วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หนัง 5 เรื่องที่ไปดูช่วงนี้

พอเริ่มเรียนแล้วเลยไม่มีเวลาอัพเลย T_T (แต่ยังมีเวลาไปดูหนังนะ) เลยมาอัพ รวดเดียวแต่ละเรื่องก็คงเขียนสั้นๆ

Night at the museum II

เป็นหนังที่ตลกแบบน่ารักๆ จากภาคแรกที่ดูเรียบๆ ภาคนี้เพ้อเจ้อมากขึ้น เพราะพิพิธภัณฑ์ใหญ่ขึ้น เนื้อเรื่องหลัก็ไม่มีอะไรมาก ตอนที่ฆ่าตัวร้ายก็ง่ายๆ แต่ที่ทำให้หนังน่ารักก็คือการสอดแทรกมุขแปลกๆ เข้ามาตลอดเรื่อง และจำสิ่งต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์มาผูกกันเป็นเรื่องได้ และจากที่คราวนี้พิพิธภัณฑ์ใหญ่ขึ้นมาทำให้ในแต่ละฉาก ด้านหลังมีอะไรแปลกๆ ให้ดูเยอะ เช่น น้องหมาลูกโป่งที่โดดดึ๋งๆ ชอบพวกคุณไอสไตน์หัวดึ๋งๆเอามากๆ เหมือนฉันจะชอบอะไรดึ๋งๆ นะเนี่ย แล้วก็ชอบคิวปิด เพราะหน้าตามันเจ้าเล่ห์มากๆ อ่ะ หุหุ สรุปว่าใครชอบหนังตลกแนวน่ารักๆ เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ควรดู

Terminator4

เรียกได้ว่าเป็นหนังดูเอามันส์ สนุก ยิงกันระเบิดระเบ้อ ชอบที่หนังต่อกับ 3 ตอนแรกได้อย่างแนบเนียน อะไรที่เคยบอกไว้ก็มีเอามาเล่าใหม่ทำต่อ แต่ยังไม่ประทับใจเท่าตอนที่ภาค 3 มันย้อนกลับมาเป็นหุ่นยนต์ครองโลก ตอนนั้นรู้สึกว่าหนัง 3 ภาคมันอ้อมมาบรรจบกันพอดี จุดอ่อนของหนังคงจะอยู่ที่ถ้าคิดลึกๆแล้ว จะยังงงๆ กับบทบางอย่างว่าทำไปทำไม เช่น หุ่นยนต์จะจับพ่อของจอห์นไปทำไม(จำชื่อมันไม่ได้แล้วอ่ะ) ทำไมไม่ยิงทิ้งซะก็จบแล้ว แต่ที่ชอบที่สุดคือมีหุ่นยนต์รุ่นอาร์โนลด์โผล่ออกมาด้วย หน้าตาหนุ่มเชียว(ฮอลิวู้ดทำได้!!!) ถึงแม้จะออกมาแป๊บเดียวแล้วโดนเผาหน้าทิ้งก็เหอะ (รู้นะว่าขี้เกียจทำเยอะ เดี๋ยวไม่เนียน)

17 again

เข้าไปดูเพราะหนังหน้าแซค (พระเอก) ดูตัวอย่างไปหน่อยนึง รู้แต่ว่าพระเอกกลับไปอายุ 17 อีกครั้ง ตอนแรกนึกว่าจะย้อนอดีต แต่กลับกลายเป็นว่าเขากลับเป็นอายุ 17 ณ ปัจจุบันนี้แหละ หนังดีๆ อีกเรื่องที่สอนว่าให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันอย่ามัวแต่จมกับอดีต เพราะคุณจะพลาดอะไรดีๆ ในปัจจุบันไป

เป็นเรื่องของขายหนุ่มที่ยอมทิ้งความฝันที่จะเล่นบาสของตัวเองมาแต่งงาน เพราะแฟนดันท้อง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขากลับเอาแต่จมอยู่กับความสำเร็จในอดีต และบ่นๆๆๆ ตลอดเวลาว่าภรรยาของเขาขัดขวางความสำเร็จ จนในที่สุดก็ถึงจุดต่ำสุด เมียบอกเลิก งานก็ไม่ก้าวหน้า ลูกไม่สนใจ แต่แล้วเขาก็ได้โอกาสกลับไปอายุ 17 อีกครั้ง ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนเขาได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนอีกครั้ง เพื่อจะทำความฝันในอดีตให้สำเร็จ แต่หลังจากเข้าไปใกล้ชิด เขาก็พบว่าลูกๆ ของเขามีปัญหาที่ต้องการให้ช่วย โดยระหว่างนั้น ในร่างเด็กหนุ่ม เขามีโอกาสได้ใกล้ชิดกับภรรยาอีกครั้งและได้รับรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังจะเสียไปมันมากมายยิ่งนัก

หนังขายแซคค่อนข้างจะเยอะ ถ้าใครไม่ชอบตานี่ก็อย่าเข้าไปดูเลย ความจริงตอนดูแซคเล่น high school musical รู้สึกว่าน้องแกแต๋วๆ หน่อยหรือเปล่า แต่มาเรื่องนี้ไม่เป็นอย่างนั้น(หรือจะเพราะคนออกแบบท่าเต้นใน High school musical) ดูน้องแกทำหน้าทะเล้นโปรยเสน่ห์ให้สาวคราวแม่(ซึ่งความจรงิแล้วเป็นอดีตเมียตัวเอง) ก็อดอมยิ้มไม่ได้ แต่เรื่องนี้คงจะดูจึดชืดไปแลยถ้าไม่มีอีตาเพื่อนพระเอกจอมเพี้ยนผู้บ้าหนัง + เกม แต่รวยมากๆ แล้วดันทะลึ่งไปชอบครูใหญ่ของโรงเรียน

UP

ได้ดูช้ากว่าคนอื่นเพราะว่าไม่อยากดู 3D (3D มันมึน) แล้วมันไม่มีรอบ T_T (เลยได้ดู 17 again แทนไปใน week นั้น) เป็นชอบเรื่องนี้มากกว่า wall-e เยอะเลย ทีมผู้สร้างเดียวกับ Monster inc. ซึ่งเรื่องนั้นเป็นหนัง pixar ที่ชอบมาก ตอนแรกกะว่าจะไม่ไปดูเรื่องนี้แล้ว เพราะตอนดูตัวอย่างเห็นแต่ตาแก่ขี้บ่น เด็กอ้วน และบ้านบินได้ และแล้วก็เห็นตัวอย่างอีกอัน มีคุณนก กับ หมาพูดได้ น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เลยไปดูซะ อาจจะเป็นเพราะตัวอย่างไม่ค่อยมีอะไรก็ได้มั้งเลยคิดว่ามันน่ารัก เพราะอย่าง wall-e มีตัวอย่างไม่รู้กี่อัน แทบจะรู้ฉากไปครึ่งเรื่องแล้ว ดูจริงๆ เลยรู้สึกว่าค่อนข้างน่าเบื่อ แต่จะว่าไปแล้ว Nemo ที่ทุกคนชอบ เราก็ไม่ได้ชอบมากเหมือนกัน เหอๆ

เข้าเรื่องดีกว่า ปู่ที่ตอนแรกเห็นเป็นตาแก่หัวดื้อธรรมดา สร้างความซาบซึ่งได้มากมาย เพราะปู่แกมีภรรยาแสนรักซึ่งสัญญากันไว้ว่าจะไปผจญภัยกันแต่ในที่สุดก็ยังไม่ได้ทำ จนเธอจากไป ปู่ก็เลยจะทำสัญญาให้เป็นจริงโดยเอาบ้าน(ซึ่งเป็นชมรมของเขากับเธอ) ลอยไปตั้งอยู่บนน้ำตกในสัญญากันไว้ เมื่อปู่ผู้มุ่งมั่น มาเจอกับลูกเสือที่ต้องการทำความดี(แต่ตัวเองทำอะไรไม่ค่อยได้เรื่อง) เดินทางไปพร้อมกัน และเจอนกพิลึกๆ กับหมาหน้าโง่ใส่ปลอกคอทำให้พูดได้ ความฮา น่ารัก และซาบซึ้งจึงบังเกิด

ส่วนที่ชอบในหนังก็คงเป็นความน่ารักของนกกับหมา ขำตอนนกไปแอบหลังหินมากๆ เลย แล้วน้องหมาก็ทำท่า point ได้น่าฟัดดีมากๆ (อยากจับมาเลี้ยง แต่คิดอีกทีมันจะทำบ้านพังไหมเนี่ย) แสดงว่าคนสร้างเรื่องนี้มีความเห็นตรงกับเรา ที่ว่า หมา golden เป็นหมาที่เป็นมิตร แต่หน้าโง่มากๆ (หุหุ) ชอบอีกตอนที่นกกลืนที่ช่วยเดินเข้าไป ตอนมันติดอยู่ตรงคอ น่ารักอย่างประหลาด(ชักเพี้ยนแล้วฉัน) แต่ตัวละครที่ชอบสุดๆ คงจะเป็นเอลลี่(เมียของปู่แก) ชอบมากตอนที่ปู่ดูบันทึกการผจญภัยแล้วเธอเขียนไว้ว่า ขอบคุณที่ร่วมผจญภัยมาด้วยกัน ถึงแม้จะไปได้ไปไหนอย่างที่เคยฝันไว้ แต่เธอก็เห็นชีวิตทุกวันเป็นความสนุกสนานและการผจญภัย

 

Transformer

ไม่รู้เพราะคาดหวังสูงหรือเปล่า แต่รู้สึกว่าก็สนุกนะแต่ไม่มาก ดูแล้วมันส์ดี ฉากอลังการ เนื่อเรื่องตอนแรกๆ รู้สึกว่าอืดๆ ไปหน่อย แล้วก็ตามความรู้สึกของเรา เนื้องเรื่องมันมึนๆ ไปหน่อย เหมือนจะมีการกล่าวถึงอดีตแต่ก็บอกไม่ละเอียด ทำให้บางจุดไม่ค่อยเข้าใจ ( - -)a  สรุปแล้วรู้แต่ว่ามันสู้ๆ กัน มี boss ใหญ่โผล่มา 1 ตัวฝั่งพระเอกชนะ หรือเพราะว่าจำภาคที่แล้วไม่ค่อยได้แล้วก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้เพราะอยากทำให้เหมือนกันการ์ตูนหรือเปล่า แต่ว่าตัวละครออกมาซะเยอะจนมึน ดูแล้วไม่รู้ว่าตัวไหนออโต้บอท ฝั่งไหน ดีเซปติคอน จำได้อยู่ไม่กี่ตัว ขนาดเมกตรอนยังแยกไม่ค่อยออกเลยว่าคือตัวไหน (หรือว่าฉันโง่เองนะ?) ไม่ค่อยเข้าใจว่าจะมี boss ทำไมเยอะๆ มีฟอลเล่น เมกตรอน แล้วยังมีลูกน้องมันอีกตัว(ที่ตอนจบหนีไปด้วยกัน) อีกอย่างที่ไม่ชอบคือ หนังเคลื่อนไหวเยอะ แต่ทำฉากแบบซูมๆ ดูแล้วมึนๆ บ้าง มองไม่ทันบ้าง (อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่แยกหุ่นยนต์ไม่ค่อยออก) ดันลืมบอกพี่เต่าว่าให้ซื้อตั๋วหลังๆ หน่อย (ปกติจะชอบนั่งตรงทางเดิน)

บ่นเยอะไปหน่อยไหมเรา ไม่ใช่ว่าไม่สนุกนะ แต่ไม่ค่อยโดนใจเท่านั้นเอง เขาไปดูฉาก ดูหุ่น ดูความมันส์ ก็คุ้มค่าอยู่

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

บริจาคเลือด หลังจากห่างหายมานาน(มากกก)

ไปบริจาคเลือดมาหลังจากที่ว่างเว้นไปนาน(น่าจะมากกว่าหรือเท่ากับห้าปี)

ที่ไม่ได้ไปไม่ใช่เพราะอะไร น้ำหนักไม่ถึง……………………………………………ไม่ใช่แล้ว!! (ตอแหลมาก)

หลังจากบริจาคครั้งแรกไปก็เป็นวัณโรคต่อมน้ำเหลือง

–> ชื่อเหมือนจะน่ากลัวแต่ว่า อาการที่เป็นก็แค่ต่อมน้ำเหลืองบวมนั่นแหละ พอไปตรวจหมอเลยผ่าออกมาตรวจ เจอว่าเป็น เลยโดนกินยาติดต่อกัน 6 เดือนห้ามขาด ไม่งั้นมันจะกลายเป็นวัณโรคดื้อยา

หลังจากหายแล้วเคยไปถามคุณหมอที่สภากาชาดว่าบริจาคได้ไหม เพราะเป็นโรคที่ต่อมน้ำเหลืองมันดูเกี่ยวกับเลือด คุณหมอบอกว่าไม่ได้(โดยไม่บอกว่าทำไม)

พักหลังมานี่รู้สึกว่าน้องสาว กับแม่ไปบริจาคเลือดแล้วเลือดจางทำให้บริจาคไม่ได้บ่อยๆ แล้วคนที่เลือดไม่จางอย่างเราดันบริจาคไม่ได้ซะนี่ ประกอบกับน้องสาวชอบเหน็บแนมว่าเธอไม่น่าเป็นโรคนั้นเลย เสียดายเลือดดีๆ (เหมือนเม็ดเลือดแดงของน้องกับของแม่มันไม่ค่อยสมบูรณ์) ประกอบกับ(รอบสอง) รู้สึกว่าในแบบสอบถามเขาไม่ได้ถามว่า “เคย” เป็นวัณโรคหรือเปล่า แต่เป็นอยู่หรือเปล่า

ก็เลยไปหาข้อมูล google ช่วยไม่ได้เลย - -“ มีแต่บอกว่าถ้าเป็นมะเร็งปกติจะไม่ให้บริจาคแม้จะหายขาดแล้ว เพราะว่าคนเคยเป็นมะเร็งร่างกายจะอ่อนแอ กลัวว่าบริจาคแล้วจะกลับมาเป็นใหม่ แต่เจอ web ของสภากาชาดไทย เลยลองไป post ถามดู ได้คำตอบมาว่า ปกติแล้วถ้าหายขาดแล้ว 2 ปี จะสามารถบริจาคได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์อีกครั้ง

