วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

ญี่ปุ่น...สองสามวัน... : วันที่. 9 : Miyajima - Usuki[Misen - เทศกาลไม้ไผ่] :Sun. 04/11/2012

          วันนี้เป็นวันที่เดินทางเยอะมาก โดยเราจะออกจากโซนคันไซลงไปแวะเที่ยว Miyajima และ Hiroshima ก่อนจะนั่งรถยาวๆ ลงไปชมเทศกาลไม้ไผ่ที่ Usuki แล้วค่อยย้อนกลับมานอนแถวฟุคุโอกะ ความจริงวันนี้เป็นวันว่าง 1 วันที่ยู้วางแผนไว้ว่าจะใช้เดินทางลงไปฟุคุโอกะ ก็เลยหาที่เที่ยวตามทางจนได้ Hiroshima นี่แหละ ตอนหาที่เที่ยวก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปไหนบ้างตัดอะไรออก หรือจะใช้เวลาจริงเท่าไหร่ และพอดีว่าอยากไปดูเทศกาลไม้ไผ่ที่ Usuki ด้วย ก็เลยใส่ๆ ที่เที่ยวไว้เต็มไปหมดไว้กะว่าถ้าเวลาไม่พอค่อยตัดออกเดี๋ยวนั้น ในแผนก็เลยมีทั้ง Miyajima, Atomic bomb dome และ Usuki ในวันเดียว

          หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเราก็คว้าเอากระเป๋าใบเล็กที่จัดไว้เมื่อคืน มุ่งหน้าไปสถานีเพื่อขึ้นรถไฟขบวนเช้าที่สุดเท่าที่ JR Pass จะเอื้ออำนวย ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่า เราก็มาถึงท่าเรือเพื่อจะข้ามไปยังเกาะมิยาจิม่า ว่าแล้วก็มุ่งหน้าไปยังท่าเรือของ JR เลย โชว์ JR Pass แล้วขึ้นฟรีเลยจ้า



Miyajima วิธีเดินทาง : จากสถานี Hiroshima นั่ง่ JR Sanyo Line ลงสถานี MIYAJIMAGUCHI แล้วนั่งเรือต่อมายังเกาะ


ว่าแล้วก็ขึ้นชินกังเซนเที่ยวแรกไปลง HIROSHIMA กันเลย


สถานีเรือข้ามฟากของ JR ใครใช้ JR Pass อย่าไปผิดเจ้านะจ๊ะ


          พอเรือมาใกล้ๆ เกาะ ก็เริ่มเห็นโทริอิกลางน้ำ (เรือจะอ้อมไปทางด้านนั้นเล็กน้อยเพื่อให้เราชมโทริอิกันด้วยค่ะ) พอถึงท่าเรือกำลังจะออกเดินไปทางโทริอิ ก็พบ.... น้องกวางทั้งหลาย พอเราจะเข้าไปใกล้ๆ ถ่ายรูปด้วยมันก็ยื่นหัวมา พยายามจะกินโบว์ชัวร์ในมือเราค่ะ ระวังอาหารไม่ย่อยนะอีหนู = =! หลังจากถ่ายรูปกับกวางฟรีโดยไม่ให้อะไรมันกินแล้ว เราก็เดินต่อไปที่มุมมหาชน เพื่อถ่ายรูปกับโทริอิ และเข้าไปชมศาลเจ้า Itsukushima จังหวะเวลาไม่ดีเท่าไหร่พอดีว่าเวลาที่ไปเป็นช่วงน้ำลง เราก็เลยไม่ได้เห็นภาพศาลเจ้าที่เหมือนลอยน้ำอยู่ แต่ก็ยังลงไม่สุดจนสามารถเดินไปที่โทริอิได้

วิวโทริอิจากเรือ


น้องกวางเห็นกระดาษเป็นไม่ได้ จะยื่นหัวมากินลูกเดียว


เจอเด็กทัศนศึกษาอีกแล้ว โรงเรียนญี่ปุนนี่ทัศนศึกษากันบ่อย หรือเขามีโรงเรียนเยอะกันนะ


วิวงามๆ ของโทริอิ


เข้ามาเที่ยวในศาลเจ้า Itsukushima แต่น้ำลง T_T


อีกมุมหนึ่ง


สีแดงนี่ให้ความรู้สึกเป็นศาลเจ้าจริงๆ


          ออกมาจากศาลเจ้า Itsukushima แล้วก็ออกมาเดินดูศาลเจ้าและ Pagoda บริเวณนั้น ก่อนจะเดินขึ้นเขาหาทางไปยังสถานี Ropeway เพื่อขึ้นไปบนยอดเขา Misen

