วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

ญี่ปุ่น...สองสามวัน... : วันที่. 11 : Kyoto[Fushimi Inari - Uji - Kiyomizudera- Yasaka jinja - Gion] : Tue. 06/11/2012

          วันนี้เราไปเที่ยวเกียวโตกัน โดยจุดมุ่งหมายหลักคือ ศาลเจ้า Fushimi Inari, กินชาเขียวที่ Uji, ไปดูการแสดงที่ Gion ความจริงอยากจะไปวัด Kinkakuji ด้วย แต่ดูจากเวลาแล้วไม่น่าจะทัน ก็เลยเปลี่ยนเป็นวัดน้ำใส และศาลเจ้า Yasaka แทน วันนี้ลอกการบ้านคุณ Skybox มาเกือบเต็มที่




          ตอนเช้าเรานั่งรถไปลงที่สถานี Inari เพื่อชมศาลเจ้า Fushimi Inari ก่อน เพราะศาลเจ้านี้เปิดตลอด เราก็เลยมาได้แต่เช้า บรรยากาศที่นี่สวยงามเหมือนในภาพถ่ายทีเห็นจริงๆ โทริอิสีแดงเรียงกันเป็นแถวเต็มไปหมด โทริอิเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีคนมาสร้างถวายเทพเจ้า จะเห็นว่าแต่ละต้นมีชื่ออยู่ (ท่าทางจะศักดิ์สิทธิ์จริงถึงเยอะขนาดนี้) ซึ่งด้านหน้าตัวศาลเราก็จะเห็นโทริอิอันเล็กๆ ที่คนนำมาถวายอยู่ด้วยเหมือนกัน



Fushimi Inari วิธีเดินทาง : นั่ง JR Nara line จากสถานี Kyoto ไปลงสถานี Inari


มาถึง Fushimi Inari แต่เช้า


ระหว่างทางเดินเข้าไปเห็นศาลเจ้าเล็กๆ ตั้งอยู่ (เพราะเป็นจิ้งจอกหรือเปล่านะเลยมีเยอะ)


มีจิ้งจอกหลากหลายแบบ




เจอโทริอิแล้ว ช่วงแรกๆ จะเป็นต้นใหญ่ๆ


เดินเข้ามาอีกก็เจอโทริอิเพียบเลยค่ะ มีทางแยกสองทาง เดี๋ยวไปโผลที่เดียวกัน


เหมือนเดินอยู่ในซุ้มอะไรสักอย่าง


          ความจริงแล้วถ้าจะเดินให้สุดทางที่มีโทริอิ ต้องขึ้นเขาไปอีกไกลมากค่ะ โดยส่วนใหญ่คนไทยก็จะขึ้นไปแค่ level แรก ซึ่งบนนั้นก็จะมีศาลอยู่ และมีหินเสี่ยงทาย ให้อธิฐานแล้วยกหิน ถ้ายกได้สบายแปลว่าจะสำเร็จโดยง่าย แต่ถ้ายกไม่ขึ้นเนี่ยก็แปลว่าไม่น่าสำเร็จ บนนี้มีผ่านป้ายอธิฐานขายอยู่ ซึ่งเป็นรูปหมาจิ้งจอก เนื่องจากศาลเจ้านี้เป็นเทพเจ้าจิ้งจอกค่ะ แต่ละคนที่อธิฐานก็วาดหน้าตาหมาจิ้งจอกต่างกันออกไปดูน่ารักดี ถ้าวาดหน้าตาได้ถูกใจเทพเจ้าคำขอจะสัมฤทธิ์ผลเร็วขึ้นไหมนะ

