วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2557

ญี่ปุ่น...สองสามวัน... : วันที่. 1 : BKK to NRT : Fri. 26-Sat. 27/10/2012

          และแล้วก็ใกล้ถึงวันที่จะไป วันศุกร์ทำงานวันสุดท้ายก่อนจะหายหน้าไปนานพยายาม Clear งานที่ค้างๆ อยู่ให้มากที่สุด พร้อมทั้งส่ง mail สั่งเสียน้องๆ ว่าถ้ามีเหตุอะไรให้ mail ทิ้งไว้จะพยายาม check ทุกวัน ดีที่งานค้างๆ มีไม่มากนัก เพราะบอกหัวหน้าไว้นานว่าจะไปเที่ยว หัวหน้าเลยเพลาๆ การส่งงานมาให้อยู่บ้าง

          คืนวันศุกร์ก็มานั่งตรวจสอบรายการสิ่งของอีกครั้งว่าเอาอะไรไปครบหรือไม่ ทำรายการของที่ต้องหยิบไปตอนเช้า เช่น มือถือ และสายชาร์ท เตรียมเสื้อผ้าที่จะใส่พรุ่งนี้ หลังจาก check แล้ว check อีกพ่อแม่ และน้องสาวก็รีบเข้านอน เพราะพรุ่งนี้เครื่องขึ้น 6 โมงเช้า เลยต้องตื่นแต่เช้ามืด ส่วนยู้ก็เปิดคอมฯ ต่อเข้าบริษัทไป clear งานต่ออีกนักหน่อย งานที่ยังต้องติดตามต่อไปก็เขียนรายละเอียดแล้วส่ง mail แจ้งน้องๆ ไว้ว่าให้ช่วยดูต่อให้ด้วย ไม่ทันไรก็เช้าซะแล้ว ยู้ก็เลยได้โต้รุ่งก่อนไปญี่ปุ่น





          (คนอื่นๆ) นอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมงทุกคนก็ต้องตื่นตั้งแต่ตี 2 – ตี 3 อาบน้ำแต่งตัว หยิบของต่างๆ ตามรายการที่จดไว้ แบกกระเป๋าอันหนักอึ้งลงมาใส่ท้ายรถ แล้วก็เดินทางไปสุวรรณภูมิกันเลยยยยยยยยยยยยยย

          มาถึงสุวรรณภูมิก่อนตี 4 ว่าแล้วก็จัดการ Check-in ตั๋วเครื่องบิน, โหลดกระเป๋า, Check-in Facebook, ร่ำลาพ่อแม่ แล้วก็มุ่งหน้าเข้าไปยัง Gate

          ช่วงนี้ยังเช้ามืดอยู่จึงไม่ค่อยมีคน ผ่านการตรวจกระเป๋า ถึงด่านตรวจคนออกจากเมือง(เขาเรียกงี๊หรือเปล่านะ) ได้ใช้ระบบอัตโนมัติเป็นครั้งแรก น้องสาวผ่านไปฉลุย ส่วนยู้ลองไปสามรอบเครื่องก็ไม่ยอมถ่ายรูปหน้าอิชั้นไป (สงสัยหน้าไม่เหมือนคน) จนพนักงานถอดใจว่าสงสัยยัยนี่ใช้เครื่องมือไฮเทคไม่เป็น ให้ไปเข้าช่องโลว์เทคแบบเก่าที่ใช้คนปั๊ม ดีนะที่ทั้งด่านมีกันอยู่สองคน ก็เลยไม่ได้ทำให้คนอื่นรอ

รูปปั้นเทวดาและยักษ์กวนเกษียรสมุทร มุมบังคับเมื่อมาสุวรรณภูมิ



          หลังจากนั้นเราก็ผ่านทางเดินอันแสนยาว และ Shop duty free ต่างๆ(ไม่ได้แอ้มชั้นหรอก) ไปยัง Gate เดินงุนงงหลงทางเล็กน้อยก่อนจะเดินไปถึง Gate จนได้ ซึ่งปรากฏว่าเขาเปิดให้คนลงไปรอหน้าประตูแล้ว และพบเจ้าหน้าที่สายการบินจำนวนหนึ่งกำลังตรวจร่างกาย และตรวจกระเป๋าของผู้โดยสารอีก เดาเอาเองว่าน่าจะเป็นเพราะใน Flight นี้จะมีกลุ่มนึงที่ Transit ที่ญี่ปุ่น เพื่อต่อไปอเมริกา ก็เลยตรวจเข้มกว่าปกติล่ะมั้ง(อาจจะเพราะเป็น United Airline ด้วย)

          อย่างไรก็ตามในเมื่อไม่มีของแปลกๆอะไร (ยกเว้นตุ๊กตางานฝีมือหน้าตาประหลาดที่น้องสาวหิ้วไปฝากเพื่อน) เราก็เลยผ่านไปขึ้นเครื่องได้โดยไม่มีปัญหา