พอดีแม่กับน้องสาวจะไปบริจาคเลือดก็เลยไปด้วยซะเลย ตอนแรกไปถามคุณเจ้าหน้าที่ เขาเหมือนจะไม่ให้ แต่พอบอกว่าใน web ว่าน่าจะได้ เขาเลยพาไปหาคุณหมอในห้อง คุณหมอคนแรกคุยๆๆๆ ถามว่าเป็นนานหรือยัง หลังจากหายหมอมีนัดตรวจทุกปีหรือเปล่า แล้วก็เหมือนไม่มั่นใจเลยพาไปหาหมอสาวๆ อีกห้องนึง(สงสัยมากว่าทำไม หรือคนแรกไม่ใช่หมอ) ก็เจอถามคำถามอีกประมาณเดิม ซึ่งก็บอกประมาณว่าไม่มีนัดตรวจ แต่ว่าก็มีตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี X-ray ปอดก็ไม่เจออะไร สรุปแล้วคุณหมอก็เลยบอกว่าหายแล้ว กินยาครบแล้ว บริจาคได้ เย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้ย้

ก็เลยไปเขียนใบบริจาค ซักประวัติ แล้วก็ตรวจความเข้มเลือด  บังเอิญไปเจอคุณหมอสาวๆ คนนั้นเลยคุยกันซะนานเพื่อความแน่ใจอีกรอบ สรุปว่าแม่ความเข้มเลือดไม่ผ่าน และแล้วนั่งรอแป๊บนึงก็ได้บริจาค จากคราวที่แล้วหน้ามืดไป คราวนี้เลยไม่กล้าบีบเร็วๆ พอเสร็จแล้วก็นอนพักจนเขามาถามว่าไม่ปวดหัวนะคะ ถึงลุกออกมา รอบนี้ก็ไม่หน้ามืดแม้แต่นิดเดียว

ออกมาจะไปเอารูปที่ถ่ายไว้ ฝนก็กระหน่ำลงมา ต้องกางร่มฝ่าฟันไปเอารูป แค่ตูบริจาคเลือดได้ ไม่ต้องฝนตกฉลองก็ได้นะ

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

มาดูหนัง thriller กัน : Thick as Thieves กะ The Horsemen

เมื่อวันเสาร์เรียนเสร็จก็ชิ่งไปดูหนังมา 2 เรื่อง

Thick as Thieves

หนัง excusive movie ที่ฉายแต่ SF บางโรงเท่านั้น เหมือนเรื่อง international ถ้าจะให้ sure ต้องไปดูที่ CTW เพราะว่าฉายตลอดรายการ ถ้าเป็นโรงอื่นมันจะฉายแค่ประมาณอาทิตย์เดียว

เข้าไปดูเพราะป็นหนังขโมย ชอบหนังขโมยมากๆ พวก Italian Job, Ocean Eleven แล้วก็ชอบมอร์แกน ฟรีแมน (อันโตนิโอจะทำหน้าหล่อช่างหัวมันชอบตาแก่นี่) เขาชอบเล่นเป็นบทนิ่งๆ คนบงการอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายดีหรือฝ่ายร้ายก็เหอะ

หนังก็สนุกใช้ได้ ถึงแม้ว่าตอนขโมยจะดูบ้านๆ ไปหน่อย ดูลำบากมาก(อ้าว! ก็ที่เซฟนั่นมันขโมยยากมากนี่นา) มันดูไม่เท่ห์แบบว่ามีการวางแผนสิบเอ็ดชั้นเพื่อให้ขโมยได้(แน่สิ ก็มีคนแค่สองคนจะใช้แผนซับซ้อนมาได้ไง) แต่ก็เป็นหนังขโมยนี่นะ ตอนจบขโมยก็ต้องชนะ มอร์แกน ฟรีแมนก็ลอยนวลหนีไปพร้อมกับของที่ขโมยไปได้ หุหุ ชอบที่พี่แกทำหน้านิ่งตอนจะโอนจับมากๆ มีการหักมุมอยู่หลายมุมเหมือนกัน บางมุมก็มองออก บางมุมก็แปลกใจตอนมันเฉลย แต่ก็รู้สิว่า….มิน่าล่ะ

spoil –> สรุปตอนจบพระเอก(อันโตนิโอ) เป็นตำรวจที่ปลอมตัวมาเพื่อจับมอร์แกน ฟรีแมน มิน่าล่ะบุคคลิกพี่แกไม่เหมือนโจรเลย เหมือนพวกตำรวจจะล่กๆ หน่อยนึง ตอนดูจบไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว มอร์แกน ฟรีแมนเอาพระเอกมาช่วยเพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นตำรวจเลยวางแผนไว้ แต่ว่าทางพระเอกคิดจะทำยังไงให้มอร์แกน ฟรีแมนรับเข้ามา ถ้าเฮียแกดันไม่ตามไปเห็นพระเอกขโมยเพชรตอนแรกจะทำยังไงฟะ - -“

ปล. excusive movie เรื่องต่อไป Righteous Kill หนังตำรวจแอบไปฆ่าผู้ร้ายที่ศาลปล่อยตัวไป ชอบๆ แนวนี้อีกแล้ว

The Horsemen

หนังแนว seven (ไม่ใช่ 7-11 นะ) แต่ภาพออกจะโหดกว่า(rate R จ้ะ) เป็นเรื่องของการฆ่าเลียนแบบในไบเบิล(อีกแล้ว) ซึ่งทำตัวเป็น 4 อัศวินม้า(ถึงชื่อ horsemen) และฆ่าเหยื่อ 4 คน ใครจะถูกฆ่าบ้าง และเพื่ออะไรนั้น พระเอกก็ต้องตามสืบแล้วล่ะ

เรียกได้ว่าสนุกนะ ชอบบุคคลิก ของคนร้ายแต่ละคนที่ต่างๆ กันไป เด็กนั่นหลอนดี คุณหมอก็เก่งเวอร์ แต่ว่าการดำเนินเรื่องบางส่วนยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ มันไม่ค่อยรู้สึกว่า ตึ๊ง! เหยื่ออีกรายโดนฆ่าแล้ว แต่มันราบเรียบไปหน่อย(ทั้งๆ ที่ภาพน่าจะกระชากความรู้สึกได้มากๆ) แล้วก็จบได้บ้านๆ อีกแล้ว แต่โดยรวมถือว่าดีนะ

ได้ดูเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าการทำอาชีพที่เป็นคนของประชาชนก็ลำบากนะ ความจริงก็เห็นในหนังหลายๆ เรื่องแล้ว ถ้าทำอาชีพพวกตำรวจ หมอ ถ้ามีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ทำอยู่ หรือถ้าคนไข้ของตัวเองมีปัญหา คนอื่นก็คงคาดหวังให้ต้องรีบไปหาทันที ทั้งๆ ที่เหตุการณ์นั้นจะเล็กหรือใหญ่ก็ไม่รู้ ถ้าไม่สนใจก็โดนว่าอีก เวลาที่ให้ตัวเองและครอบครัวก็คงจะเหลือน้อย ต้องมีครอบครัวที่เข้าใจกัน

ใครที่ชอบบอกว่าต้อง balance ชีวิตส่วนตัวและชีวิตทำงานให้ได้ ลองมาทำงานแบบนี้ดูสิ คุณก็คงเป็นได้แค่หมอหรือตำรวจห่วยๆ เท่านั้น

วันนี้เขียนได้สั้นแฮะ เหมือนพักนี้ไม่ค่อยมีสมอง~~

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

5 Movie / Indian Food / Parfait

ชีวิตช่วงนี้ยุ่งๆ เลยไม่ค่อยมีเวลามา update blog เลย
ช่วงที่หายไปก็เลยไปดูหนังมาแล้วทั้งหมด 5 เรื่อง ดังนั้น entry นี้จึงยาวมาก(ทำไมไม่แตกเป็น 2 entries ล่ะยะ)

1) Monster vs Alien

ไปดูแบบที่เป็น 3D มา จัดว่าใช้ได้ แต่ยังไม่รู้สึกว่าการทำเป็น 3D จะช่วยให้สนุกมากขึ้นหรือภาพสวยขึ้นมากมาย ที่ชอบก็คือไม่ได้มีฉากไหนที่ตั้งใจ present 3D มากจนเกินงาม (3D ตอนนี้ที่ชอบมีแค่เรื่อง Polar Express หรือว่ามันเป็นเรื่องแรกเลยประทับใจหว่า?)
พูดถึงตัวเนื้อเรื่อง ตัวเนื้อหาและโครงเรื่องก็ดีนะ เป็นเรื่องของมิตรภาพในหมู่มอนสเตอร์ การที่คนไม่ยอมรับพวกเขาแม้พวกเขาจะช่วยโลกไว้ ผู้ชายห่วยๆ ที่ไม่ควรจะไปยึดติดกับเขา และความภูมิใจว่าเราก็ทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยโลกได้ แต่มุขบางส่วนออกจะแป๊กไปหน่อย ช่วงแรกๆ ดูน่าเบื่อ(แต่เชื่อเรามากก็ไม่ได้เพราะเรามักจะไม่ขำตรงที่คนอื่นเขาขำกัน) ตัวการ์ตูนแต่ละตัวยังไม่มีตัวไหนที่ปิ๊งมากๆ Bob ที่ดีเหมือนจะตลกก็เพิ่งมารุ้สึกว่าตลกเอาช่วงหลังๆ อินเซคโกซอรัสหน้าตาประหลาดเกิน - -“ เข้าใจว่าไม่ได้ขายความน่ารัก แต่ทำให้มันน่ารักหน่อยก็จะดีนะ

2) Race to Witch Mountain

หนังแนว Disney เมื่ออีตาพระเอกซึ่งเป็นคนขับแท็กซี่ดันรับเด็กสองคนไปส่งที่บ้านร้าง แต่เด็กสองคนดันเป็นมนุษย์ต่างดาวซะนี่ มนุษย์ต่างดาวสองคนถูกตามล่า และถ้าพวกเขารอดกลับดาวไปไม่ได้โลกจะถูกทำลาย พระเอกก็เลยต้อช่วยล่ะทีนี้
ไม่รู้เพราะเขียนบทให้เข้ากับ The Rock หรือไง รู้สึกดีกรีความใส style disney ลดลงเยอะ ถึงแนวเรื่องจะเดิมๆ ก็เหอะ แต่ว่าในรายละเอียดมันขาดๆ ยังไงไม่รู้ ออกมาแล้วรู้สึกไม่อิ่ม แล้วก็ฉากที่ชอบไปอยู่ในตัวอย่างหนังหมดแล้ว เลยไม่ตื่นเต้นเท่าที่ควร
ปล. ยังมีฉากมันส์ๆ หลายฉากที่ไม่อยู่ในตัวอย่างหนังนะ แต่ว่าฉากที่เราชอบไม่ใช่แนวไล่ยิงกันนี่นา

3) International

หนังที่ฉายเฉพาะ SF บางสาขาเท่านั้น เป็นเรื่องเกี่ยวตำรวจที่ตามสืบเรื่องธนาคารแห่งหนึ่ง แต่ทุกคนที่รู้เรื่องหรือขวางทางธนาคารแห่งนั้นกลับถูกฆ่าทั้งหมด สุดท้ายแล้วพระเอกจะทำอย่างไร จะหาพยานไปขึ้นศาลได้หรือไม่ หรือมีวิธีอื่นจะกำจัดคนชั่วเหล่านี้ได้
หนังแนวเรื่อยๆ สืบสวนสอบสวน ถ้าไม่ตั้งใจดูตลอดจะไม่รู้เรื่อง น้องสาวบอกว่าน่าเบื่อเล็กน้อย แต่เราว่ามันก็ลุ้นดีนะ หนังออกแนวตามหลักความจริง(ซึ่งไม่ค่อยตรงแนว ปกติจะชอบหนังแบบที่เป็นหนัง) สื่อออกมาให้เห็นว่า ถ้าจะสู้กับอิทธิพลก็มีสิทธิโดนฆ่า พระเอกก็ไม่ได้เลือกทางที่ถูกต้องเสมอไป บางครั้งทางที่ถูกต้องนั้นอาจจะไม่สามารถกำจัดคนชั่วได้ และถึงแม้จะตัดใจเลือกทางนอกกฏหมายแล้ว ก็ยังอาจจะกำจัดไม่ได้อยู่ดี(สรุปว่าคนเลวหนังเหนียว) ทางที่ดีคือยิงทิ้งซะ แต่ถึงจะยิงหัวหน้าคนเลวทิ้งองค์กรก็ยังอยู่รอดได้โดยหาคนขึ้นมาเป็นหัวหน้าแทน (สรุปถ้าจะฆ่าต้องฆ่าล้างโคตร)

4) X-Men: Wolverine

ยังคงความมันส์ของ x-men อยู่ แล้วก็จะได้รู้ว่าทำไมเฮียแกถึงความจำเสื่อม ตัวละครหลายๆ ตัวก็โผล่หน้ากันมาคนละนิดละหน่อย รวมๆ แล้วก็นับว่าดีนะ ชอบตัวละครหลายๆ ตัวทั้งซีโร่ คุณดาบซามูไร(ชื่อเว้ด หรือเปล่าหว่า) คุณคนหายตัวได้ คุณคนทำไฟติดได้ก็สะดวกดีนะ หน้าตาเบื่อโลกดีด้วย แต่ไม่ชอบตาอ้วน เผละไปนิดนึงนะ แกมบริท(สะกดอย่างนี้หรือเปล่า?) ดูในตัวอย่างเหมือนจะเท่ห์ แต่ในหนังตัวประกอบมากๆ มีฉากที่ดูดีมากแค่ที่ออกมาในตัวอย่างนั่นแหละ
โดยรวมดี และจะดีมาก ถ้าพระเอกเอาเล็บที่เป็นเหล็กไปฟันกับเหล็กอื่นๆ(เล่นลูกกรง) ให้น้อยกว่านี้หน่อย = = ไม่ชอบเสียงมันอ่ะ เสียว แล้วก็มีโทรศัทพ์ประมาณไม่ต่ำกว่าสามรอบ แล้วเสียง message อีกสองสามรอบ จะเข้าโรงหนังปิดมือถือได้ไหมเพ่ แล้วมือถือพี่เต่าที่ฝากไว้ในกระเป๋าก็สั่นอีก ถ้าไม่มีเสียง+สั่น รบกวนจะดีมากๆ เลย