วัดและศาลเจ้ารอบๆ ไม่รู้ชื่อเหมือนกันนะ


          ระหว่างทางจะเห็นใบไม้ที่เริ่มจะเปลี่ยนสีนิดๆ ถ้าหลังจากนี้อีก 2-3 สัปดาห์แถวนี้ต้องเต็มไปด้วยผู้คนที่มาดูใบไม้เปลี่ยนสีแน่ๆ เดินงงๆ ไปมาก็ไปพบกับร้านขายของที่ตั้งอยู่บนชะง่อนเขา คุณลุงเจ้าของร้านก็เดินออกมาเชิญชวนว่า “Japanese Tea Drink Drink” ด้วยความน่ารักของคุณลุงบวกกับวิวสวยๆ เราก็เลยสั่งชาเขียวมัจฉะ+ขนมมากินกันคนละชุด

          ขนมชุดละ 650 เยน ประกอบด้วยโมมิจิมันจู 1 ชิ้น และชาเขียว 1แก้ว ซึ่งชาเขียว(ดูจากหน้าตาที่เขายกมาให้) น่าจะเป็นชาที่ชงแบบพิธีชงชา(ใช้ผงมัจฉะ แล้วคนๆด้วยไม้ชงชา) เพราะเห็นฟองฟ่อดมาเลย เป็นชาเขียวที่เข้มข้นมาก ยู้ดื่มจนเหลือก้นๆ ถ้วยที่มีผงชาข้นๆ ก็ยกให้น้องสาวผู้ชื่นชอบชาเขียวจัดการต่อ ส่วนโมมิจิมันจูเป็นที่ถูกใจของน้องสาวมากเพราะเป็นไส้เผือก(น้องสาวไม่ชอบถั่วแดง)

Japanese Tea Drink Drink ของคุณลุง เข้มข้นมากๆ


อากาศหนาวๆ จิบชาร้อนๆ วิวงามๆ ใครผ่านไปอย่าลืมแวะอุดหนุนคุณลุงนะคะ


          นั่งฟินอยู่สักพักเราก็ออกเดินทางต่อจนมาถึง Ropeway จนได้ ค่า Ropeway ไปกลับคนละ 1,800 เยน ซึ่งถ้าใครหิ้วกระเป๋าหนักๆมา พอนั่ง Ropeway ขึ้นมาด้านบนแล้วมี “Free locker” ค่ะ จากเดิมที่งกไม่อยากหยอด locker ด้านล่าง กะว่าเป้ไม่หนักมากสามารถสะพายไหว ก็เลยรู้สึกหนักขึ้นมาทันที (แต่ถ้าช่วงคนเยอะๆ locker จะเต็มหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะคะ) ตรงสถานีด้านบนนี้ชั้นสองมีให้ไปเรียนทำโมมิจิมันจูรูปหัวใจด้วยนะคะ ถ้าใครว่างๆ ก็ไปเรียนได้

น้องกวางก้นเป็นรูปหัวใจ


เพราะเป็นภูเขาอากาศเย็น ที่นี่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีนิดหน่อยแล้วค่ะ อีกไม่นานคงจะเต็มไปด้วยผู้คน


ซื้อตั๋ว Ropeway แล้วคนละ 1,800 Yen


ด้านบนมี free locker ค่ะ


มี class ให้ฝึกทำโมมิจิมันจูด้วย แต่ไม่ได้ไปเข้าร่วมนะคะ


          เราเดินไปถ่ายภาพจุดชมวิว ตรงจุดชมวิวนี้จะเห็นแท่งเหล็กอยู่ แต่ละแท่งติดชื่อไว้ ซึ่งถ้าเราส่องไปตามแท่งเหล็กนี้จะเห็นเกาะที่ชื่อนั้นค่ะ (Create มาก ชอบจัง)