ศาลเจ้าจิ้งจอก


ป้ายขอพรรูปจิ้งจอก ดูเหมือนบางคนจะสนุกกับการวาดภาพมากกว่าขอพรหรือเปล่านะ


ตรงนี้เป็นหินเสี่ยงทาย เหล่าคุณป้าลองกันใหญ่เลย


ซูมๆ เทพเจ้าจิ้งจอก


ตรงนี้มีโทริอิเล็กๆ เต็มเลย


          ส่วนยู้กับน้องเดินขึ้นไปอีก level หนึ่ง ตรงนั้นจะมีร้านขายของ ทะเลสาบ และมีศาลเจ้าอยู่อีก วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น น้องสาวก็เลยใส่เสื้อกันหนาวมาเต็มยศ แต่พอเดินแล้วก็เหงื่อออกค่ะ ถอดเสื้อออกก็กลัวจะเป็นหวัด ใส่ต่อไปก็ร้อนเหลือเกิน เล่นเอาเสื้อหนาวเหม็นเหงื่อไปเลย สรุปแล้วพอถึงจุดนี้เราก็ตัดสินใจหันหลังกลับ เพราะความร้อนผสมหนาว และเพราะกลัวว่าจะไปจุดอื่นต่อไม่ทัน แต่ก็ยังเห็นมีคนอื่นเดินต่อขึ้นไปด้านบนกันนะคะ

เดินขึ้นมาอีกระดับนึงก็มีศาลเจ้าอยู่อีก แต่ตรงนี้ดูจะเก่ากว่า ถ้าตอนมืดๆ คงจะน่ากลัวเหมือนกัน


มีทะเลสาบด้วย


ขาเดินกลับเราจะเห็นตัวหนังสือชื่อคนถวายโทริอิ เขียนอยู่บนเสาด้วย ดูแล้วก็ขลังๆ หลอนๆ ไปอีกแบบ


          ถ้าใครไม่ชอบป้ายอธิฐานรูปจิ้งจอก ด้านล่างก็มีป้ายอธิฐานรูปโทริอิสีแดงสดค่ะ คำอธิฐานก็เขียนไว้ตามเสาแล้วกัน ราคา 800 เยน ใครจะไม่เขียนแล้วแขวนไว้ แต่จะเอากลับบ้านไปเป็นที่ระลึก เขาก็บอกว่าไม่ผิดกฏิกาแต่อย่างใด ส่วนยู้กับน้องก็เขียนอธิฐานร่วมกันไป 1 ต้น

ป้ายอธิฐานรูปโทริอิ


          หายเหงื่อออกแล้วเราก็มุ่งหน้ากันต่อสู่เมืองอุจิ มาถึงเราก็เข้าไปขอแผนที่จาก tourist information กันก่อนเลย เจ้าหน้าที่ก็ถามเราว่าอยากจะไปไหนเหรอ เอาล่ะสิ ไปไหนดีล่ะ แค่อยากจะมากินชาเขียว ก็เลยบอกไปว่า Just walking around คุณเจ้าหน้าที่ก็เลยแนะนำทางเดินเที่ยวมาให้ ขอบคุณนะคะ

          วันนี้โชคร้ายที่วัด Byoudo-in ปิดปรับปรุง ก่อนขายตั๋วคุณเจ้าหน้าที่บอกก่อนเลยค่ะว่าข้างในจะไม่เห็นวัดนะ มีผ้าใบคลุมอยู่ (และ print รูปวัดไว้บนผ้าใบแทน) ก็เลยตัดสินใจไม่เข้าไปค่ะ เราก็เลยได้แต่เดินชมสถานที่อื่นๆ ในเมือง เช่น สะพาน รูปปั้น และวัดอื่นๆ เจอเด็กๆประถมมาทัศนศึกษากันด้วย และเจอเด็กหญิงตัวน้อยใส่กิโมโน ไม่รู้มาทำอะไรที่วัด ช่างน่ารักน่าหยิก