คั่นรายการ : อาหารอินเดีย & พาร์เฟต์

เมื่อวันฉัตรมงคลไปกินอาหารอินเดียกับน้องสาวมาชื่อร้าน Spicy Maharaja แปลเป็นไทยว่า เผ็ดร้อนมหาราชา <--จิ้มแล้วจะเข้า web ได้ ถ้าดูเป็นภาษาไทยจะขำมาก พี่แกเล่นแปลทุกอย่างเลย Central World กลายเป็นห้างสรรพสินค้าโลกศูนย์กลาง(อืม..ต้องแปลจากหลังมาหน้า ถูกต้องแล้ว!) ร้านนี้มีบุฟเฟต์ตอนกลางวันด้วย 290++ แต่ว่าดูเมนูในบุฟเฟต์แล้วไม่ได้เป็นเมนูที่อยากกิน ก็เลยเอาตามสั่งดีกว่า
สั่ง garlic cheese nan, แกง Kashimir Spinach with mushroom , Golden Tandoori Mix  อร่อยดี แล้วก็ไม่เผ็ดเลย ตามที่เขา review กันเขาบอกว่ามีความเป็น 5 ระดับ แต่เขาไม่เห็นให้เราเลือกระดับเลยอ่ะ สงสัยทำระดับต่ำสุดมาหรือเปล่าเนี่ย นั่งไปทั้งร้านไม่มีคนเลย รู้สึกแปลกๆ สรุปแล้วรสชาตอาหารอร่อยดี ความจริงอยากกินอย่างอื่นอีก แต่ไปกินกันสองคนแค่นั้นก็อิ่มแล้ว ไว้คราวหน้าแล้วกันนะ กินสองคนหมดไป 848 บาท(ราคาอาหาร++) เลขสวยงามจนเจอพนักงานเล่นมุขด้วยว่าให้เอาเลขไปแทงหวย
หลังจากออกจากร้านอาหารอินเดียก็ไปต่อที่พาร์เฟ่ต์แบบญี่ปุ่นที่ร้าน MURAHATA (ไหนบอกอิ่มแล้ว) เห็นจากที่เขา review กันก็ราคาทำให้กระเป๋าเบาอยู่เหมือนกัน แต่ความอยากชนะทุกสิ่ง
ไอติมมาแล้ว (ถ่ายด้วยกล้องมือถือ ไม่ค่อยชัด ของจริงน่ากินกว่านี้มากมาย)


ดูทีละอันซิ ของน้องสาว Chocolate Parfait

ของเรา Pudding Parfait

กินล่ะนะ
   
อร่อยมาก~~ นอกจากไอติมที่อร่อยอยู่แล้ว อันที่เป็นพุดดิ้งข้างในมีวิปครีมแสนอร่อย ส่วนชอคโกแลตข้างในมีไอติมชอคโกแลตสุดอร่อยอยู่ด้วย อิ่มจัง ตังค์หายหมด ค่าเสียหาย 410 บาท (ร้านนี้ไม่มี++ นะจ๊ะ)

5) The Haunting in Connecticut

กินอิ่มแล้วก็ไปเดินเล่นร้านการ์ตูนแป๊บนึงแล้วก็ไปดูหนัง เจอกล่มเด็กวัยรุ่นอยู่ข้างหลัง - -“ เซ็ง แต่ก็พอทำใจไว้แล้ว หรืออาจจะเพราะกินไอติมมาเลยอารมณ์ดี ทำให้ไม่รำคาญมาก
เป็นหนังผีที่น่ากลัวใช้ได้ แต่น่ากลัวแบบฝรั่ง จะไม่หลอนแบบผีเอเชีย(แต่เราว่ามันน่ากลัวกว่า 4 แพร่งอีกนะ) มีหักมุมุเล็กน้อย แต่สิ่งที่ชอบในหนังเรื่องนี้คือ หนังผีมีเนื้อเรื่อง!! หนังผีปกติไม่มีเนื้อเรื่องเหรอไง? มันก็มี แต่ว่าหนังผีปกติเรื่องมันจะเป็นแบบเอาพระเอกนางเอกไปตั้งไว้ที่ไหนสักแห่ง แล้วก็ดันออกมาไม่ได้ รถเสีย บ้านล็อค ถนนโดนตัดขาด อะไรสารพัด แล้วก็มีผีหรือฆาตรกรโรคจิตโผล่มา แล้วก็โรคจิตจริงๆ คือไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร ทำได้แค่วิ่งหนี
แต่เรื่องนี้มันมีเหตุว่า พระเอกต้องมาเข้าโรงพยาบาลแถวนี้เลยต้องมาเช่าบ้านอยู่ (ซึ่งบ้านนี้ถูกพอที่จะเช่าได้) มีเหตุผลว่าทำไมพระเอกเห็นผี ทำไมผีถึงออกมา และจะกำจัดผีได้อย่างไร ถึงแม้ว่าบางส่วนจะยังงงๆ หรือไม่มีเหตุผลบ้าง แต่ถ้าทำตัวมีเหตุผลทั้งหมดหนังก็ไปไม่ได้น่ะสิ(แก้ตัวน้ำขุ่นๆ) แหม ขนาดในชีวิตจริง บางเหตุการณ์ บางการกระทำยังไม่เหตุผลเลย นับประสาอะไรกับหนัง

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552

Bolt

สอง week ที่แล้วเหมือนกันถัดจากไปกินข้าวกับเพื่อน ก็ไปกินข้าวกับน้องที่ทำงาน ทำให้ได้ดู bolt

เรื่องย่อ

Bolt น้องหมาดาราดังที่เชื่อว่าตัวเองมีพลังพิเศษ และเข้าใจว่าชีวิตที่กองถ่ายสร้างขึ้นเพื่อถ่ายทำทีวีซีรีย์นั้นเป็นชีวิตจริงๆ ของเขา แต่แล้ววันหนึ่งเขาได้หลุดออกไปนอกกองถ่ายด้วยเหตุบังเอิญ และพยายามตามหาเพนนี เจ้านายที่ถูกผู้ร้ายจับตัวไปอย่างสุดความสามารถ โดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นเป็นแค่เรื่องในทีวี ระหว่างทางเขาได้พบกับเพื่อน คือน้องเหมียวผู้ต้องปากกัดตีนถีบกับความเป็นจริง และเจ้าหนูแฮมเตอร์ที่เชื่ออย่างสุดใจในโลกของภาพยนตร์ที่ bolt แสดง ทั้งสามตัวจึงเดินทางไปด้วยกันเพื่อตามหาเพนนี และก็ทำให้ bolt ได้เรียนรู้ว่าแม้จะไม่มีพลังพิเศษก็สามารถเป็นฮีโร่ได้…ในโลกแห่งความเป็นจริง

การ์ตูนแนว disney เต็มๆ เลย แม้ว่าจะไม่มี pixar disney ก็ทำ animation ได้นะ

สิ่งที่ชอบ

  • แนวดิสนี้ดิสนี่ที่ love love อยู่แล้ว การ์ตูนแนวน่ารักดูแล้วอมยิ้มให้คติสอนใจ ชอบมากค่ะ (อีนี่บ้าไปแล้ว)
  • ดึง charactor สัตว์แต่ละตัวออกมาได้น่ารักดีมากๆ Bolt ตอนทำหน้าตาหงิงๆ น่าตาน่าฟัดมากๆ นกพิราบก็หน้าเอ๋อได้ในสุดๆ (แทบอยากไปจับแถวสนามหลวงมาเลี้ยงสักตัว) น้องแมวในกองถ่ายก็เป็นคู่หู ชั่ว&เอ๋อ ที่น่ารัก น้องแฮมก็พูดจาได้น่าหมั่นไส้มากๆ ชอบน้องแมวหิมาลายันในกองถ่ายอ่ะเอ๋อแต่ยังอยากจะแกล้งหมาอีก เห็นน้องแมวแล้วนึกถึงพิงกี้&เดอะเบรนด์ เห็นพิราบแล้วนึกถึงพิราบเจ้าพ่อ(จาก Aninaniacs) เอ่อ…..ข้ามค่ายแล้วเธอ
  • ดูเจ้าแฮมเตอร์แล้วทำไมนึกถึง man of la mancha ก็ไม่รู้ มันเป็นสัตว์ที่ติดทีวีจนคิดว่าเรื่องในทีวีเป็นความจริง แต่สิ่งที่มันได้จากทีวีก็คือ จะต้องสุ้เพื่อความถูกต้อง ไม่ทอดทิ้งเพื่อน ไม่ท้อแท้… ถึงจะเพี้ยน แต่ก็เพี้ยนในทางที่ดีนะ ตรงนี้ดูแล้วก็รู้สึกอีกอย่างว่าการให้เด็กดูแต่หนังที่ดีๆ มันก็คงสามารถปลูกฝังสิ่งดีๆ ลงไปให้เด็กได้เหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นแค่เรื่องที่พ่อแม่บางคนเห็นว่าไร้สาระก็เถอะ มันขึ้นอยุ่กับว่าเราจะเก็บเกี่ยวอะไรออกมาจากหนังมากกว่า
  • ไม่รู้ความจริงเป็นแบบนี้หรือเปล่า แต่หนังพูดถึงวงการภาพยนตร์ได้กระแทกใจมากๆ เช่น เรื่องทำทุกอย่างเพื่อ rating เรื่องที่คุณผู้จัดการไม่สนใจอะไรเลยนอกจากสัมภาษณ์กับถ่ายแบบ ขำตอนจบมากๆ ที่มีการเปลี่ยนตัวแสดงเพราะเพนนีไม่ยอมเล่นแล้วเลยเขียนบทว่าเพนนีต้องเสียโฉมจนต้องไปศัลยกรรมหน้าตาเลยเปลี่ยนไป รู้สึกว่าถ้าความจริงมีเขียนบทอย่างนี้คงตลกน่าดู
  • สุดท้ายการอยู่อย่างสงบและมีความสุขก็ดีกว่าการเป็นดาราดัง และมีเงินทองมากมายสินะ

สิ่งที่ไม่ชอบ

  • รู้สึก น้องแมว มิสเทรส ไม่ค่อยเด่น charactor ไม่ชัดมาก อาจจะเพราะแมวเป็นตัวแทนของความเป็นจริงในโลกนี้ล่ะมั้ง ตอนแรกเหมือนเป็นพวกแมวเจ้าเล่ห์มาเฟีย แต่ทำไปทำมาก็เป็นแมวธรรมดา สักพักกลายเป็นแมวคนดี สอน bolt ในเรื่องต่างๆ แล้วก็มาเฉลยว่ามันเป็นแมวสุดเศร้าสร้อย แล้วก็ได้รู้ว่าสิ่งดีๆ ยังมีอยู่บนโลก ดูจะเป็นเรื่องธรรมดานะที่ตัวละครมีการพัฒนาแบบนี้ แต่นั่นมันต้องเป็นตัวเอกอ่ะ T^T สรุปดูไปแล้วมิสเทรสไม่ได้ทำอะไรเลยที่ดูแล้วรู้สึกว่า นี่แหละมิสเทรส น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกก
  • อันนี้ไม่เกี่ยวกับไม่ชอบหรอก แต่ชอบหนัง disney ที่มีร้องเพลงด้วยอ่ะ เรื่องหน้าขอเพลงด้วยนะ ^_^

Knowing

เมื่อ 2 week ที่แล้วได้วันศุกร์นัดไปกินข้าวกับเพื่อนๆ ก็เลยได้ไปดู knowing มา

Spoil เล็กน้อยถึงปานกลางถึงมากนะ ตรงไหน spoil มากๆ จะทำเป็นสีฟ้าๆ ไว้ แต่ระดับเล็กน้อยก็ยังคงเป็นสีดำอยู่ดี เพราะถ้าไม่ spoil จะเขียนไม่ได้ ดังนั้นถ้ากลัวดูหนังไม่สนุกอย่าเพิ่งอ่านแล้วกันนะ

ตอนแรกเห็นชื่อหนังกับหน้านิโคลัส เคจ ก็แซวเล่นขำๆ ว่าเป็นภาคต่อของ NEXT หรือเปล่า (สรุปว่าไม่ใช่)

เมื่อ 50 ปีก่อนที่โรงเรียนเพื่อฉลองการเปิดโรงเรียนหรืออะไรสักอย่าง โรงเรียนให้เด็กๆ วาดภาพว่าคิดว่าในอนาคตอีก 50 ปีโลกจะเป็นอย่างไร และใส่ Time capsule ฝังดินไว้ แต่ว่ามีเด็กผู้หญิงหลอนๆ คนนึงเขียนตัวเลขอะไรไม่รู้มากมายใส่ลงไปแทน ใน 50 ปีต่อมาลูกพระเอกเรียนอยู่โรงเรียนนั้นตอนพิธีเปิด Time capsule พอดี แล้วก็บังเอิญได้แผ่นกระดาษตัวเลขนั้นมาอีกด้วย

ทำไปทำมาพระเอกได้รู้ว่าในกระดาษนั้นทำนายถึงวันสิ้นโลกไว้ด้วย พระเอกจึงต้องหาทางที่จะต้องปกป้องลูกชายสุดที่รักของเขา

