วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

ญี่ปุ่น...สองสามวัน... : ก่อนจะไป..3 : 3 เดือน ก่อนออกเดินทาง

-- จองที่พัก --

          ความจริงถ้าวางแผนเสร็จก่อนก็สามารถจองที่พักไปเลยก็ได้ เพราะโรงแรมที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จองได้เลยโดยไม่ต้องจ่ายมัดจำ เดี๋ยวนี้บางที่ยังขอเลขบัตรเครดิตไว้ แต่ก่อนนี่ไม่ขออะไรเลย ไม่รู้ว่าถ้าเบี้ยวแล้วจะปรับเงินที่ไหนนะ

          ซึ่งประมาณ 3 เดือนก่อนเดินทางเป็นช่วงที่ยู้เริ่ม clear ที่พักทั้งหมดว่าต้องจองให้เรียบร้อยแล้วนะ (โดยเฉพาะพวกที่ยังไม่ต้องจ่ายเงิน) เพราะบางโรงแรมจะไม่ให้จองล่วงหน้านานๆ ค่ะ จะรับจองแค่ 3 เดือนล่วงหน้า ส่วนโรงแรมที่ต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ก็เล็งไว้ก่อน แล้วค่อยมาจองหลังวีซ่าผ่าน

          สำหรับยู้น้องสาวมีเพื่อนอยู่ที่ญี่ปุ่น ดังนั้น ค่าที่พักตอนอยู่โตเกียวจึงประหยัดไปได้หลายตังค์ ซึ่งตอนจองที่พักยู้จะเน้นไปที่ Business Hotel ค่ะ เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว ต้องการห้องน้ำส่วนตัว และจะทำอะไรตื่นเช้า กลับดึก นอนดึกยังไงก็ไม่ต้องเกรงใจชาวบ้านเขา ถ้าจองห้องคู่ราคาต่อคนแพงขึ้นไม่มาก ก็เลยถือว่าซื้อความสะดวกเล็กๆน้อยๆ

Note : ว่าด้วยเรื่องที่พักและการจองอย่างละเอียด ถ้าว่างจะเขียนอีกทีนะคะ แต่หาๆ เอาใน internet คงมีเยอะล่ะนะ

จองอย่างไรให้ที่พักถูก?

ส่วนที่ 1 : เลือกที่พัก

          แน่นอนว่าที่พักแต่ละที่จะราคาต่างกันไป ถ้าใกล้สถานี, ห้องกว้าง, เตียงใหญ่, หรูหรากว่า, จำนวนดาวมากกว่า ก็ย่อมจะแพงกว่า ถ้าไม่อยากจ่ายแพง logic ง่ายๆ ก็ลดสเปคที่พักลงหน่อย  แต่ใช่ว่าเราจะหาที่พักราคายุติธรรมใกล้ๆ สถานีรถไฟไม่ได้นะ Business hotel ที่ญี่ปุ่นมีเยอะมาก ถ้าหาสถานีนี้ไม่ได้ลองสถานี้ใกล้ๆ อาจจะมีที่พักดีๆ ก็ได้

          ยู้ใช้วิธี search หาด้วย แผนที่ตาม web agent ต่างๆ เช่น agoda และอีกอย่างคือ ตอน search รถไฟด้วย hyperdia นี่แหละ จะมี link ไปที่ rakuten แสดงแผนที่และโรงแรมบริเวณสถานี เราก็จิ้มหาที่ถูกๆ ตามใจชอบ

          นอกจากนั้นในโรงแรมเดียวกันห้องแต่ละประเภทก็ราคาต่างกัน ถ้าไปกัน 2 คน โดยปกติห้องแบบ Twin (ที่มีสองเตียง) จะแพงกว่าแบบ Double(แบบเตียงใหญ่เตียงเดียว) และโรงแรมหลายๆที่จะมีห้องแบบ Semi-double คือห้องที่นอนสองคนแต่เตียงเล็กกว่าแบบ double ถ้าคุณเป็นคู่รัก หรือไม่มีปัญหาที่จะนอนชิดๆ กับเพื่อนร่วมห้อง จองห้องแบบนี้ก็ประหยัดไปได้อีกค่ะ โรงแรมบางที่จะมีห้องแบบญี่ปุ่นและตะวันตกซึ่งราคาก็จะต่างกันออกไปอีก

