเลยนะ

ช่วงนี้คนชวนไปไหนบางทีก็ไม่อยากไป ไม่ใช่ว่าไม่ว่างแต่อยากเอาเวลาว่างไปเป็นเวลาส่วนตัวบ้าง หนังสืออ่านไม่หมดเลยปีนี้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นหมด คิดว่าสัปดาห์หนังสือปีนี้จะงดซื้อหนังสือ เพราะไม่มีเวลาจะอ่าน

  • ติดพร้อมกับเตื้อย ก็เลยมีเพื่อนเรียนด้วยกัน
  • วันก่อน ITOne ได้ถูกตั้งชื่อใหม่เป็นบริษัท อิโตเน่เป็นที่เรียบร้อย (I-TO-NE) คนอ่านมันเห็นหน้าเราญี่ปุ่นหรือไงเนี่ย
  • ได้ไปสัมมนามาด้วยถ้าว่างอาจจะมาเล่าให้ฟัง(ฝันไปเหอะ ไปญี่ปุ่นมาเป็นเดือนแล้วไม่เห็นเขียนอะไรสักแอะ) - -" แฮะๆ รู้ได้ไง

ปล. ตอนนี้นับวันรอวันหยุดนักขัตฤกษ์เลย...........อีก 23 วันจะถึงวันจักรี

...........

ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นได้ไปดูละครเวที(ละครเพลง) Chicago มา

ซื้อตั๋วไว้ตั้งแต่ก่อนไปญี่ปุ่นแล้วเพราะว่าน้องสาวอยากดูมากถึงขนาดบอกว่าจะเอาแต๊ะเอียเลี้ยงพี่สาว เราก็ดูปฏิทินการสอบ สัมภาษณ์ ปฐมนิเทศ สัมมนา แล้วหลบวันเรียบร้อย(ทำเหมือนว่าติดแน่ๆ) สรุปว่าเขาดันเลื่อนวันปฐมนิเทศมาตรงกับวันที่ไปดู Chicago ซะนี่ (ฟ้าดินจะแกล้งหนูใช่ไหม)

ตอนนั้นต้องรีบซื้อเพราะว่าตั๋วมันลดราคาแค่ตอนนั้น แต่กลับมาสรุปว่ามันขยายเวลาลดราคาซะนี่ เซ็งเลย น่าจะรอประกาศผลก่อนแล้วค่อยซื้อนะ (เอาเหอะถือว่าจะได้ที่นั่งดีๆ)

ว่าแล้วเราก็เข้าไปเซ็นชื่อแล้วนั่งปฐมนิเทศสักชั่วโมงแล้วค่อยออกมา ซึ่งโดยความจริงแล้วได้ฟังแค่ 15 นาทีเพราะว่าเขาเริ่ม late ไปเยอะมากๆ แล้วเราก็ไปเที่ยวเล่น ปล่อยเตื้อยทำความรู้จักคนอื่นไป

คนที่แสดงเสียงดีมากๆ รู้สึกเหมือนกำลังฟังเสียงจากเทป(หรือซีดี)อยู่ เป็นละครที่สนุกดี นักแสดงเล่นกับคนดูค่อนข้างมาก มีการพูดว่าสวัสดีค่ะด้วย อย่างงๆ เป็นละครเพลงภาษาอังกฤษค่ะ แต่มีฉากที่เหมือนทักทายคนดูแล้วเขาทักทายคนดูเป็นภาษาไทย คงเป็นเพราะว่าเป็นละครแนวตลกด้วย

คนที่แสดงเป็นร็อกซี่เล่นได้น่ารักมากๆ ตัวละครร็อกซี่จะเป็นคนค่อนข้างเพ้อฝัน มีความเป็นเด็กอยู่ในตัวมาก แล้วก็ออกแนวแอ๊บแบ๊ว ซึ่งไม่ว่าตอนเต้นตอนพูด หรือทำอะไรก็ดูเธอจะทำท่าเป็นเด็กๆ ตลอด รู้สึกว่านางเอกไทยไม่ค่อยจะมีคนเล่นบทแบบนี้หรอก

ท่าเต้นก็ดีนะชอบ แต่ไม่ตื่นตามาก อาจจะเพราะว่าดูในหนังมาแล้วก็ได้

อีกอย่างที่รู้สึกดีมากๆกับ Chicago ก็คือ เห็นเลยว่าใช้ตัวแสดงน้อยมาก เห็นเลยว่าคนที่เต้นอยู่ข้างหลังเมื่อกี๊ออกรับอีกบทนึง เดี๋ยวก็ไปรับบทอื่นอีกแล้ว คือนอกจากตัวเอกหกเจ็ดคนแล้ว ที่เหลือก็วิ่งวนไปวนมาบนเวทีนั่นแหละ ความจริงละครเพลงไทยก็อาจจะใช้คนเดียวกันสับเปลี่ยนก็ได้นะ แต่ว่าเรื่องนี้พี่แกไม่ได้เปลี่ยนชุดน่ะสิ(คงถือว่าไอ้ชุดที่ใส่มันใช้ได้กับทุกสถานการณ์)

อีกเรื่อง(ทำไมอีกบ่อยจัง) เขาใช้ฉากได้ simple มากๆ สิ่งที่เห็นขยับได้มีแค่ 1)เก้าอี้ที่ยกไปยกมา(ความจริงเก้าอี้น่าจะนับเป็นแค่อุปกรณ์ไม่ถือเป็นฉากนะ) 2)เวทีตรงกลางของวงดนตรีที่เปิดให้คนเลื่อนขึ้นมาหรือวิ่งออกมาได้(เรื่องนี้เขาเอานักดนตรีมาแล้วทำ stand ให้นั่งบนเวทีเลยนะ) 3) บันไดลิงที่ติดอยู่กับด้านข้างของเวทีที่เปิดออกมากได้ มีแค่นี้จริงๆ พี่แกไม่เปลี่ยนฉากเลย ใช้อุปกรณ์ต่างๆที่หิ้วออกมา และการยิงไฟ ทำให้เรารู้สึกว่าฉากเปลี่ยนไปได้ แต่ก็อย่างว่าฉากมันอยู่ในคุกเกือบตลอด แต่ความจริงก็มีฉากนอกคุกนะ พูดไปพูดมาขัดกันเอง ช่างมันสรุปว่า ชอบมาก รู้สึกว่ายกไปเล่นกันที่ข้างถนน เขาก็ยังเล่นได้

ดูเรื่องนี้แล้วได้ความรู้สึกที่ว่า ละครเพลงที่ดีและสนุกไม่จำเป็นต้องอลังการเสมอไป