ส่วนที่ชอบ

  1. ตื่นเต้นและหลอนดี น้องสาวบอกว่าน่าเบื่อตรงกลาง แต่ว่าเราไม่รู้สึก ทำเสียงกระซิบได้หลอนมากๆ
  2. หนังเปิดมาก็โยนเรื่องว่าเหตุการณ์ในโลกนี้เกิดจากเหตุการณ์อื่นๆ(คล้ายๆ กับโชคชะตา คือมีเหตุการณ์วางไว้อยู่แล้ว) หรือเกิดเพราะเหตุบังเอิญ(ไม่สามารถคาดเดาใดๆได้) ซึ่งดูจะเป็นแกนของเรื่องทั้งหมด ว่าพระเอกเชื่อว่าเป็นความบังเอิญ แต่กลับมีการทำนายอนาคตได้ ดังนั้นเหตุการณ์ต่างๆ มันก็ควรเป็นโชคชะตาสิ ความจริงตอนดูก็ไม่ทันได้คิดหรอก แต่พอกลับมาคิดที่บ้านแล้วก็รู้สึกว่าชอบประเด็นนี้
  3. จบได้แนวดี ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สมจริงรับได้ ไม่ปาหมอนเกินไป ระดับความปาหมอนในความเห็นของเรา น้อยกว่า War of the world กับ pusher อาจจะระดับเท่ากับ the happening แต่ the happening ทำได้ smooth กว่า ขอบอกไว้ก่อนว่าหลายๆ คนไม่ชอบตอนจบของเรื่องนี้ –> เรื่องตอนจบเดี๋ยวไว้ว่ากันข้างล่างอีกทีแล้วกัน
  4. ชอบที่เขาเอามนุษย์ต่างดาวไปเปรียบเป็นฑูตสวรรค์ มันหักมุมจากที่ตอนแรกเห็นว่าดูเหมือนเป็นพวกหลอนๆ แต่ว่าตอนจบดูเป็นผู้ช่วยให้รอด(ปีกสวยดีด้วยชอบ) ความจริงตอนใกล้จะจบก็รู้สึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นแนวเรือโนอามาช่วยให้รอด แต่ก็เดาอยู่ว่าพวกนั้นจะเป็นมนุษย์ต่างดาว หรือคนในอนาคต คิดไม่ถึงว่าจะทำกระทั่งให้มีปีก

ส่วนที่ไม่ชอบและไม่เข้าใจ

  1. งงมากว่าอีตาพระเอกไปรู้ได้ไงว่าตัวเลขยาวเป็นพรืดนั่นคืออะไร คิดยังไงเอาไป search google ฟะ ทำไมไม่คิดบ้างว่ามันจะถอดรหัสออกมาเป็นตัวหนังสือ หรือเป็นทศนิยมไม่รู้จบของค่าอะไรสักอย่าง
  2. ชีวิตมันบังเอิญจัง บังเอิญว่าลูกชายพระเอกได้กระดาษมา บังเอิญว่าพระเอกทำเหล้าหกเลยไปสนใจกระดาษ บังเอิญว่าพระเอกขับรถไปตรงจุดพอดีเลยรู้ว่าเลขที่เหลือคืออะไร แต่เอาเหอะ ยังไงมันก็เป็นโชคชะตา
  3. ไม่ได้ไม่ชอบตอนจบนะ แต่สงสัยว่าพวกมนุษย์ต่างดาวมันจะมาทิ้งตัวเลขไว้ทำไม จะมาทำตัวหลอนๆ ทำไม ทั้งๆ ที่อุตส่าห์มาขโมยตัวเด็กไปทีหลังอยู่ดี แล้วที่ลูกพระเอกเขียนเลขออกมามันเพื่ออะไร เหมือนจุดเล็กๆ บางจุดถูกทิ้งไว้เป็นรูโหว่

ตอนจบของเรื่อง

หลายคนไม่ชอบตอนจบเรื่อง ตอนที่ดูก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่ชอบอะไร ตอนแรกเหมือนจะชอบด้วยซ้ำ แต่ยังรู้สึกว่าขัดๆ ชอบกล เลยมาวิเคราะห์ได้ว่า ชอบแนวคิดในตอนจบของมัน แต่ว่ามันไม่ค่อย smooth เลยรู้สึกแปลกๆ มีประเด็นกันเรื่องศาสนา เพื่อนบอกว่ามันจะโฆษณาศาสนาอะไรแบบนั้น แต่ว่าเราคิดว่าคนที่เป็นคริสต์จริงๆ อาจจะไม่ชอบก็ได้นะ เพราะว่าไปหาว่าพระเจ้าเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่ชอบตรงที่เอาเรื่องเรือโนอามานำเสนออีกแบบนึง อย่างที่บอกว่าคิดไว้แล้วว่าน่าจะเป็นแบบนี้ แต่ว่าตอนที่พี่แกบินขึ้นไปแล้วมีปีก ก็รู้สึกว่าเอาอย่างนี้เลยนะ นี่เป็นฑูตสวรรค์ version Si-Fi สินะ จบแล้วมันก็ดูสมจริงดี ในแง่ที่ว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นตามที่เราคิดหรอก แล้วก็วนมาที่ต้นเรื่องคือทั้งหมดเป็นชะตาลิขิต ถึงตีความออก ถึงไปสู่จุดหมายได้ ก็ใช่ว่าจะได้สิ่งที่หวัง แต่อย่างน้อยความหวังส่วนหนึ่งก็สำเร็จ(ลูกชายไม่ตาย) รู้สึกว่าเรื่องจะ complete กว่านี้มากๆ ถ้ามันมีคำตอบสักนิดว่าทำไม มนุษย์ต่างดาวถึงต้องกระซิบให้เด็กเขียนตัวเลขไว้(ตอนแรกก็คิดว่าเพื่อให้พระเอกพาลูกไปได้ถูก แต่ว่าพี่แกก็เล่นมาพาไปเองแล้วนี่นา) แล้วยังมีตอนที่ลูกพระเอกเขียนตัวเลขอีก(เขียนเฉยๆ ให้หลอนไปงั้น??) แล้วมนุษย์ต่างดาวก็ยังชอบโผล่มาทำตัวหลอนๆ อีก ไม่รู้เหรอไงว่ามันยิ่งทำให้เขาไม่กล้าไปด้วยน่ะ เหอๆ สรุปว่าตอนจบดี ตอนต้นน่ากลัวดี แต่เหมือนมันต่อกันไม่ลงตัว ที่บ่นนี่ไม่ใช่ไม่ชอบนะ เป็นหนังที่ชอบเรื่องนึงทีเดียว เลยคิดว่าน่าจะเขียนบทให้แน่นกว่านี้นะ - -“

ปล. สรุปว่า enty นี้มีตัวหนังสือที่ซ่อนไว้มากกว่า ตัวหนังสือปกติอีกนะเนี่ย หุหุ

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตง่วงงุน

ชีวิตช่วงนี้ช่างง่วงนอนเหลือเกิน เพราะต้องทั้งทำงานและเรียน แถมยังต้องดูหนัง เขียน blog อ่านหนังสือ เล่นเกม ไอ้กิจกรรมหลังๆ พยายามจะเพลาๆ ลงบ้าง แต่ก็ยังทำไม่ได้ (หรือว่ายังไม่คิดจะทำอย่างจริงจังมากกว่า) ช่วงนี้ก็เลยรู้สึกเอ๋อๆ เบลอๆ นิดหน่อย

ก่อนหน้านี้มีอารมณ์เหนื่อยไปทีนึงแล้วก็หาย ยังหาสาเหตุไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะมันเหนื่อยถึงจุด peak แล้ว หรือเพราะว่าเริ่มสวดมนต์ก่อนนอนอีกครั้งหลังจากที่เลิกสวดตอนไปอยู่หอที่ลาดกระบัง แต่พักนี้รู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ดีขึ้น ไม่ค่อยเครียด สมองมัน alert ยังไงก็ไม่รู้ เหมือนจะดี แต่บางทีก็รู้สึกว่าการที่มัน alert ทำให้ยังไม่รู้สึกตัวเท่าไหร่ว่าช่วงนี้นอนไม่พอ ซึ่งตอนนี้นับๆ ดูแล้ว นอนน้อยกว่าเมื่อก่อนเยอะ กลัวว่าจู่ๆ อารมณ์อดนอนมันจะระเบิดออกมาส่งผลเป็นอะไรสักอย่าง (ที่ตอนนี้ยังคาดเดาไม่ได้) รู้สึกเหมือนจะเริ่มเป็นหวัดอีกรอบแล้ว สงสัยเพราะนอนน้อย

เมื่อวันศุกร์ได้ไปกินข้าวกับเพื่อนๆ ลาดกระบังที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ตอนไปดันเจอรถติดมาก วันอื่นไม่เห็นติด ทีจะรีบ ติดเชียว เลยลงมาเดินจาก lotus พระราม 1 ไป CTW เหนื่อย - -“

เพื่อนๆ อาจจะเปลี่ยนไปบ้างคนละนิดหน่อย แต่พอมาอยู่รวมๆ กัน มาคุยกันอย่างนี้แล้ว ก็ให้ความรู้สึกเดิมๆ กลับมา (ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองพูดน้อยเพราะพักนี้นอนน้อยก็เหอะ) คิดถึงตอนเรียน ตอนที่ทำค่ายด้วยกัน ตอนที่ติวหนังสือกัน นั่งดูทีวีที่หอด้วยกันกับเพื่อนๆ ชักอยากจะกลับไปตอนนั้นใหม่ ไม่อยากเรียนจบเลย T^T

ทำงานแล้วเหนื่อยจัง แต่ชีวิตเราต้องก้าวไปข้างหน้าต่อไป ทำจิตใจให้สดใสไว้แล้วอะไรๆ ก็จะดีขึ้นเอง

 

ปล. ไปดู Knowing กับเพื่อนๆ แล้วก็ไปดู bolt กับน้องแฮทและน้องต้นมา ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังนะ

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2552

Slum dog Millionaire

ตอนแรกกะว่าจะเป็น entry เดียว แต่ว่ามันยาว แตกเป็น 2 อันแล้วกันนะ

ไปดูเพราะ 1) มันจะได้ oscar อะไรมากมาย 2) ชอบหนังสือเรื่องนี้มากกกกกกกกกกก

เรื่องย่อ: เด็กกำพร้าผู้ไม่มีการศึกษา ตอบปัญหาเกมเศรษฐีได้ทั้งหมด และได้เงินรางวัลไป เขาโกงหรือ?? เขาแค่บังเอิญรู้คำตอบของทุกคำถามที่รายการ(ดัน)เลือกมาถามเขา เพราะเขาเคยเจอสิ่งเหล่านั้นมาในชีวิตอันต้องดิ้นรนของเขาเอง

หนังสร้างมาจากหนังสือเรื่อง Q&A เกมชีวิตพิชิต 1,000 ล้าน แปลเป็นไทยโดยสำนักพิมพ์มังกรยิ้ม (รู้สึกว่าจะพิมพ์ใหม่โดยใช้ชื่อหนังแทน) ตอนนั้นซื้อมาเพราะลดราคา ไม่ได้คิดว่ามันจะสนุกมากหรอก แต่คนขายเชียร์ แล้วเรื่องย่อก็ฟังดูดี (ตอนแรกเห็นปกกับชื่อเรื่องนึกว่าเป็นหนังสือแนวพ่อรวยสอนลูก) คนขายบอกว่ากำลังจะทำเป็นหนัง ยังคิดในใจเลยว่า หนังอะไรไม่เคยได้ยิน แต่พออ่านไปแล้วคุ้มมากๆ ต้องไปขอบคุณคุณคนขาย

สิ่งที่ชอบในหนัง:  หนังสนุกดี ตื่นเต้นน่าติดตามตลอดเลย การปรับบททำให้หนังลื่นไหลไปได้ (ยังนึกสภาพไม่ออกว่าถ้าทำตามหนังสือทั้งหมดหนังคงออกมาประหลาดน่าดู) วิธีการเล่าเรื่องและวิธีสลับฉาก ที่ตำรวจถามคำถาม แต่ตัดไปเอาคำตอบที่พระเอกตอบในรายการแทน

สิ่งที่ไม่ชอบในหนัง:  เปลี่ยนหนังสือไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมเลย มีจุดเชื่อมกันเล็กๆ เท่านั้นเอง คำถามส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนไป อีกเรื่องคือพระเอกดูไม่ค่อยเอาไหนเลย ต้องให้พี่ชายช่วยตลอดเวลา (เหมือนในการ์ตูนที่พระเอกจะคุณธรรมมากๆ แล้วก็ต้องให้เพื่อนๆ มาช่วยกันสู้)

โฆษณาหนังสือสักหน่อย

อ่านหนังสือแล้วชอบมาก เพราะวิธีการผูกเรื่องการเล่าเรื่องที่ย้อนไปย้อนมาตามลำดับของคำถาม แทนที่ลำดับของเวลา ชอบที่บางครั้งพระเอกจะบอกว่า “เดี๋ยวคุณก็รู้” กับบางคำถามที่เขาถูกถามไประหว่างการย้อนความ เหมือนกับไม่ได้แค่บอกคนถามเท่านั้น แต่เป็นการทิ้งท้ายให้สงสัยว่า เดี๋ยวเรื่องนี้ต้องมีอะไรต่อแน่ๆ

ซึ่งสุดท้ายเรื่องไม่ได้เพียงแต่มาต่อกันแต่ยังมีปม หลายปม รายละเอียดหลายๆ อย่างที่เชื่อมกันอย่างลงตัว แถมยังมีหักมุมอีกต่างหาก

หนังโรงกับหนังสือ : ไม่รู้เพราะว่ารู้เรื่องมาก่อนหรือเปล่า ทั้งจากหนังสือ และถึงไม่รู้จากหนังสือ ดันไปอ่านเรื่องย่อในเวป แล้วเรื่องย่อพี่แกก็ spoil เต็มที่เลย =_= รู้สึกชอบหนังสือมากว่าเยอะเลย

การเล่าเรื่อง - ตอนแรกก็สงสัยอยู่ว่าหนังจะทำออกมาในรูปแบบไหน สรุปว่าหนังเปลี่ยนคำถาม และเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่องให้ลำดับคำถามเป็นไปตามลำดับเหตุการณ์ เพื่อความไม่งง ความซับซ้อนต่างๆ ปมเล็กปมใหญ่ ถูกตัดออกเกลี้ยง ซึ่งแน่นอนว่าในส่วนนี้หนังสือชนะไปขาดลอย รู้สืกเหมือนเห็นกระดาษที่เขาพับไว้เป็นรูปปราสาทสามมิติ แล้วก็มีคนแกะมันออกแล้ววาดรูปปราสาทหลังนั้นลงไปในกระดาษแทน T^T แต่ในส่วนนี้ให้อภัยได้ เพราะทำไปเพื่อความไม่งง