ตรงจุดชมวิวจะมีป้ายติดชื่อเกาะ และแท่งเหล็กกลวงๆ ติดอยู่


มองเข้าไปจะเห็นเกาะที่เขาติดชื่อไว้ค่ะ


วิวจากจุดชมวิวตรงสถานี Ropeway


          ถ่ายรูปเสร็จแล้วสองพี่น้องก็เกิดอาการว่า 1,800 เยน เราจะถ่ายรูปแค่นี้เหรอ หรือจะเดินไปจุดสูงสุดของ Misen ประมาณ 1 Km จากจุดนี้และเป็นทางขึ้นเขา ถ้าเป็นปกติคงบ่ยั่น แต่ ณ ตอนนี้ประมาณ 11:30 แล้ว Atomic Bomb Dome ตัดทิ้งไปได้ แต่ถ้าอยากไป Usuki ต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานี Hiroshima ให้ทัน 14:20 ไหนจะลงไปแล้วต้องไปข้ามเรืออีก

          คุยกันจนได้ข้อสรุปว่า ไหนๆ ก็ขึ้นมาแล้วก็เดินให้ทั่วเถอะ แต่ก็ให้ทำเวลานิดนึง ไม่เดินชิวๆ แบบปกติ ถ้าทันเราก็จะไป Usuki กัน แต่ถ้าไม่ทันก็เที่ยวแถวนี้ และใน Hiroshima แล้วเข้าที่พักเลยก็ได้ สองคนก็เลยมุ่งหน้าเดินตามชาวญี่ปุ่นทั้งหลายขึ้นเขาไป เขาที่ญี่ปุ่นจะไม่เหมือนเราไปขึ้นภูกระดึงนะจ๊ะ ทางเดินส่วนใหญ่ เรียบๆ ราดคอนกรีตไว้หมดแล้ว ถ้ามีบันไดก็เป็นขั้นเท่าๆกัน นานๆทีจะต้องมีลอดหินหรืออะไรบ้าง คนญี่ปุ่นที่มาปีนเขาก็เลยมีหลากหลายช่วงอายุตั้งแต่คุณปู่ จนถึงเด็กๆปล่อยวิ่งเล่นเอง ดูแล้วน่ากลัวถ้าโดนใครชนจะกลิ้งตกเขาไหมเนี่ย

แผนที่ทางบน Misen


ระหว่างทางเดิน


          ระหว่างทางไปและทางกลับก็มีอะไรให้ดูมากมาย จุดแรกสุด และจุดใหญ่ที่สุด มีไฟที่จุดมาแล้วกว่าพันปีไม่เคยดับ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของรักนิรันด์ด้วย ตรงนี้มีที่ขายของด้วย แต่ไม่มีคนเฝ้านะจ๊ะ อยากได้อะไรก็หยิบไปแล้ววางเงินไว้ คนญี่ปุ่นช่างซื่อสัตย์จริงๆ น้องสาวอยากจะซื้อเครื่องรางความรักไปฝากบลูซัง แต่เนื่องจากเจอคันจิล้วน อ่านไม่ออก ก็เลยอดไป

มีคนแต่งยูคาตะรองเท้าไม้มาด้วย O_o


Reikado Hall (Eternal Fire Hall)


มีให้ซื้อเทียนจุดด้วย (ดูหน้าตาเทียนมันขลังๆ หลอนๆ ชอบกล)


ร้านขายของจะซื้ออะไรก็หยิบแล้ววางเงินไว้เลยจ้า


ระหว่างทางไปต่อต้องมีอุปสรรคกันบ้าง ก้มหัวลอดหินเล็กน้อย (อยากบอกว่านี่เป็นจุดหนึ่งที่เขียนในแผนที่เลยนะ)


          เดินต่อมาอีกพักใหญ่ก็ถึงจุดชมวิว มีการสร้างที่ชมวิวด้วย วิวแถวนี้จะเห็นทะเลน้อยกว่าตรง Ropeway นะ รอบๆ จุดนี้มีคนพักกินข้าวกล่องที่หอบหิ้วกันขึ้นมาเต็มไปหมดเลย แต่เราไม่ได้ซื้ออะไรขึ้นมา แถมยังต้องรีบแล้วด้วยขอกลับก่อนล่ะ

มาถึงจุดสูงสุดของ Misen แล้ว ชาวญี่ปุ่นทั้งหลายเขาก็นั่งพักกินข้าวเอาแรงกัน


อันนี้เพื่ออะไรกันนะ??