ส่วนที่ 2 : วางแผนจองให้ราคาถูก

ถ้าคิดมาแล้วว่าชั้นจะนอนโรงแรมประมาณนี้แหละ แต่เดี๋ยวก่อน เราอาจจะสามารถทำให้ถูกลงได้ด้วย 3 วิธีต่อไปนี้

1)  ลองหาหลายๆ web : ลองดูว่าจองผ่าน agent ไหนถูกที่สุด (บาง web ราคาที่แสดงยังไม่รวมค่าธรรมเนียมนะจ๊ะระวังด้วย) บางคนบอกว่าจองผ่าน agent ถูกกว่า แต่จากประสบการณ์เจอแต่ที่จองตรงกับโรงแรมเลยจะได้ราคาต่ำสุด และบางที่ถ้าจองผ่าน web ภาษาญี่ปุ่น อาจจะเจอ promotion ที่ราคาถูกลงอีกก็ได้

Note : ยู้เจอ web ญี่ปุ่นของโรงแรม country-hotel takayama มี promotion น่าสนใจ แต่พอกดจองปรากฏว่าหน้ากรอกข้อมูลบังคับให้ต้องใส่เป็นตัวอักษรคันจิ และฮิรางานะ ซึ่งชื่อต่างประเทศอย่างเรามันทำไม่ได้ เกือบจะถอดใจไปจองที่อื่นแล้ว พอดีไปเจอว่าถ้าจองผ่าน rakuten version ญี่ปุ่นก็มี promotion นี้ ก็เลยได้พักที่ดีๆ ราคาถูกค่ะ

2) จองล่วงหน้า : หลายๆโรงแรมจะมี promotion early bird ให้กับคนที่จองก่อน ซึ่งราคาจะถูกกว่าค่ะ โดยจะแบ่งเป็นระดับ เช่น จองล่วงหน้า 7 วัน, 14 วัน, 28 วัน ราคาก็จะต่างกันไป ที่สำคัญคือบางโรงแรมมีระบบการจองคล้ายๆ ตั๋วเครื่องบิน คือ ยิ่งที่นั่งเหลือน้อยจะยิ่งแพงขึ้น การที่เราจองแรกๆ ย่อมได้เปรียบค่ะ

Note : ตอนจอง Chisun hotel shin-osaka ยู้จองไปล่วงหน้านานมาก แล้วตอนหลังอยากจะเปลี่ยนแผน เปลี่ยนจากพัก 5 วันเป็น 4 วัน เลยคิดจะยกเลิกแล้วจองใหม่ ปรากฏว่าราคาใหม่รวมแล้ว 4 วันแพงกว่าราคาเดิมรวม 5 วันอีกค่ะ ก็เลยเปลี่ยนใจปล่อยไว้ตามเดิมก็ได้

3) จองที่เดียวกันหลายๆคืน : นอกจากจะทำให้เราไม่ต้องเก็บกระเป๋าแบกไปมาแล้ว บางโรงแรมถ้าพักติดต่อกันหลายคืนจะมีส่วนลดให้ค่ะ ถ้าเราเที่ยวเมืองใกล้ๆ กัน ก็ลองคิดถึงทางเลือกที่จะปักหลักพักในเมืองเดียว แล้วนั่งรถไปเที่ยวเมืองข้างๆ ดูนะคะ