โครงเรื่องหลัก - จากในหนังสือที่เป็นชีวิตลำเค็ญ ต้องต่อสู้ชีวิตเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง กลายเป็นการตามหารักแท้ไปซะอย่างนั้น เลยรู้สึกว่าเรื่องมันเบาขึ้น ประเด็นหนักๆ หลายประเด็นก็ถูกตัดออกไป พระเอกถกเปลี่ยนชื่อจากประเด็นทางศาสนา เหตุผลที่ไปแข่งในรายการก็ดูต่างกันเยอะเลย

การจับพระเอกไป - ตอนดูรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่คิดอะไร ตอนนี้มาคิดดูรู้สึกว่ามันตลก เหมือนกับพิธีกรไม่อยากให้พระเอกได้รางวัลไป และการเรียกตำรวจมาจับเพราะว่าคิดว่าโกงจริงหรือเปล่า?? หรือแค่ไม่อยากจ่ายเงิน?? ในหนังสือเป็นประเด็นว่ารายการไม่มีเงินจ่าย เลยพยายามบอกว่าพระเอกโกง แต่เหมือนในเรื่องมันไม่ค่อยชัด เพราะสุดท้ายพี่แกก็ยังทำหน้าระรื่นแจกเงินไปอยู่ดี

ตัวละคร – หาสาเหตุไม่ได้แต่ตัวละคนหลายตัวในหนังสือดูมีมิติกว่า(ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร) อย่างเช่นคุณตำรวจในหนังก็ดูเชื่อพระเอกง่ายๆ ว่าไม่ได้เล่าเรื่องโกหก เพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่ในหนังสือคนที่ฟังพระเอกเล่าเรื่องไม่ใช่ตำรวจนะ หนังสือมีการผูกเรื่องอีกแบบที่ดูเข้าท่ากว่า พวกมาเฟียที่อ่านในหนังสือแล้วเป็นตัวประกอบที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ในหนังก็โผล่มาเหมือนจะมีบทเยอะ แต่ก็ไม่ได้บทเยอะแต่อย่างไร รู้สึกเหมือนมันกึ่งๆ ยังไงไม่รู้

พระเอก - ในหนังสือเท่ห์กว่าเยอะมาก พระเอกจะดูเป็นคนที่ปากกัดตีนถีบเลี้ยงตัวเอง และอยู่กับความเป็นจริง แม้จะมีทำผิดบ้างเล็กน้อย แต่รู้สึกว่าพระเอกเป็นตัวแทนของความถูกต้อง ไม่เคยโกงเขา หรือว่าขโมยของเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่พระเอกในหนังดูเหมือนเป็นพวกแกงค์เด็กที่มาหลอกตุ๋นนักท่องเที่ยว ที่ได้เป็นพระเอกเพราะมัวแต่เพ้อเจ้อถึงความรักสมัยเด็ก (สงสัยอย่างนึง ว่าพระเอกในหนังไปเรียนภาษาอังกฤษมาจากไหนหว่า)

นางเอก - ในหนังเด่นกว่าในหนังสือมากๆ ในหนังสือรู้สึกนางเอกเป็นตัวประกอบ จะบอกว่าชอบในหนังมากกว่าก็ไม่ใช่ เพราะถ้าเนื้อเรื่องเป็นแบบในหนังสือนางเอกก็ต้องไม่เด่นเป็นธรรมดา (แต่นางเอกในหนังหน้าตาน่ารักดี)

ซาลิม – เป็นเพื่อนพระเอกในหนังสือ เป็นพี่ชายพระเอกในหนัง สองที่นิสัยต่างกันแบบหน้ามือกับหลังเท้า คิดว่าคงให้เหมาะกับพระเอกที่ดูเอ๋อมากขึ้น ซาลิมเลยดูเหี้ยมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด น้องสาวชอบแบบในหนังมากกว่า แต่ว่าเราว่ามันก็ดูดีคนละแบบนะ สงสัยไม่ชอบในหนังเพราะมันนิสัยไม่ดี

เงินรางวัล - ดูไม่ได้ประโยชน์สักเท่าไหร่เลย ไม่ค่อยมีเหตุผลว่าทำไมต้องเล่นไปเรื่อยๆ ได้สิบล้านแล้วไม่รู้คำตอบก็หยุดสิฟะ ตรงนี้ spoil หนังเล้กน้อย --> อยากจะให้นางเอกเห็นก็หันไปที่กล้องแล้วพูดเลยว่าจะนัดเจอกันที่ไหน ไหนๆ จะไม่เน้นแล้วน่าจะหักมุมให้ตอบผิดไปซะเลย หรือไม่ก็น้ำเน่าให้สุดๆ พระเอกวิ่งออกไปเลยโดยไม่ตอบคำถาม ไม่เเหมือนในหนังสือที่พอชนะแล้วดูมีเงินเอาไปทำฝันให้เป็นจริง และที่หยุดไม่ได้เพราะอยู่ในช่วงได้เสีย ซึ่งหยุดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

วิจารณ์ซะเหมือนหนังไม่ดี ความจริงหนังก็สนุกดีนะ น่าไปดู แต่ชอบหนังสือมากว่าเท่านั้นเอง

Make it happen

ไปดูหนังมาอีกทั้งๆ ที่ไม่ค่อยจะมีเวลา

เป็นหนังแนวทำความฝันให้เป็นจริง ดูแล้วก็สนกดี เนื้อเรื่องเป็นไปตามที่คิด(ตามแบบฉบับของหนังแนวนี้)

เรื่องย่อ: นางเอกผู้ฝันจะเป็นนักเต้นมาแต่เด็ก เข้ามา Chicago เพื่อจะทดสอบเข้าโรงเรียนเต้นรำ แต่ว่าการสอบนั้นโหดกว่าที่เธอคาดไว้ จะกลับบ้านก็ไม่กล้าบอกที่บ้านว่าสอบตก โชคชะตานำพาให้เธอรู้จักกับคลับแห่งหนึ่ง ซึ่งทำให้เธอรู้จักการเต้นรำอีกด้านหนึ่ง ….

ความจริงเนื้อเรื่องมีมากกว่านี้ อันนั้นเป็นประมาณครึ่งเรื่องแรก ที่เหลือลองไปหามาดูกันเองแล้วกันนะ

สิ่งที่ชอบ:  นางเอกน่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกก เต้นเก่งอีกต่างหาก ชอบดูการเต้นในเรื่องจะดูเป็นหลายๆ แบบ โดยส่วนตัวชอบการเต้นแบบนี้มากกว่า hiphop หรือ break dance นะ แต่ถ้าเอามาผสมกันจะชอบมากที่สุด (แบบนางเอกทำตอนจบ)

สิ่งที่ไม่ชอบ:  ยังนึกไม่ออก ถ้ามีก็คงเป็นที่พระเอกเตี้ยไปหน่อย แต่ชอบพี่ชายนางเอกนะ หล่อดี

สิ่งที่ได้รับ: 

  1. บางครั้งความสามารถที่จะทำความฝันให้สำเร็จมีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำให้มันเกิดขึ้นหรือเปล่า
  2. การทำความฝันให้เป็นจริง อาจจะเป็นทางเดียวกับความเห็นแก่ตัวก็ได้ ความฝันบางอย่างที่เราอยากไล่ตาม มันก็ทำให้เราต้องทิ้งบ้าน ทิ้งเพื่อน ทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลังบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกอะไร การทำความฝันให้เป็นจริง หรือความจริงในปัจจุบัน

ปล. ถ้านางเอกทำกรรมการตาค้างได้ขนาดนั้น ไม่ต้องเรียนแล้วมั้งนั่น

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

สยามเมืองยิ้ม

วันนี้ตอนนั่งรถเมล์กลับบ้าน เห็นข้างๆ เป็นรถตุ๊กๆ บรรทุกถ่าน เอ๊ย!! ไม่ใช่ (เล่นมุขอะไรเนี่ยฉัน) เอาใหม่ เห็นรถตุ๊กๆ มีผู้โดยสารเป็นชาวต่างชาติ 2 คน แล้วก็ได้ยินเสียงลอยมาว่า อ๊าฟเต้อ แบงค์คอก แว ยู โก (After Bangkok where you go) คุณคนขับรถตุ๊กๆ ชวนฝรั่งคุยค่ะ สำเนียงพี่แกก็สำเนียงไทยสุดๆ ไม่รู้เพราะเสียงดัง หรือเพราะสำเนียง คุณฝรั่งต้องชะโงกหน้ามาฟังอีกรอบ สรุปว่าเดี๋ยวเขาจะไป Cambodia ต่อ(ไปแอบฟังเขาอีก)

ได้ยินแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมา ไม่รู้หรอกนะว่าคนขับเขาจะพูดภาษาอังกฤษเก่งหรือเปล่า แต่ฟังจากสำเนียงแล้วคงไม่ได้ใช้บ่อยๆ เป็นแน่ แต่ว่าเขาก็มีอัธยาศัยชวนคนนักท่องเที่ยวคุยเล่น ดีกว่าพวกเราที่น่าจะเคยชินกับภาษามากกว่าเขา พอได้ยิน Excuse me ก็คิดในใจว่า "ซวยแล้ว"

คนอย่างนี้แหละที่ทำให้เมืองไทยเป็น "สยามเมืองยิ้ม"

ปล. เมื่อวานดอกไม้ตรงทางเข้าประตูศิริราชบานเป็นสีเหลืองเต็มต้น ตัดกับสีเขียวของใบสวยมากๆ เลย แต่วันนี้มันเริ่มร่วงซะแล้ว

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552

Watchmen & Y-MBA & Chicago

สามอันนี้ไม่เกี่ยวกันเท่าไหร่หรอก แต่ว่าขี้เกียจเขียนหลายอัน

เมื่อ week ที่แล้วไปดู watchmen มา หนังมันอาร์ตยังไงไม่รู้ แล้วก็จบแบบยังไงไม่รู้ ทำเอาอธิบายไม่ถูก

ไม่ใช่ว่าไม่สนุกนะ ตอนดูก็เรื่อยๆ แต่มันจบแบบ แบบ แบบ ความจริงเกิ๊น(กรุณาขึ้นเสียงสูงเพื่อความสมจริง) ดูแล้วรู้สึกว่าไม่มีใคร perfect สันติภาพของโลกมันช่างจอมปลอม และโลกนี้ก็คงยังต้องฟอนเฟะต่อไป เมื่อไหร่ที่โลกสงบสุข อะไรๆ เจริญถึงขีดสุด เราก็คงไม่มีอะไรทำนอกจากตีกันเอง(ช่างเหมือนกับเหตุการณ์ใกล้ตัว เพียงแต่เรายังไม่ได้เจริญถึงขีดสุดนะ มาช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองดีกว่า)

สรุปแล้ว ถ้าถามว่าตอนดูสนุกไหม ก็สนุกดีนะ นับว่าเป็นหนังที่ใช้ได้ แต่ว่ามันเหมือนสารคดีเปรียบเทียบเหตุการณ์บนโลกมากไปหน่อย เราชอบหนังที่มันเวอร์ๆ มากกว่า (เวอร์ในที่นี้ไม่ใช่ว่าต้องยิงพลังใส่กัน หรือมีเขี้ยวงอก แต่ว่าพอดูแล้วรู้สึกว่าไอ้คนแบบเนี้ย มีในโลกด้วยเหรอ)

...........

เรื่องที่สอง ตอนนี้สอบติด Y-MBA จุฬา แล้วรู้สึกเวลาที่เหลือในชีวิตถูกเด็ดไป เพราะต้องเรียนวันเสาร์-อาทิตย์ (คิดอย่างนี้ไม่ดีใช่ไหม ต้องคิดว่าฉันอยากเรียน เรียนสนุกมาก ฉันจะต้องเรียนจบ)

ปกติเป็นคนชอบนอนเยอะ วันธรรมดานอนดึก ก็มานอนชดเชยเอาวันเสาร์อาทิตย์ พอเรียนเสาร์อาทิตย์ ก็อดนอนแล้ว T_T ช่วงนี้เป็นหวัดไม่รู้ว่าเกี่ยวกับที่นอนน้อยหรือเปล่า มีคนบอกว่าสักพักก็จะชินพอเลิกเรียนจะรู้สึกว่างๆ แต่เราไม่ค่อยเชื่อหรอก ตอนที่เรียนภาษาอังกฤษอยู่นาน พอเลิกเรียนรู้สึกลัลลามากๆ มีเวลาอ่านหนังสือ ดูหนังเพิ่มขึ้น(แต่ก็ยังไม่พอใช้อยู่ดี) เวลามีเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอเลยนะ

ช่วงนี้คนชวนไปไหนบางทีก็ไม่อยากไป ไม่ใช่ว่าไม่ว่างแต่อยากเอาเวลาว่างไปเป็นเวลาส่วนตัวบ้าง หนังสืออ่านไม่หมดเลยปีนี้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นหมด คิดว่าสัปดาห์หนังสือปีนี้จะงดซื้อหนังสือ เพราะไม่มีเวลาจะอ่าน

  • ติดพร้อมกับเตื้อย ก็เลยมีเพื่อนเรียนด้วยกัน
  • วันก่อน ITOne ได้ถูกตั้งชื่อใหม่เป็นบริษัท อิโตเน่เป็นที่เรียบร้อย (I-TO-NE) คนอ่านมันเห็นหน้าเราญี่ปุ่นหรือไงเนี่ย
  • ได้ไปสัมมนามาด้วยถ้าว่างอาจจะมาเล่าให้ฟัง(ฝันไปเหอะ ไปญี่ปุ่นมาเป็นเดือนแล้วไม่เห็นเขียนอะไรสักแอะ) - -" แฮะๆ รู้ได้ไง

ปล. ตอนนี้นับวันรอวันหยุดนักขัตฤกษ์เลย...........อีก 23 วันจะถึงวันจักรี

...........

ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นได้ไปดูละครเวที(ละครเพลง) Chicago มา

ซื้อตั๋วไว้ตั้งแต่ก่อนไปญี่ปุ่นแล้วเพราะว่าน้องสาวอยากดูมากถึงขนาดบอกว่าจะเอาแต๊ะเอียเลี้ยงพี่สาว เราก็ดูปฏิทินการสอบ สัมภาษณ์ ปฐมนิเทศ สัมมนา แล้วหลบวันเรียบร้อย(ทำเหมือนว่าติดแน่ๆ) สรุปว่าเขาดันเลื่อนวันปฐมนิเทศมาตรงกับวันที่ไปดู Chicago ซะนี่ (ฟ้าดินจะแกล้งหนูใช่ไหม)

ตอนนั้นต้องรีบซื้อเพราะว่าตั๋วมันลดราคาแค่ตอนนั้น แต่กลับมาสรุปว่ามันขยายเวลาลดราคาซะนี่ เซ็งเลย น่าจะรอประกาศผลก่อนแล้วค่อยซื้อนะ (เอาเหอะถือว่าจะได้ที่นั่งดีๆ)

ว่าแล้วเราก็เข้าไปเซ็นชื่อแล้วนั่งปฐมนิเทศสักชั่วโมงแล้วค่อยออกมา ซึ่งโดยความจริงแล้วได้ฟังแค่ 15 นาทีเพราะว่าเขาเริ่ม late ไปเยอะมากๆ แล้วเราก็ไปเที่ยวเล่น ปล่อยเตื้อยทำความรู้จักคนอื่นไป

คนที่แสดงเสียงดีมากๆ รู้สึกเหมือนกำลังฟังเสียงจากเทป(หรือซีดี)อยู่ เป็นละครที่สนุกดี นักแสดงเล่นกับคนดูค่อนข้างมาก มีการพูดว่าสวัสดีค่ะด้วย อย่างงๆ เป็นละครเพลงภาษาอังกฤษค่ะ แต่มีฉากที่เหมือนทักทายคนดูแล้วเขาทักทายคนดูเป็นภาษาไทย คงเป็นเพราะว่าเป็นละครแนวตลกด้วย

คนที่แสดงเป็นร็อกซี่เล่นได้น่ารักมากๆ ตัวละครร็อกซี่จะเป็นคนค่อนข้างเพ้อฝัน มีความเป็นเด็กอยู่ในตัวมาก แล้วก็ออกแนวแอ๊บแบ๊ว ซึ่งไม่ว่าตอนเต้นตอนพูด หรือทำอะไรก็ดูเธอจะทำท่าเป็นเด็กๆ ตลอด รู้สึกว่านางเอกไทยไม่ค่อยจะมีคนเล่นบทแบบนี้หรอก

ท่าเต้นก็ดีนะชอบ แต่ไม่ตื่นตามาก อาจจะเพราะว่าดูในหนังมาแล้วก็ได้

อีกอย่างที่รู้สึกดีมากๆกับ Chicago ก็คือ เห็นเลยว่าใช้ตัวแสดงน้อยมาก เห็นเลยว่าคนที่เต้นอยู่ข้างหลังเมื่อกี๊ออกรับอีกบทนึง เดี๋ยวก็ไปรับบทอื่นอีกแล้ว คือนอกจากตัวเอกหกเจ็ดคนแล้ว ที่เหลือก็วิ่งวนไปวนมาบนเวทีนั่นแหละ ความจริงละครเพลงไทยก็อาจจะใช้คนเดียวกันสับเปลี่ยนก็ได้นะ แต่ว่าเรื่องนี้พี่แกไม่ได้เปลี่ยนชุดน่ะสิ(คงถือว่าไอ้ชุดที่ใส่มันใช้ได้กับทุกสถานการณ์)

อีกเรื่อง(ทำไมอีกบ่อยจัง) เขาใช้ฉากได้ simple มากๆ สิ่งที่เห็นขยับได้มีแค่ 1)เก้าอี้ที่ยกไปยกมา(ความจริงเก้าอี้น่าจะนับเป็นแค่อุปกรณ์ไม่ถือเป็นฉากนะ) 2)เวทีตรงกลางของวงดนตรีที่เปิดให้คนเลื่อนขึ้นมาหรือวิ่งออกมาได้(เรื่องนี้เขาเอานักดนตรีมาแล้วทำ stand ให้นั่งบนเวทีเลยนะ) 3) บันไดลิงที่ติดอยู่กับด้านข้างของเวทีที่เปิดออกมากได้ มีแค่นี้จริงๆ พี่แกไม่เปลี่ยนฉากเลย ใช้อุปกรณ์ต่างๆที่หิ้วออกมา และการยิงไฟ ทำให้เรารู้สึกว่าฉากเปลี่ยนไปได้ แต่ก็อย่างว่าฉากมันอยู่ในคุกเกือบตลอด แต่ความจริงก็มีฉากนอกคุกนะ พูดไปพูดมาขัดกันเอง ช่างมันสรุปว่า ชอบมาก รู้สึกว่ายกไปเล่นกันที่ข้างถนน เขาก็ยังเล่นได้

ดูเรื่องนี้แล้วได้ความรู้สึกที่ว่า ละครเพลงที่ดีและสนุกไม่จำเป็นต้องอลังการเสมอไป

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

แบตเสื่อม

เอนทรีบ่น ไม่อยากอ่านแล้วเซ็งข้ามๆไปเลยไม่ต้องอ่านก็ได้นะ

พักนี้รู้สึกเหนื่อยง่ายจัง อยากทำโน่นทำนี่แต่ไม่มีแรง พอทำอะไรหลายๆ อย่างเข้าก็นอนน้อยอีก พอนอนน้อยต่อมรำคาญจะโต

ไอ้ที่ไปเที่ยวมาเนี่ยมันสลายไปไหนหมดไปรู้ ท่าจะ charge ไม่เข้าซะแล้ว ต้องหาทางเปลี่ยนแบต ไม่งั้นก็ต้องเปลี่ยน.... ซะแล้ว

ตอนนี้รู้สึกต่อมรำคาญมันเริ่มใหญ่ขึ้นทุกที เฮ้อ คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะปรับตัวได้ ใครเข้ามาใกล้แล้วเหวี่ยงโดนก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าแล้วกัน

สองวันนี้ได้อยู่แบบไม่ online แล้วรู้สึกดี เหมือนได้รับความรู้สึกเก่าๆกลับมา (ตั้งแต่เด็กจนจบมหาวิทยาลัยเราไม่เคยเล่น MSN เลย) ทำให้รู้สึกว่าเราเป็นคนที่ skill ด้านสังคมต่ำจริงๆ ด้วย

เคยรู้สึกกันบ้างไหมว่า ปล่อยกูไว้เฉยๆ ได้มั้ยกูอยากอยู่คนเดียว บางทีเราก็รู้สึกบ่อยๆ จนกลัวตัวเอง

แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่รู้สึกอยากไปเฮฮากันเป็นกลุ่ม อยากมีเพื่อนที่ชวนไปไหนเมื่อไหร่มันก็ไปด้วย

แต่ถ้ามึงชวนกูตอนเหนื่อยๆ กูไม่ไปนะ :P  เห็นแก่ตัวไปหน่อยไหมเรา แต่ความเป็นจริงมันก็เป็นอย่างนั้นไม่ได้นี่นา น่าจะเลี้ยงหุ่นยนต์ทาสไว้ตามใจเราสักตัวนะ

ปล. ใช้คำสุภาพเกินไปหน่อย พอคิดถึงว่าต้องเรียนเสาร์ อาทิตย์ไปอีกสองปี แล้วก็.... จะชินได้ไหมเนี่ย

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Confessions of a Shopaholic

เป็นหนังที่ต่างจากเบนจามินอย่างสิ้นเชิง

เข้าไปดูเพราะว่าติดใจหน้าตานางเอกตอนได้ช้อป ทำหน้ามีความสุขได้ใจมากๆ

อ้อ! ชื่อไทย : เสน่ห์รักสาวนักช้อป ชื่ออย่างนี้สิถึงฟังเข้าท่าหน่อย

spoil เต็มๆเลยนะ

เรื่องเริ่มจากนางเอกซึ่งเป็นโรคเสพติดการช้อปปิ้งอย่างรุนแรง(จากความเก็บกดวัยเยาว์ที่แม่ซื้อแต่ของลดราคา หน้าตาน่าเกลียด) จนเป็นหนี้หัวโต นางเอกมีความฝันที่จะได้ไปเขียนคอลัมน์ในนิตยสารแฟชั่นชื่อดัง แต่พลาดโอกาสไป แถมบริษัทที่ทำงานอยู่ยังเจ๊งอีกต่างหาก โชคชะตาพาไปให้บทความที่เธอกะจะเขียนสมัครงานกับนิตยสารแฟชั่น ส่งไปถึงนิตยสารการเงินและการลงทุนพอดิบพอดี (และเนื้อความดันเป็นการเปรียบเทียบแฟชั่นกับการลงทุนด้วยนะ) ปรากฏว่าบก. นิตยสารชอบมาก และรับเธอเข้าทำงาน เธอดังเปรี้ยงปร้างจากคอลัมน์นั้น แถมยังปิ้งรักกับบก.หนุ่มหล่อด้วย

แต่อีกด้านของชีวิต การเสพติดการช้อปก็ยังเลิกไม่ได้(ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้อยากเลิกเท่าไหร่ แม้ว่าเพื่อนรักของเธอจะพยายามบอกให้เลิกก็เถอะ) แถมหนี้ยังถูกตามทวงยิกๆ สุดท้ายเรื่องก็แดง แฟนก็ทิ้ง เพื่อนก็โกรธ หนี้ก็ยังไม่ได้ใช้ ตกงานอีกต่างหาก แต่ในความโชคร้ายนิตยสารแฟชั่นที่เธออยากทำงานด้วยสุดๆ ก็มาเสนองานให้ (ทายซินางเอกทำยังไง) เธอปฏิเสธไปเพราะรู้สึกว่านิตยสารแบบนี้จะทำให้คนเป็นหนี้หัวโตแบบเธอ สุดท้ายเธอจึงตัดใจ ขายของที่ช้อปมาทั้งหมดในบ้าน เพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ ไปขอคืนดีกับเพื่อนรัก และแฟนก็กลับมา ที่สำคัญเธอเลิกช้อปได้แล้วววววววววววว จบ.

เป็นหนังน่ารักๆ ดูแล้วอมยิ้มตลอดเรื่อง ให้ข้อคิดคือ แม้คนที่ไม่รู้เรื่องเงิน ก็มาเขียนคอลัมน์การเงินให้คนทั่วไปเชื่อได้ 555

เราสามารถนำความสามารถของเราที่ดูจะไม่เกี่ยวกัน(แฟชั่น) ที่ปรับใช้กับการทำงาน(เขียนคอลัมน์การเงินการลงทุน) ได้ และอาจจะดีกว่าด้วย แต่ต้องมีคนให้โอกาส

ปล. ชอบ logo สาวผ้าพันคอเขียวมากเลย

The Curious Case Of Benjamin Button

เป็นหนังที่สนุก แต่บอกไม่ได้ว่ามันสนุกยังไงหรือเรื่องเป็นแบบไหน

อย่างที่น่าจะรู้กันเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเกิดมา "แก่" และค่อยๆ "หนุ่ม" ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อชีวิตผ่านไป

หนังไม่ทำอะไรมาก เล่าถึงชีวิตของเขาผ่าน diary ของเขาเอง(พร้อมการเสริมจากคุณยายอีกเล็กน้อย) แต่หนังเรื่อยๆ เรื่องนี้ก็ทำได้ไม่น่าเบื่อเลย แม้ว่าหนังจะยาวถึงสองชั่วโมงครึ่งก็ตาม แต่ถ้าคนชอบหนังแบบเปรี้ยงปร้าง บอกไว้ก่อนเลยว่าคงจะเบื่อ เพราะเรื่องนี้ไม่มีฉากตื่นเต้นเอาซะเลย

ดูแล้วก็เหมือนกับไปเจอเพื่อนใหม่ แล้วเขาเล่าชีวิตของเขาให้ฟังนั่นแหละ มีอะไรแปลกๆบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับชักปืนมายิงกันกลางถนน ในแต่ละฉากยังมีการใส่ข้อคิดไว้ (ข้อคิดเยอะจนไม่ค่อยรู้สึกถึงความสำคัญของข้อคิดพวกนั้น เพราะมันดูเกร่อ) แต่สิ่งที่เราได้มาเป็นประเด็นใหญ่ก็คือ การที่นาฬิกาที่สถานีเดินถอยหลัง หรือการที่พระเอกหนุ่มขึ้นก็ตาม มันอาจจะเป็นความคิดที่เราอยากย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งต่างๆในอดีต แต่สุดท้ายแล้ว ชีวิตพระเอกหรือนาฬิกา ก็เดินไปทางเดียวอยู่ดี และก็เดินไปสู่จุดสิ้นสุดเดียวกันกับพวกเรานั่นก็คือความตาย

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Push : พุช โคตรคนเหนือเมฆ

เรื่องนี้ดูหลังจากกลับจากญี่ปุ่นหนึ่งวัน คือกลับมาวันพฤหัส วันศุกร์ก็ไปทำงาน แล้วก็ไปดูหนังตอนเย็น(เรื่องไปญี่ปุ่นจะพยายามเขียนออกมานะ แต่ไม่รู้จะว่างแค่ไหน)

ตั้งชื่อภาษาไทยได้ตามแบบแผนมากๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนมีพลังพิเศษ เลยตั้งว่าโคตรคนเหนือเมฆ แต่นึกได้ว่า เฮ้ย! โคตรคนเหนือเมฆมันไม่เกี่ยวกับชื่อเรื่องภาษาอังกฤษเลยนี่นา เลยเติมคำว่า พุช เข้าไปข้างหน้าซะเลย

เรื่องนี้เกี่ยวกับมนุษย์พลังจิตที่องค์กรพัฒนาขึ้นเพื่อใช้เป็นกำลังรบ ซึ่งแน่นอนว่าผู้ไม่ให้ความร่วมมือย่อมมี และควรถูกกำจัด พระเอกผู้มีพลังย้ายสิ่งของเหมือนพ่อ ได้เจอกับเด็กสาวซึ่งมีพลังตาทิพย์(เหมือนแม่ของเธอ) เธอได้มาขอให้เขาช่วยตามหาผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งถือกุญแจที่จะทำลายองค์กรได้ เพื่อช่วยแม่ของเธอที่ถูกจับไว้