Uji วิธีเดินทาง : นั่ง JR Nara line ไปลงสถานี Uji


ตู้ไปรษณีย์ที่ Uji เขียวมาเชียว


แม่น้ำเงียบสงบ ล่องเรือได้นะคะ แต่เท่าที่ดูไม่เห็นมีทั้งคนพาย และลูกค้า


สะพานแดงๆ เข้ากับเมืองเก่าๆ จริงๆ


วงๆ นี่เข้าใจว่าลอดผ่านแล้วจะโชคดีนะคะ มีน้องๆ หนูๆ มาทัศนศึกษากัน


วัดแถวๆ นั้น มีสาวน้อยใส่กิโมโนมาทำพิธีอะไรน้าาาาา


รูปปั้นจากวรรณกรรมชื่อดัง ตำนานรักเกนจิ


          เดินนานๆ ชักจะหิว ก็เลยแวะพักทานข้าวด้วยการสุ่มเข้าไปสักร้านหนึ่งแถวนั้นค่ะ เพราะว่ายังไม่เที่ยงดี ร้านก็เลยยังไม่มีคน ได้นั่งติดหน้าต่างเห็นวิวแม่น้ำ ทางร้านส่งเมนูที่มีรูปมา เราก็จิ้มๆ เมนูที่เป็นโซบะชาเขียวมาคนละชุด(แหม มาถึงอุจิก็ต้องชาเขียวสิ) สั่งชุดที่มีโซบะพร้อมข้าวมา เพราะดูจากรูปแล้วคิดว่าถ้วยนั้นเป็นมันบดๆ พลาดดดด แต่ก็กินจนหมดนะคะ

Ujigawaryokan เป็นร้านอาหารที่เราสุ่มเข้าไปกินในวันนี้ (เข้าใจว่าเป็นที่พักด้วย)


นั่งเคาท์เตอร์ยาวข้างหน้าต่าง ชมวิวแม่น้ำ


ยังไม่เที่ยงดี ในร้านเลยยังไม่มีคนค่ะ แต่เข้าใจว่าที่นั่งทั้งหมดคงมีทัวร์ หรือใครจองไว้แล้ว


เมนูหลากหลายแบบ


มีทั้งแบบร้อนและแบบเย็น


เป็นเบนโตะ ก็มี


มาถึงอุจิ แน่นอนว่าขอลองโซบะชาเขียวซะหน่อย กินแล้วก็ไม่ต่างจากโซบะธรรมดานะ


ชุดนี้พลาด สั่งชุดที่มีข้าวมาอีกแล้ว T_T


          อิ่มจากอาหารแล้วก็ไปต่อของหวานกันที่ร้านดัง tokichi ร้านไม่ค่อยมีคน ก็เลยได้นั่งติดริมแม่น้ำอีกแล้ว สั่งขนมมากินคนละชามใหญ่ๆ ค่ะ อร่อยลืมอ้วนไปเลย แอบได้ยินโต๊ะข้างๆ เป็นคนไทยด้วยค่ะ น่าจะเป็นคู่รักมาเที่ยวกัน

มาต่อกันที่ร้านของหวาน Tokichi


เมนูทั้งคาวหวานที่ติดอยู่หน้าร้าน


ร้านไม่ค่อยมีคน อาจเพราะไม่ใช่ช่วงที่เขาจะมาเที่ยวอุจิกัน Style การแต่งร้านน่ารักดีค่ะ ดูเป็นญี่ปุ่นแบบสมัยใหม่


จานนี้ของยู้


จานนี้ของน้องสาว


          เจอตู้ขายน้ำในอุจิ เป็นชาเขียวทั้งตู้เลยค่ะ รู้สึกเป็นเอกลักษณ์ดีนะ แต่เสียดายลืมถ่ายรูปมา พอกินขนมเสร็จเราก็เดินไปซื้อขาเขียวเป็นของฝาก และอำลาอุจิ นั่งรถไฟเพื่อไปวัดน้ำใสกันต่อ