-- ลางาน --

          อันนี้คงไม่มีอะไรมาก ขึ้นกับความสามารถส่วนบุคคล ว่าจะลางานได้นานขนาดไหนโดยไม่โดนไล่ออกจากงาน หรือโดนหัวหน้าเขม่น สำหรับยู้เองได้บอกหัวหน้าไว้นานมากแล้วว่าจะหายไปนานๆ ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน (แต่หัวหน้าคงไม่คิดว่าจะนานขนาดนี้ล่ะมั้งนะ) พอวางแผนเสร็จก็ไปบอกวันที่ที่แน่นอนกับหัวหน้า แล้วก็มา confirm อีกทีหลังได้วีซ่าและตั๋วเครื่องบินแล้ว


-- ทำพาสปอร์ต & ขอวีซ่า --

          ตอนนี้ญี่ปุ่นถ้าเข้าไปเที่ยวไปไม่เกิน 15 วันไม่ต้องขอวีซ่าแล้ว แต่ว่าตอนที่ไปตอนนั้นยังต้องขออยู่ (และตอนนี้ถ้าไป 23 วันก็ยังต้องขออยู่) รายละเอียดเกี่ยวกับการขอวีซ่า และการตรวจคนเข้าเมืองลองดูที่ web http://www.jp-vfsglobal-th.com/thai/ และ http://www.th.emb-japan.go.jp/th/consular/visaindex.htm ค่ะ เป็นภาษาไทยอ่านไม่ยากเลย

          ส่วนพาสปอร์ตจะกะเวลาไปทำก่อนขอวีซ่าก็ได้(ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากไปทำ) หรือจะเห่อไปทำไว้ล่วงหน้านานๆ ก็ได้

          ถ้าถามว่าขอวีซ่าญี่ปุ่นยากไหม ตัวเองไม่เคยขอวีซ่าไปที่อื่นเหมือนกัน แต่สำหรับญี่ปุ่นก็ได้มาไม่ยากนะคะ ตอนที่ขอครั้งแรกก็ได้มาที่ 90 วันเลยด้วย ที่สำคัญคงจะเป็นหลักฐานว่ามีงานที่มั่งคงในเมืองไทย ถ้าบัญชีที่ยื่นไปมีเงินเข้าสม่ำเสมอก็ไม่น่าจะมีปัญหา ถ้ายื่นพวกบัญชีฝากประจำ หรือฝากประจำรายเดือนไปด้วย เขาจะเชื่อใจมากขึ้นค่ะ เพราะว่าตอนไปครั้งแรกยื่นขอวีซ่าพร้อมพี่ที่บริษัท ยู้ได้วีซ่า 90 วัน แต่พี่เขาได้ 15 วันแค่นั้นเอง สิ่งที่ต่างกันคือยู้ยื่นสมุดบัญชีไปหลายเล่มค่ะ มีฝากประจำด้วย ส่วนพี่เขาเอาเงินทั้งหมดรวมอยู่ในออมทรัพย์ ก็เลยคิดเอาเองว่า ถ้าเรามีบัญชีฝากประจำอยู่เขาคงคิดว่ายังไงเราต้องกลับมาถอนเงินล่ะมั้งนะ

          หลังจากยื่นขอวีซ่าไปประมาณ 1 สัปดาห์เราก็ทราบผล วีซ่าที่ได้มาแล้วมีอายุ 3 เดือนนะคะ ยู้ก็เลยขอวีซ่าก่อนไปประมาณ 2 เดือนครึ่ง


-- จองตั๋วเครื่องบิน --

          ก่อนไปเราก็เล็งไว้ก่อนว่าจะจองที่ไหน พอวีซ่าผ่านก็กดจองเลยค่ะ ยู้กับน้องสนใจแต่สายการบินที่เป็น Direct flight เพราะไม่อยากเสียเวลาไปต่อเครื่อง ซึ่ง ณ ตอนนั้น ก็มีสายการบิน THAI, JAL, ANA, UA, DELTA ที่ราคาถูกก็คือ UA และ DELTA นี่แหละ ตอนแรกกะว่าจะบิน DELTA แต่พอถึงวันที่จะจองราคาขึ้นซะงั้น งานนี้ก็ได้เลยได้บินกับ UA ค่ะ ตั๋วราคาประมาณ 18,000 บาท ไป-กลับจากนาริตะ