ตุ๊กตาเทพีแห่งโชคชะตาที่หิ้วมาด้วย(ตุ๊กตาหมีข้างหลังไม่เกี่ยวนะ) 


          ในเครื่องดูวุ่นวายและคนเยอะแยะมากมาย ข้างๆ ยู้เป็นคุณลุงฝรั่งซึ่งกำลังจะไปอเมริกา หลังจากยิ้มให้กัน คุยภาษาอังกฤษกันแบบงูๆปลาๆ สักพัก ก็ต่างคนต่างกินข้าว ต่างคนต่างดูหนัง ฟังเพลง หรือหลับไปตามเรื่อง (พบว่าตัวเองเอากระเป๋าเก็บไว้โดยลืมหยิบข้อมูลที่อยู่ซึ่งจะใช้กรอกใบเข้าเมืองออกมา) และแล้วก็มาถึงนาริตะ flight delay ไปเป็นชั่วโมง

เก็บวิวเมฆงามๆ ระหว่างทาง 


          ด้วยความใจเย็น หลังจากมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ยู้ก็เอาที่อยู่โรงแรมจากในกระเป๋าออมายืนกรอกแบบฟอร์มให้เสร็จแล้วค่อยไปต่อแถว ทำให้กว่าจะได้เข้าแถว แถวก็ยาวมากแล้ว ระหว่างรอไปน้องสาวก็กระวนกระวายเพราะว่าบลูซัง(เพื่อนที่จะมาพักด้วย)บอกว่าจะมารับ กลัวว่าเขาจะรอนานแล้วนึกว่าเราหายไป

          ความจริงความเอื่อยเฉื่อยของเราเป็นเหตุผลหนึ่งที่ตอนแรกบอกบลูซังว่าจะไปหาที่บ้านเอง ให้บอกวิธีเดินทางมาก็พอ แต่ว่าเขาก็เป็นห่วงเลยบอกว่าจะมารับ

          ตอนรอมีเจ้าหน้าที่เอาใบอะไรไม่รู้มาให้สอดไว้ใน passport ดูๆแล้วน่าจะเป็นใบประเมินเวลาในการทำงาน ตอนยื่นให้เจ้าหน้าที่ประจำเคาท์เตอร์ เขาทำหน้าเซ็งขึ้นมาทันที (ไม่ใช่ความผิดยู้นะ >.< อย่าโมโหเรียกเราไปกักตัวนะ) แต่เราสองคนก็ผ่านเข้าเมืองมาได้ฉลุย

          ออกมารับกระเป๋า อ้าว!! กระเป๋ายังไม่มาแฮะ สงสัยว่าคนจะเยอะ รู้สึกดีขึ้นหน่อยนึงว่าถึงไปต่อแถวเร็วก็ต้องมารออยู่ดี รอไปรอมาจนป้ายขึ้นว่า flight นี้กระเป๋าหมดแล้ว ตายละวา กระเป๋าหายเหรอ ก็เลยเดินเอา Tag ไปถามพนักงาน ส่งภาษาใบ้ไปนิดหน่อย พนักงานก็ชี้ไปที่กองกระเป๋าแถวๆนั้น เพราะว่ากระเป๋าอยู่บนสายพานนานเจ้าหน้าที่เลยหิ้วออกมาไว้ข้างนอก

          หลังจากได้กระเป๋าและเดินออกมาก็มีคนวิ่งรี่เข้ามาหาเรา ซึ่งเขากำลังตามหาเราอยู่ ติดต่อไม่ได้ (เขาประกาศเรียกด้วยนะ แต่ว่าไม่รู้ว่าประกาศไม่ดังถึงข้างใน หรือเพราะเราไม่ได้ฟัง) พอดีกว่าบลูซังฝากให้คนอื่น ซึ่งเขาจะมารับคนไทยอีกกลุ่มอยู่แล้ว ฝากรับเรากลับไปด้วย และคนไทยกลุ่มนั้นก็มา flight เดียวกับเรา และออกมาก่อนเป็นชั่วโมงแล้ว ทุกคนเลยคิดว่าเราโดนตม.กักตัวเพราะเป็นผู้หญิงที่มากันแค่สองคนหรือเปล่า (ความจริงคือเป็นเพราะความใจเย็นจนเกินควรของยู้เอง ขอโทษค่ะ)