แวะซื้อชาเขียวร้านนี้แหละ อยู่แถวๆ สะพาน


          วัดน้ำใสหรือวัด Kiyomizu ลงที่สถานี Kiyomizu Gojo แล้วเดินอีก 1.7 Km ตามที่ google map บอกค่ะ หรือใครจะนั่งรถเมล์ไปใกล้หน่อยแล้วค่อยเดินขึ้นไปก็ได้ แต่สาวน่องเหล็กอย่างเราขอเดินย่อยดีกว่าค่ะ วัดน้ำใสจัดว่าคนเยอะทีเดียว มีสาวๆ แต่งยูคาตะมาเที่ยวกันด้วย(มีแต่คนขอถ่ายรูป) แถมยังมีเด็กมัธยมมาทัศนศึกษาอีกต่างหาก ประกอบกับเสื้อที่ใส่มามันหนามาก น้องสาวเกิดอาการร้อน ผสมเมาคน ก็เลยรีบเดินรีบกลับกัน ระหว่างทางกลับก็เดินแวะหาซื้อของฝาก และของกินมาได้อีกหลายกล่องค่ะ



วัดน้ำใสหรือวัด Kiyomizu วิธีเดินทาง : นั่งรถไฟ local Keihan Main Line ลงสถานี KIYOMIZU-GOJO แล้วเดิน/ขึ้นรถเมล์/นั่งแท็กซี่


วัดน้ำใส


สาวในในชุดยูคาตะ


ดูจะสีซีดไปนิดนะ


          ถัดมาก็มุ่งหน้าสู่ศาลเจ้า Yasaka ระหว่างไปมีงงทางนิดหน่อย แต่ก็เดินไปถึงได้โดยสวัสดิภาพ ศาลเจ้า Yasaka คนน้อยกว่าที่วัดน้ำใสเยอะเลย เดินชมศาลเจ้าแล้วเราก็ไปเดินเล่นที่สวนข้างๆ ศาลเจ้า บรรยากาศเงียบสงบ ถ่ายรูปน้องเป็ด และใบไม้ที่กำลังจะเปลี่ยนสี



ศาลเจ้า Yasaka วิธีเดินทาง : ถ้านั่ง JR สถานีใกล้ที่สุดคือ TOFUKUJI ถ้าเป็น local line ให้ลงสถานี GION-SHIJO หรือเดินมาจากวัดน้ำใสก็ได้ แต่ไกลหน่อย


ศาลเจ้า Yasaka


ด้านในมีคนอยู่บ้าง แต่ไม่เยอะเท่าวัดน้ำใส


สวนข้างๆ ศาลเจ้า มีบ่อน้ำสวยๆ นั่งชิวๆ


ตรงนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ ใบไม้ยังเพิ่งเริ่มเปลี่ยนสี


ได้เวลาแล้ว เราก็ลาจากศาลเจ้า Yasaka


          พอได้เวลาเราก็เดินไปยัง Gion corner เพื่อดูการแสดงวัฒนธรรมของญี่ปุ่น การแสดงจะมีวันละ 2 รอบ เข้าไปจะเห็นป้ายติดไว้ว่ารอบหกโมงจะเริ่มขายบัตร 17:30 แต่ก็มีคุณฝรั่งต่อแถวอยู่แล้วเราก็เลยต่อแถวบ้าง พร้อมกับอ่านข้อมูลตามผนังไปก่อน พอถึงเวลาก็ประตูก็เปิด พอจ่ายเงินแล้วเราก็เข้าไปเลือกที่นั่งด้านในได้ตามอัธยาศัย การแสดงจะมี ชงชา(มีเชิญคนดูไปดื่มชาด้วย), ดีดโกโตะ, จัดดอกไม้, ระบำ gagaku, แสดงตลก, การรำของไมโกะ และหุ่นกระบอกค่ะ ช่วงที่ยู้ไป ถ้าพิมพ์เอกสารจาก web ไปลดราคาบัตรได้จาก 3,150 Yen เหลือ 2,800 Yen แต่ละช่วงอาจจะ Promotion ไม่เหมือนกัน ลองตรวจสอบดูนะคะ http://www.kyoto-gioncorner.com/global/en.html



GION วิธีเดินทาง : เหมือนศาลเจ้า Yasaka


ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามศาลเจ้า เพื่อเข้าไปย่าน Gion ตรงนี้มี LAWSON ด้วย ทำป้ายให้สีเข้ากับย่านนี้