          อย่างที่บอกว่ายู้มีการเปลี่ยนแผนรอบสอง ซึ่งก็ทำให้ต้องเลื่อนตั๋วเครื่องบินขากลับเสียเงินค่าเปลี่ยนแปลงไปประมาณพันกว่าบาทต่อคน ตอนแรกเราก็เล็งว่าจะเลื่อนกลับจากวันพุธเป็นวันเสาร์ พอจัดการแจ้งทั้งพ่อแม่ ทั้งหัวหน้าเสร็จแล้วจะเข้าไปเปลี่ยนตั๋ว ปรากฏว่าตั๋ววันเสาร์ราคาเพิ่ม !!! ถ้าจะเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ต้องเพิ่มส่วนต่างค่าตั๋วด้วย ก็เลยเปลี่ยนเป็นกลับวันอาทิตย์แทน พอหลังจากนั้นไม่กี่วันราคาของวันเสาร์ก็กลับมาเป็นราคาเดิม.... ดวงคนมันจะได้อยู่เที่ยวต่ออีกวันล่ะนะ (พอดียู้กับน้องไปนอนบ้านเพื่อน การเลื่อนตั๋วอีกวันนึงเลยไม่ส่งผลกับงบมากเท่าไหร่ค่ะ)


-- ซื้อ JR Pass --

สำหรับคนที่ไปเที่ยวอย่างเรา Pass เป็นตัวช่วยที่หลายๆ คนมองหา เพราะมีข้อดี คือ

  1. ประหยัด จ่ายแบบเหมาๆ เดินทางกี่รอบก็ได้
  2. ใช้งานง่าย สะดวกสบาย ไม่ต้องเสียเวลาซื้อตั๋วทุกครั้ง ไม่ต้องปวดหัวดูว่าราคาเท่าไหร่กดซื้อถูกไหม
  3. บาง Pass สามารถนำไปยื่นเพื่อเป็นส่วนลดค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้ด้วย

          บางครั้งการใช้ pass คำนวณแล้วไม่คุ้มด้านจำนวนเงิน แต่ถ้าแพงกว่าแค่นิดหน่อยเราอาจจะถือว่าซื้อความสะดวกสบาย และยังเป็นหลักประกันว่าถึงแม้เราจะหลงออกมาผิดสถานี ก็สามารถกลับเข้าไปได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม

          JR Pass ที่เดินทางได้ทั้งประเทศนั้นต้องซื้อจากไทยเท่านั้น เราจะได้ exchange ticket มา และนำไปแลก pass ของจริงที่ญี่ปุ่นได้ภายใน 3 เดือนนับจากวันซื้อ ซึ่งยู้ซื้อจาก booth ในงานท่องเที่ยวค่ะ ถูกว่าซื้อตามปกตินิดนึง

           ส่วน Pass อื่นๆ ทั้งของ JR และไม่ใช่ก็มีวิธีซื้อและข้อกำหนดต่างกันไป อาจจะต้องลองหาข้อมูลกันดูนะคะ บางอันทำได้ทั้งซื้อ exchange จากไทยและไปซื้อเองที่ญี่ปุ่นก็ได้ Pass บางอันก็ขายแค่บางสถานที่ เช่น ขายเฉพาะที่สนามบินเท่านั้น


-- แลกเงิน --

          เล็งๆ ดูแล้วค่าเงินเยนค่อยๆ แข็งขึ้น ก็เลยทยอยแลกไว้ แต่ยังไม่กล้าแลกทั้งหมด ด้วยความคาดหวังว่ามันจะลง (เห็นว่าช่วงนี้ของทุกปีเงินเยนมันจะอ่อน) แต่ไม่ค่ะ เงินเยนแข็งขึ้นเรื่อยๆ และมาอ่อนหลังจากกลับมาแล้ว สุดท้ายค่าใช้จ่าย trip นี้เลยแพงเชียว แถมเงินที่แลกไปเกินก็ขาดทุนอีกต่างหาก T_T

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น