ถึงแม้รู้สึกว่าเรื่องนี้จะไม่มีฉากที่ดูสื่ออารมณ์เท่าไหร่ แต่ด้วยความชอบส่วนตัว ดูแล้ว ดาโกต้า น่ารักกกกกกกกกก เป็นหนังที่ดูแล้วภาพแปลกๆ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพราะฉากเป็นฮ่องกงทั้งหมด แต่ไปเจอเวปบอกว่าเรื่องนี้เขาใช้การถ่ายทำจริงให้มากที่สุด แทนการใช้ CG ก็คงเพราะสาเหตุนี้ด้วยล่ะมั้ง

ตัวหนังสนุกดีน่าติดตาม แต่จบปาหมอนไปหน่อย ดูแล้วเหมือนยังขาดๆ อะไรคาใจอยู่ สาเหตุหลักอาจะเป็นเพราะตอนจบ พอมานอนคิดๆ แล้วรู้สึกว่าเนื้อเรื่องนี้ค่อนข้างหลวมเลยทีเดียว เหมือนมีโครงเรื่อง มี idea ของความสามารถพิเศษต่างๆ แล้วก็ใส่เรื่องเข้าไป แม้หนังจะจบไปแล้วก็ยังงง อยู่ในหลายๆประเด็น เช่น สรุปของในกระเป๋านั่นช่วยทำลายองค์กรได้ยังไง - -"

นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่ต้องเลือกระหว่างการแปลชื่อต่างๆในเรื่องให้ตรงกลับภาษาเดิม หรือให้ตรงกลับความเข้าใจในภาษาไทย ซึ่งหนังเรื่องนี้เลือกอย่างหลัง ไอ้คนที่นั่งฟังเสียงในฟิล์มไปด้วยอย่างเรา ก็รู้สึกงงๆ ว่าคำในภาษาอังกฤษมันอะไรหว่า มาดูทีหลังมันไม่ตรงกันเลยนี่ แต่จะให้แปลตรงๆ หนังอาจจะประหลาดน่าดู ถ้าทับศัพท์ไปคนดูก็อาจจะไม่เข้าใจอีก ได้อย่างก็เสียอย่างล่ะนะ

สรุป หนังสนุกใช้ได้ แต่ถ้าคุณเป็นพวกความคาดหวังสูง หรือชอบถามหลังจากหนังจบไปแล้วว่า แล้วอันนี้ล่ะ แล้วอันนั้นล่ะ ก็อย่าดูเลยนะ

High School Musical 3 : Senior Year

High School Musical ที่ภาค 1 และ 2 ได้ดูทาง Disney channel (ไม่มีฉายในโรงนะจ๊ะ) ภาค 1 ชอบมากๆ แต่ไม่ค่อยชอบภาค 2 เท่าไหร่

มาดูภาค 3 รู้สึกว่าสนุกกว่าภาค 2 แต่น้อยกว่าภาค 1

ภาค 3 นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับปีสุดท้ายของเหล่าตัวละครในเรื่อง ซึ่งจะกล่าวถึงการเรียนต่อ การลาจาก และงานพรอม!! แน่นอนว่ามีการแสดงละครเวทีเป็นครั้งสุดท้ายของพวกเขาด้วย ซึ่งการแสดงนั้นก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียน การจบการศึกษา และความฝันต่อไปของพวกเขา ชอบฉากที่เป็นเหมือนงานพรอม น่ารักดี มีตั้งแต่ตอนเลือกชุด เตรียมตัว ไปรับสาวไปงาน

ดูภาคนี้แล้วรู้สึกพระเอกเป็นผู้ชายที่โลเลในชีวิตมากๆ ส่วนนางเอกดูในภาค 1 เหมือนจะเป็นคนขี้อายเรียบร้อย ตอนจบภาค 1 ดูบุคลิกเปลี่ยนนิดหน่อย แต่ตอนนี้ดูเธอจะเป็นศูนย์กลางของผู้คน และกล้าขึ้นมากๆ(ภาษาตลาดเรียกแรดขึ้น) ถ้าดูแต่ภาคนี้ก็เหมือนกับเธอเป็นอย่างนี้มาทั้งชีวิต สาวน้อยขี้อายที่ไม่กล้าร้องเพลงต่อหน้าคนอื่นในภาค 1 หายไปหนายยยยยยยยยยยยยยยยย

สรุปแล้วโดยรวม ใครชอบหนังเพลง น่าจะชอบ ถ้าชอบหนังเพลงแนวแดนซ์ น่าจะไปดู และถ้าชอบหนังเพลงแนวแดนซ์แบบน่ารักๆ(ไม่ใช่เต้นหนักๆ แบบ step up 2) ต้องชอบเรื่องนี้แน่ๆ

ปล. เนื้อเรื่องเป็น Disney plot มากๆ

ปล2. ก่อนเรื่องนี้ หลัง yes man ได้ดูเรื่องอื่นหรือเปล่าไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว

Yes! man

ไปแอบเจอที่เขียนไว้นานแล้วเกี่ยวกับ yes man ก็เลย up ซักหน่อย

นานมากแล้วที่ไม่ได้ดูหนังในวันที่รุ่งขึ้นเป็นวันทำงาน (อาจจะเรียกว่าไม่เคยเลย เพราะปกติไปดูตอนที่วันรุ่งขึ้นเป็นวันเรียน) สรุปว่า น่าจะตั้งแต่เรียนจบนั่นแหละ(ถ้าจำไม่ผิดนะ) คิดแล้วก็รู้สึกว่าเวลาเรียนช่างสุขสบาย เลิกเรียน 4 โมงก็ชิ่งไปดูหนัง กลับมาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะตื่นไม่ไหว เพราะเริ่มเรียนตั้ง 9 โมง ถ้าตื่นไม่ไหวจริงๆ ก็โดดซะเลย อิอิ (อันที่จริงหนูไม่ค่อยได้โดดนะคะ O.O)

กลับมาที่เรื่องหนัง ดูตัวอย่างก็คงจะรู้แล้วว่าเรื่องนี้สอนให้เรารู้จักเปิดรับโอกาส และสิ่งใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิต เรื่องนำเสนอโดยอีตาพระเอกที่เป็น "No man" คือประมาณว่าใครถามอะไรพี่แกปฏิเสธหมด - -" จนวันหนึ่งเขาได้ไปเข้าร่วมสัมมนา ซึ่งสอนให้ผู้เข้าร่วมตอบรับกับโอกาสที่เข้ามาในชีวิต หลังจากนั้นชีวิตก็ดีขึ้นหลังจากเขาเริ่ม say YES!

ความเห็น(spoil) :

หนังทำได้ตลกดี บางมุขก็ออกแนวทะลึ่งไปบ้าง แต่ว่าโดยรวมก็ไม่ใช่หนังตลก แบบจะเอาแต่ตลกอย่างเดียว(แบบนั้นไม่ชอบดูอ่ะ) ดูจนจบยังไม่ค่อยเข้าใจว่าตกลงพระเอกมันกลายเป็น No Man เพราะเมียทิ้ง หรือว่าเมียทิ้งเพราะมันเป็น No Man ก็ไม่รู้ (เหมือนไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกันเลยเนอะ) แต่ชอบเพื่อนสนิทพระเอกมากๆ ดูเขาเป็นคนใส่ใจเพื่อนดี โทรมาตามจิก เดินมาตามถึงบ้าน (เป็นฉันนะ ช่างหัวมัน อยากจะนอนตายอยู่บ้านก็อยู่ไป)

ส่วนการสัมมนานั่นก็เหมือนลัทธิอะไรสักอย่าง(โครตน่ากลัวเลย) ชอบการผูกเรื่องที่หลายๆอย่างที่พระเอก say yes ไป มามีประโยชน์ในภายหลัง ความซวยอย่างบังเอิญทุกครั้งที่เกิดเมื่อพระเอก say no ออกจะทำให้น่าสงสารพระเอกไปหน่อย สุดท้ายตาม style หนังก็สอนว่าเราต้องให้โอกาสตัวเองแต่ต้องคิดด้วยไม่ใช่ yes ไปซะทุกอย่าง

ปล. ชอบชมรม photo jogging มากๆ เลย

วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2552

ดูหนังเป็นบ้าอีกแล้ว O_o part 2

วันเสาร์ที่ 27 Dec 2008 เราก็ชิ่งออกไปดูหนังมาอีก 2 เรื่อง นับต่อจากตอนที่แล้ว

4. Australia

เรื่องย่อที่ copy มากจาก web : เรื่องราวของสาวผู้ดีอังกฤษ “เลดี้ ซาร่าห์ แอชลีย์” (นิโคล คิดแมน) ผู้ตามสามีของเธอมาที่ออสเตรเลีย เพื่อที่จะขายฟาร์มขนาดเท่าเบลเยี่ยมของเขา อย่างไรก็ตาม เธอเชื่อว่าเขาจะต้องกำลังนอกใจเธออยู่แน่ๆ เธอจึงไปเพื่อที่จะเผชิญหน้ากับเขา เธอเริ่มออกเดินทางอย่างราชินีแอฟริกัน ร่วมเดินทางพร้อมกับ “นักต้อนสัตว์” (ฮิวจ์ แจ็คแมน) แต่ท้ายที่สุด เธอก็กลายมาเป็นผู้สืบทอดฟาร์มนั้น และเพื่อที่จะรักษามัน เธอกับนักต้อนสัตว์จึงต้องพาสัตว์ไปที่ดาร์วิน และการเดินทางนี้เอง ทำให้เธอตกหลุมรักกับคนต้อนสัตว์ และกับออสเตรเลีย ในขณะที่พวกเขาต้องเผชิญกับการทิ้งระเบิดที่ดาร์วิน โดยกองทัพญี่ปุ่นที่ได้เคยโจมตีก่อนหน้านี้ที่เพิร์ล ฮาร์เบอร์

อ่านแล้วไม่ค่อยจูงใจให้ไปดูเลย โปสเตอร์ก็ไม่ค่อยจูงใจเหมือนกัน หนังเรื่องนี้อยู่นอกสายตามากๆ จนกระทั้งได้ดูตัวอย่างหนัง ก็กะว่าจะต้องไปดูให้ได้ แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย แถมยังคุ้มสุดๆ(หนัง 2 ชม. 40 นาที) ถึงหนังจะยาวแต่ก็ดูได้ไม่เบื่อตลอดเรื่อง ตอนดูๆ ไปถึงครึ่งเรื่องเหมือนกับเรื่องจะจบเพราะ happy ending แล้ว(ซึ่งถ้าจบไปตรงนั้นก็คงไม่ติดใจอะไร) แต่มันยังไม่จบครับ ยังมีต่ออีกยาววววว ถึงบอกว่ารู้สึกคุ้มเหมือนได้ดูหนัง 2 ภาคในคราวเดียว อิอิ นิโคล คิดแมน สวยมากๆ ด้วย ชอบผมทรงนี้ของเจ๊แกมากๆ

ใครยังไม่ดูก็แนะนำนะจ๊ะ

5. ฝัน หวาน อาย จูบ

ความรู้สึกก่อนดู : เข้าไปดูเพราะทุกคนวิจารณ์ว่ามันแย่ ก็เลยอยากรู้ว่าแย่ขนาดไหน ยังไง เข้าไปดูซะเลย (ประเด็นคือมีหนังหลายเรื่องที่ชาวบ้านบอกห่วย แต่พอเข้าไปดูแล้วชอบมาก) ตอนแรกก่อนเข้าโรงก็อยากดูตะหงิดๆ ไม่รู้จะดูดีไหม พยายามหาข้อมูลนอกจากตัวอย่างหนัง(ที่ไม่บอกอะไร) และคำพูดที่ว่าหนังรัก 4 เรื่อง 4 ผู้กำกับ XX นักแสดง (จำจำนวนนักแสดงไม่ได้) ก็พอจะได้เนื้อเรื่องคร่าวๆ ของ หวาน กับ อาย มา ส่วนเรื่องฝันก็รู้ว่าวง august เล่น พอหนังเข้าฉาย กระแสก็มาเลย ส่วนใหญ่จะผิดหวัง แต่ก็มีบางคนที่ชื่นชอบเหมือนกันนะ หลังจากอ่านวิจารณ์ คำชม คำด่า แล้ว ก็รู้สึกว่า คงจะเป็นหนังรักแนวๆ ไม่ใช่แบบปิดเทอมใหญ่ฯ แน่นอน ถ้าหนังแนว แต่ไม่แนวเกินเหตุ ชั้นดูได้ ว่าแล้วก็ตัดสินใจเข้าไปดู ด้วยอารมณ์อยากดูเดิมอยู่แล้วครึ่งนึง ส่วนอีกครึ่งนึงอยากรู้ว่ามันแนวขนาดไหนถึงด่ากันได้ขนาดนี้

ความรู้สึกหลังดู : ก็ไม่แย่นะ ถ้าไม่ได้ตั้งความหวังว่ามันเป็นหนังรักกุ๊กกิ๊ก (ค่อนไปทางชอบเพราะหนังเป็นแนวใหม่ๆ) ที่คนผิดหวังก็คงเพราะเหมือนถูกตัวอย่างหนังหลอกมากกว่า อารมณ์เดียวกับรักแห่งสยาม 'จูบ' เป็น หนังแนวมากๆ ดูจบแล้วบรรยายไม่ถูกเลย 'อาย' น่าจะเป็นเรื่องที่ออกแนวตลาดที่สุดแล้ว ถ้าเข้ามาดูเพราะตัวอย่างหนังก็คงชอบเรื่องนี้กันแหละ 'หวาน' หลายคนบอกว่าน่าจะเป็นขมมากกว่า เรื่องออกจะหนักๆ เป็น drama ไม่ใช่กุ๊กกิ๊ก แต่ชอบ plot เรื่องของเขานะ(ดูแล้วรู้สึกเกลียดพระเอกมาก) สุดท้าย 'ฝัน' เรื่องที่โดนด่ามากที่สุด เพราะ มันทำเป็น cartoon ไปมากกว่าครึ่งเรื่อง!!! แต่ดูแล้วก็สนุกดีนะ ขำๆดี ไม่แน่ใจว่าถ้า animation ทำออกมาได้ดีกว่านี้อาจจะโดนด่าน้อยกว่านี้ก็ได้นะ ความเห็นส่วนตัวชอบตอนนี้พอๆ กับอายเลยนะ เพราะว่าชอบดูการ์ตูนเด็กหรือเปล่าไม่รู้ แต่คนอื่นที่ตั้งใจไปดูหนังรักคงจะไม่ชอบล่ะนะ