          หลังจากทำความเดือดร้อนให้เวลาเที่ยวของชาวบ้านหายไปแล้ว รถก็ส่งพี่ๆ กลุ่มนั้นลงโอไดบะ แล้วก็พายู้และน้องไปที่บ้านของบลูซัง บ้านของบลูซังเป็นอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งกว้างขวางพอควรเมื่อเทียบกับมาตรฐานที่ญี่ปุ่น ที่นอนที่พี่เขาจัดให้เราอยู่ที่ห้องนั่งเล่น โดยเข็นโซฟาไปชิดประตูระเบียง แล้วปูฟูกพร้อมผ้าห่มหนานุ่มที่ลงไปขดตัวนอนแล้วอุ่นสบาย แม้อากาศจะเริ่มเย็น แต่เราก็ปิดหน้าต่าง พร้อมเปิดแอร์ ตามสไตล์คนไทยที่รู้สึกว่าถ้าปิดหน้าต่างแล้วไม่เปิดแอร์จะหายใจไม่ออก

          ทักทายแนะนำตัว แนะนำที่พัก และส่งมอบกุญแจกันเสร็จแล้วบลูซังก็พาเราไปเลี้ยงต้อนรับที่ร้าน Shabusen ที่กินซ่า กินไปเราก็ปลาบปลื้มในความนุ่มของเนื้อ การกินชาบูที่นี่จะตบท้ายด้วยเส้นหรือข้าว เพื่อให้กินน้ำซุปให้หมด ซึ่งพวกทั้งยู้และน้องเลือกเส้นกันหมด ส่วนของหวาน เจ้าบ้านแนะนำให้เราลองชิม Kuzukiri ของหวานตามฤดูกาล เป็นแป้งเส้นๆใสๆหนืดๆ เวลากินเอาไปจุ่มในถ้วยซอสซึ่งน่าจะเป็นน้ำตาลเคี่ยว เพราะได้กลิ่นไหม้นิดๆ ถ้าถามว่าอร่อยไหมรู้สึกงั้นๆ จืดไปหน่อย พอกินได้ แต่ถ้าถามว่าครั้งหน้าจะสั่งไหม คงไม่สั่งแล้ว

ย่านกินซ่า 


ถึงแล้วร้าน SHABUSEN 


มีทั้งเซ็ตเนื้อหมูและเซ็ตเนื้อวัวให้เลือก หน้าตาน่ากินมาก 


ผักที่ให้มาในเซ็ต


น้ำจิ้มเป็นพอนสึ(ใส่หอมเองตามใจชอบ) กับงา ตาม Style ชาบู 


แกว่งๆ ชาบู ชาบู แล้วกิน อร่อย >.< 


เส้นที่เลือกมากินกับซุป 


ขนม Kuzukiri เอาไปจิ้มซอสในถ้วยข้างๆ แล้วกิน (วิธีกินเหมือนโซบะเลย) 




วิธีเดินทาง : ตึก GINZA Core ชั้น B2 / นั่ง Tokyo Metro ลงสถานี Ginza ทางออก A3 หรือ A5


          ทานของหวานเสร็จแล้ว บลูซังก็พาเรามาที่ชั้น 1 เพื่อกินเค้กต่อที่ THE DARJEELING เค้กร้านนี้มีจุดเด่นที่มีส่วนผสมของชา (ความจริงหาข้อมูลทีหลังว่าเป็นร้านขายชาจากอินเดีย) แม้ว่าในเค้กจะไม่ค่อยได้รสชาเท่าไร แต่เค้กก็อร่อย นอกจากเค้กแล้วยังมีฮันนี่ โทสอีกด้วย

เค้กในร้าน DARJEELING 


Honey toast หน้าตาคนละแบบกับ After you 


          ทานอาหารและขนมจนอิ่มแปล้ บลูซังก็พาเราไปเดินชิลๆ ดูบรรยากาศแถวนั้น สัมผัสอากาศเย็นแบบที่ไม่ได้พบเจอมานานแล้วในเมืองไทย แวะซื้อผลไม้ข้างทาง เห็นฟักทองสีส้มติดตาติดจมูกให้เข้ากับวันฮาโลวีนที่จะมาถึง เดินย่อยสักพักพวกเราก็พากันกลับไปพักผ่อน เพื่อเริ่มท่องเที่ยวญี่ปุ่นอย่างแท้จริงในวันพรุ่งนี้

เพราะว่าใกล้ฮาโลวีนแล้ว ร้านขายผักผลไม้เลยเอาฟักทองมาแปะตากับจมูก ดูน่ารักเข้ากับเทศกาลดี 


สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้(รวม 2 คน)



  • เติมเงินใน Suica 2,000 x 2 คน >>> 4,000 Yen

หมายเหตุ  วันนี้มีคนเลี้ยงข้าว แถมมีคนไปรับมาจากสนามบินก็เลยแทบจะไม่ได้ใช้เงินเลย แล้วก็จำราคาอาหารเย็นไม่ได้แล้ว เพราะว่าไม่ได้ออกเงินเองค่ะ >///<



ค่าใช้จ่ายไม่รวม Shoppingรวม Shopping
วันนี้2,0002,000
รวม2,0002,000

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น