ย่านกิออน เจอแต่คนมาเดิน ไม่เจอไมโกะเลย


และแล้วก็มาถึง Gion Corner


เห็นป้ายแปลว่ามาไม่ผิดแน่


จะมีขายตั๋วก่อนเวลาแสดงแค่ 15-30 นาที มาถึงก่อนก็ยืนต่อคิวรอไปก่อนนะ


ตรงข้างๆ ที่ต่อคิวมีอะไรให้ดูนิดหน่อย เกี่ยวกับการแสดงและการแต่งตัวของไมโกะ


ตั๋วหน้าตาแบบนี้


          ถ้าบอกตรงๆ การแสดงไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ ดูเหมือนคนแสดงจะรีบๆ จนดูไม่ขลังเท่าที่ควร บางการแสดงที่ต้องใช้เวลานานเขาก็แสดงมันพร้อมกันหลายๆอย่างซะงั้น ไม่รู้กลัวคนดูเบื่อหรืออย่างไร แต่อาจจะเพราะคนแสดงไม่มีสมาธิก็ได้ เพราะว่าขนาดเขาห้ามไม่ให้ใช้แฟลช แต่ก็ยังมีแสงไฟวาบๆ อยู่เป็นระยะ การแสดงหุ่นกระบอกนี่ หุ่นละครเล็กบ้านเราดีกว่าเยอะ การแสดงที่ดูจะน่าตื่นตาที่สุดคนเป็นการแสดงตลกนี่แหละค่ะ อาจจะเพราะว่ามันเข้าใจง่าย ไม่ต้องใช้สมาธิมากมาย

พิธีชงชา


ดีดโกโตะ


จัดดอกไม้ (น่าจะเรียกว่าดัดต้นไม้มากกว่านะ ไม่เห็นมีดอกเลย)


ระบำ gagaku


ละครตลก


การร่ายรำของไมโกะ


ละครหุ่น


          ก่อนจะกลับเราแวะกินทงคัตสึกันที่ร้าน Katsukura ที่ตึก the cube ติดกับสถานี kyoto (อาหารจะเป็นแนวซาโบเตน หรือไมเซน อย่างนั้นแหละค่ะ) ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง อร่อยมาก ข้าวจะผสมข้าวบาร์เลย์ ซึ่งนุ่มมากกกก เขาจะให้ข้าวมาหม้อเล็กๆ แล้วให้เราคดใส่ชามกันเอง น้องสาวกินไปเยอะจนต้องกลับไปพึ่งยาช่วยย่อยเลยทีเดียว
Katsukura วิธีเดินทาง : ชั้น 11 the cube (ตึกติดกับสถานี Kyoto มีทางเชื่อมด้วย) ขึ้นลิฟต์ที่ชั้น 2

หมูทอดจาก Katsukura



ข้าวเขาจะให้มาโถนึงเอามาตักใส่ชามเอง ผสมข้าวบาร์เลย์ด้วย นุ่มเหนียวอร่อย



ซุปมิโซะ เติมได้ฟรี



สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้(รวม 2 คน)

  • ป้ายขอพรที่ศาลเจ้า >>> 800 Yen

  • Ujigawaryokan (อาหารเที่ยง) >>> 2,000 Yen

  • Tokichi (ขนมหวาน) >>> 1,500 Yen

  • บัตร Gion corner 3,150 ลดเหลือ 2,800 x 2 คน >>> 5,600 Yen

  • Katsukura (อาหารเย็น) >>> 2,580 Yen

  • ค่าเดินทาง (subway) >>> 600 Yen

  • อาหาร&ขนม ระหว่างวัน และจิปาถะอื่นๆ >>> 550 Yen

  • ขนม & ของฝาก >>> 5,635 Yen

  • ซักผ้าหยอดเหรียญ >>> 1,300 Yen

  • ซื้อขนมปังไว้กินเช้าวันรุ่งขึ้น >>> 365 Yen



ค่าใช้จ่ายไม่รวม Shoppingรวม Shopping
วันนี้15,29520,930
รวม230,225265,900

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น