 

สัปดาห์ต่อมาเป็นปีใหม่จำไม่ได้ว่าไปดูมาวันไหนในช่วงวันหยุด แต่ก็ไปดูอีก 2 เรื่อง

6. Bedtime Story

เรื่องย่อกึ่ง spoil: เมื่อสกีเตอร์เด็กชายผู้ฝันที่จะบริหารโรงแรมของพ่อเขา แต่โรงแรมกลับขาดทุนจนพ่อของเขาต้องขายมันให้เพื่อนไปก่อนที่เขาจะโต แต่เพื่อนของพ่อได้สัญญาว่าจะยกโรงแรมให้สกีเตอร์ในวันหนึ่ง สกีเตอร์ได้ทำงานเป็นนายสารพัดช่างให้โรงแรมอย่างขยันขันแข็ง และด้วยความรักเสมอมา แต่เขาก็ยังไม่มีโอกาสที่จะก้าวต่อไปเป็นผู้บริหาร(และดูท่าทางจะยังไม่มีอีกนาน) เรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้นเมื่อเขาเล่านิทานก่อนนอนให้หลานฟัง และเรื่องนั้นกลายเป็นจริงขึ้นมา เขาพยายามจะเล่านิทานเพื่อทำให้ฝันของเขาเป็นจริง แต่นิทานจะเป็นจริงเฉพาะส่วนที่หลานๆ ของเขาช่วยกันคิดและเล่าออกมาเท่านั้น ซึ่งหลานตัวแสบก็ไม่ได้เล่าแต่เทพนิยายซะด้วย ความน่ารัก ปนเสียงหัวเราะจึงเกิดขึ้น

ความเห็นส่วนตัว : โดยส่วนตัวเป็นคนชอบหนังแนว Disney อยู่แล้ว และเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้แนว Disney เลยล่ะ เป็นหนังที่น่ารักมากๆ ทั้งในเนื้อเรื่องหลัก และรายละเอียดเกี่ยวกับนิทาน สอนทั้งความผูกพันของครอบครัว การเสียสละ การทำความฝันให้เป็นจริง ที่ชอบมากคือความคิดในการโยงนิทานสุดแสนมหัศจรรย์ให้กลายเป็นจริงได้ในโลกแห่งวิทยาศาสตร์ใบนี้

เป็นอีกเรื่องที่แนะนำนะจ๊ะ

7. Madagascar

เรื่องย่อ: จากภาคที่แล้ว ชาวสวนสัตว์เดินทางออกจาก Madagascar โดยเครื่องบิน penguin airline เพื่อจะกลับ New York แต่กลับไปตกปุ๊กอยู่ที่ Africa เรื่องฮาๆ จึงเกิดขึ้น

ความเห็นส่วนตัว :  ยังเล่นมุขกันได้ทั้งเรื่อง คนที่ชอบภาคแรก ชอบการ์ตูน Dreamwork พลาดไม่ได้ แต่ไม่ได้ประทับใจมากมายเป็นการส่วนตัว คงเพราะมันตั้งใจยิงมุขเกินไป เรื่องสอนใจมีอยู่มากมาย ทั้งมิตรภาพ ความรัก เรื่องของพ่อลูก หรือการเต้นก็ช่วยชีวิตท่านได้ (อิอิ) แต่จับประเด็นหลักไม่ค่อยได้ (หรือว่าตูโง่เอง) สุดท้ายที่อเล็กซ์จำมาร์ตี้ได้เหมือนจะซึ้ง แต่ดันตบมุขวงกลมที่วาดไว้ที่ตูดซะงั้น

น้องเพนกวินดูจะเป็นจุดที่ทุกคนกล่าวขวัญว่ามันแรง และขโมยซีนได้ตลอดเวลา แต่ว่าเรากลับชอบมุขของเพนกวินในภาคแรกมากกว่า ภาคนี้ถูกใจแค่ตอนแรกสุดที่น้องกวินมาตกปลา กลับไปชอบมุขม้าลายหน้าเหมือนๆ กันมากกว่า คงเพราะภาคนี้เพนกวินถึงจะแรง แต่ดูว่ามันไม่โผล่มาขโมยซีน แต่เรายกซีนให้มันเลยต่างหาก ต่างจากภาคแรกที่เนื้อเรื่องหลักก็ดำเนินไป เจ้าเพนกวินน้อยๆ จะโผล่มาตบมุขเป็นระยะ ที่สำคัญ skipper นอกใจไปแต่งกับน้องเด้งๆ T^T (เกี่ยวไหมเนี่ย)

จบแล้ว

คราวหน้าจะพยายาม up เรื่องที่ไม่ใช่หนังนะ ถ้าไม่ขี้เกียจ

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

ดูหนังเป็นบ้าอีกแล้ว O_o

entry สองอันก่อน มาอ่านอีกทีเหมือนจะเครียดไปหน่อย - -" ไม่ได้ตั้งใจ คงเพราะยกตัวอย่างเรื่องฆ่าคนละมั้ง แค่รู้สึกตะหงิดขึ้นมาเฉยๆ ว่าทำไมเวลาคนเราได้ฟังความเห็นที่แตกต่างจากตัวเอง ถึงจะต้องเถียงกันด้วยฟะ แค่รับฟังมาแล้วแก้ไข หรือถ้าไม่จริงก็ปล่อยไปไม่ได้หรือไง (ในที่นี้ก็หมายถึงตัวเองด้วยแหละ) คงเป็นเพราะพอมีความเห็นที่ต่างจากตัวเอง แล้วจะรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดล่ะมั้ง ถ้าเป็นความเห็นที่ไม่เข้าท่าก็คิดว่าเขาโง่ อยากจะให้มีความเห็นแบบฉลาดๆ ขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเป็นความเห็นที่ดูมีเหตุผลกว่าตัวเอง ก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่เชื่ออยู่มันผิดและพยายามเถียงเพื่อให้ความเห็นของตัวเองดูมีเหตุผลขึ้น

ตกลงตูจะไม่เครียดนะเนี่ย - -" เบื่อพวกมองโลกเป็นขาวกับดำ(ตอนนี้ต้องเหลืองกับแดงสินะ)

กลับเข้าเรื่องหนังดีกว่า ไปดูหนังมา 3 เรื่อง 2 สัปดาห์ จะเอามาเขียนก็เขียนไม่ทัน เลยเอามารวมกันอย่างย่อๆ แล้วกันนะ ว่าดูแล้วคิดยังไง ใครอยากรู้ spoil หรือเรื่องย่อ ติดต่อหลังไมค์

คำเตือน ข้อความด้านล่างอาจมีการ spoil ตั้งแต่เล็กน้อย จนถึง มากที่สุด ขอให้ผู้อ่านระวังเอาเอง ไม่งั้นก็ไม่ต้องอ่านซะเลยนะ :P

วันเสาร์ที่ 20 Dec 2008 ไปดูมา 3 เรื่อง เริ่มด้วยตอนเช้า

1. Happy Birthday

เรื่องย่อกึ่ง spoil : เภากับเต็นพบกันด้วย 3 สิ่ง ความชอบท่องเที่ยว หนังสือเล่มหนึ่ง และความมือบอน ด้วยการทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ทั้งสองคนสนิทกันอย่างรวดเร็ว และไปเที่ยวที่ต่างๆ ด้วยกัน และความรักก็ก่อตัวขึ้น จนวันหนึ่งที่เภาถูกรถชน แม้ว่าหมอจะบอกว่าไม่มีหวัง แต่ถ้าเภายังหายใจอยู่ถึงจะด้วยเครื่องช่วยหายใจก็ตามที เต็นก็จะดูแลเภาตลอดไป จนกว่าเธอจะฟื้น หรือตายจากไปจริงๆ

เป็นหนังเรื่องที่ดู trailer แล้วทำให้อยากดูขึ้นมา ร้องไห้ตอนดู trailer ด้วย สับสนเหมือนกันว่าจะเข้าไปดูหรือเปล่า เพราะกลัวว่าฉากซึ้งๆ จะอยู่ใน trailer ซะหมดแล้ว

แต่สรุปก็ได้เข้าไปดู แล้วก็ชอบมากๆ ด้วย ครึ่งแรกเป็นเรื่องน่ารักๆ ของทั้งสองคน ดูแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ ยิ่งดูยิ่งอยากไปเที่ยวเหนืออีกสักหลายๆ รอบ (ทำไมตอนตูไปถ่ายรูปมาไม่เห็นได้แบบนี้เลย T_T) จนกระทั่ง เปรี้ยง! เภาโดนรถชน หลังจากนั้นเรื่องก็เศร้าไปเลย(อีนี่ร้องไห้ไม่หยุดเลย) อาจจะมีบางฉากบ้างที่มันดูตลก ก็ไม่รู้ว่าเขาจะใส่มาให้หนังมันคลายความเครียดลง หรือว่าเขาไม่ตั้งใจให้มันตลกก็ไม่รู้ ในขณะที่คนอื่นหัวเราะ ก็คิดว่าการกระทำที่ดูตลกนี้มันตลกจริงๆเหรอ การที่เต็นจะขับรถไปทำงานแต่ก็วนกลับมาที่บ้านตลอด มันแสดงถึงความเป็นห่วงอย่างมาก(คงเพราะก่อนหน้านั้นสายช่วยหายใจเพิ่งจะพับไปทำให้เภากระตุก) ถ้าคนที่อยู่ในบ้านนั้นเป็นแม่กับลูกที่เพิ่งคลอดฉากนี้คงจะทำให้อมยิ้มออกมาได้ง่ายๆ แต่เมื่อในบ้านเป็นคนป่วยที่หายใจเองยังไม่ได้ ฉากนี้ถึงจะดูงี่เง่า แต่ก็ซาบซึ้ง และเจ็บปวด อีกเรื่องนึงคือ เพลง happy birthday จาก ส.ค.ส. ใครจะรู้สึกว่าถ้าฟังไม่จบแล้วจะหดหู่ได้ขนาดนี้ =.= อีกฉากที่ชอบคือตอนที่เต็นคุยกับเภา(ในจินตนาการ) ว่าเภาตายไปแล้วนะปล่อยเภาไปเถอะ ให้ความรู้สึกสับสนนะ ว่าเภามาคุยกับเต็นจริงๆ หรือว่าเต็นแค่คิดไปเองกันแน่

เรื่องนี้หลายๆ คนชอบเลยล่ะ และก็มีคนที่บอกไม่ชอบอยู่เหมือนกันนะ แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัว ชอบมากๆ เลย

2. Beverly Hills Chihuahua

เรื่องย่อกึ่ง spoil : น้องหมาสาวสวยประจำ Beverly Hills ต้องตกระกำลำบากเมื่อเจ้านายของเธอต้องไปทำงานที่อื่น และฝากเธอไว้กับหลานสาวผู้ไม่มีความรับผิดชอบ ซึ่งได้พาเธอไปเที่ยวด้วยจนถูกโจรลักพาตัวไปที่บ่อนกัดหมา(คงคล้ายๆ กับชนไก่บ้านเรา) เธอหนีออกมาได้แต่ก็หลงทาง ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนหมาอีกตัวทั้งสองพยายามหาทางพาเธอกลับบ้าน ในขณะที่คนร้ายซึ่งเพิ่งรู้ว่าเธอเป็นใครก็พยายามจะจับตัวเธอไปเรียกค่าไถ่ และระหว่างการเดินทางเธอก็ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย การภูมิในในสายพันธุ์ชิวาวาอันเก่าแก่ มิตรภาพ และรักแท้

ความเห็นส่วนตัว : เป็นหนังที่น่ารักดี จุดฮาของมันคงอยู่ที่ความน่ารักของน้องหมาทั้งหลาย แต่บางมุขดูแล้วก็ไม่ฮา(ไม่รู้เส้นลึกไปเองหรือเปล่า) ชอบตอนที่นางเอกไปเจอเมืองชิวาวามากๆ ชิวาวาเต็มเลย ตลกดี ส่วนอื่นๆ โดยรวมก็น่ารักสมเป็นหนัง Disney ดูได้เพลินๆ ไม่ถึงกับประทับใน แต่ถ้าใครเป็นพวกรักหมาคงจะชอบมาก

3. Pride and Glory

เรื่องย่อกึ่ง spoil : ในวันหนึ่งตำรวจ 4 นายเข้าบุกจับคนร้าย แต่คนร้ายรู้ตัวอยู่ก่อนแล้วจึงยิงตอบโต้ ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส และตาย พระเอกของเราจึงต้องมาสอบสวนคดีนี้ ยิ่งสืบลึก เขาก็ได้รับทราบว่ามีตำรวจที่รับสินบนอยู่ แต่ทว่าถ้าเขาเปิดเผยความจริงอาจทำให้พี่ชายของเขาหมดอนาคต ยิ่งไปกว่านั้นอาจโดนกล่าวหากลับอีกต่างหาก สุดท้ายแล้วเขาจะเลือกอะไร ศักดิ์ศรี หรือ ครอบครัว

ความเห็นส่วนตัว : ตัวอย่างหนังน่าดูมาก แต่ดูจริงแล้วจะหลับ อาจจะเพราะโครงเรื่องไม่ค่อยมีจุด peek + นอนน้อย + ดูเป็นเรื่องที่ 3 แล้ว แต่ก็ดีในแง่ของความเป็นจริงที่เกิดขึ้นและคติสอนใจ นิสัยของแต่ละคนจะอิงความจริงพอสมควร มีทั้งคนเลวมาก เลวน้อย บางคนก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่สถานการณ์พาไป หรือคนที่ตกลงใจทำลงไปแล้ว จะกลับตัวก็ไม่ได้ซะแล้ว

 

จบไป 1 วันกลับบ้านนอน เสาร์ถัดมาดูอีก 2 เรื่อง เดี๋ยวค่อยมาเล่าต่อนะจ๊ะ

HAPPY NEW YEAR ทุกคน