มีหอสังเกตการณ์ให้ขึ้นไปชมวิวได้


วิวจากหอสังเกตการณ์ (ต้นไม้บังซะส่วนใหญ๋)


ขากลับผ่านหินอันนี้ค่ะ เขาบอกว่าน้ำในหินนี้จะขึ้นและลดตามน้ำขึ้นน้ำลง แถมยังเป็นน้ำเค็มด้วย 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์


          เดินไปเดินกลับน้องสาวก็เดินดุ่มๆ นำหน้าไป ส่วนพี่สาวเดินเหนื่อยก็พักถ่ายรูปข้างทางไป สรุปแล้วใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เราสองคนก็เอากระเป๋าจาก locker แล้วนั่ง Ropeway กลับลงมาด้านล่าง ดูเวลาแล้วน่าจะทันแบบฉิวเฉียด ก็เลย รีบเดินกึ่งวิ่งกลับไปยังท่าเรือ แต่ยังไม่วายขอแวะถ่ายรูปวัดตอนน้ำขึ้นนิดนึง ระหว่างทางก็เห็นเขาขายขนม ขายปลาหมึก ขายหอยนางรม อยากกินมาก แต่เนื่องจากเหลือเวลาไม่มาก ก็เลยต้องอดไป ถ้าคราวหน้าได้มาแถวนี้อีกไม่พลาดแน่ๆ (ความจริงวิ่งไปก็ไม่ทันเรือรอบที่เห็นอยู่ลิบๆอยู่ดี ต้องรอรอบถัดไป ถ้าแวะซื้อปลาหมึกอาจจะทันก็ได้นะ ฮ่า)

ขากลับพอลงจาก Ropeway แล้วก็เดินลงมาตามถนน


มีร้านค้าอยู่ตามทางด้วย แต่ร้านนี้สงสัยจริงว่าถ้าซื้อแล้วจะขนกลับไปยังไง


ลงมาถึงด้านล่างก่อนไปขึ้นเรือ ผ่านศาลเจ้าอีกครั้ง พบว่าน้ำขึ้นแล้ว (แต่ได้แต่ถ่ายไกลๆนะ)


          เรามาขึ้นรถไฟทันพอดี อาหารเที่ยงยังไม่ตกถึงท้อง เราก็เลยแวะซื้อข้าวกล่องรถไฟกินตอนบ่ายสามครึ่ง เมื่อตอนเปลี่ยนขบวนรถไฟ

ข้าวกล่องรถไฟของยู้ รวมๆหลายอย่าง มีตั้ง 2 ชั้น


อันนี้ของน้องสาว ไก่มะนาว


          Usuki เป็นเมืองเล็กๆ ค่อนข้างชนบท จาก Hiroshima ต้องต่อรถสามต่อ HIROSHIMA > KOKURA > OITA >USUKI ตอนที่จะลง OITA ลงผิด ไปลงที่ BEPPU ซึ่งถึงก่อน OITA 1 สถานี ดีที่ได้จดขบวนสำรองมา จึงรู้ว่าสามารถขึ้นขบวนถัดไปได้ ระหว่าง OITA > USUKI เป็นรถไฟหวานเย็นแล่นช้าๆ ระหว่างทางเจอคุณลุงแต่งตัวประหลาดมีผ้าคาดหัว ถือป้าย ขึ้นมาโวยวาย ฟังไม่รู้เรื่องแต่น่าจะเป็นพวกลัทธิโลกแตกหรืออะไรสักอย่าง (เห็นมีเด็กผู้ชายคนนึงตามขึ้นมาด้วยนะ ไม่รู้เป็นอะไรกัน) รู้สึกได้ว่าทุกคนในขบวนเงียบกริบ ไม่สบตา เขาก็ขึ้นๆลงๆ ไปโบกี้โน้นนี้อยู่พักใหญ่ จนน้องสาวบ่นงึมงำ ว่าน่ากลัวอยากจะกลับ อยากจะลงจากรถ แต่ในที่สุดเราก็มาถึง Usuki โดยสวัสดิภาพ

          พอเดินออกจากสถานีเราก็พบกระบอกไม้ไผ่จุดไฟไว้ ให้รู้ว่าเรามาถูกที่แล้ว หลังจากงมๆเดินตามทางอยู่พักใหญ่พอให้ใจเสียว่าหลงทางหรือเปล่าเนี่ย(แต่พยายามเดินตามคนญี่ปุ่นที่เรารู้สึกว่ามางานนี้แน่ๆ) เราก็มาถึงตัวงาน งานเทศกาลไม่ใหญ่มาก(น้องสาวบอกว่า งานมีแค่นี้เหรอ) และโชคไม่ดีที่ฝนตกปรอยๆ ทำให้อากาศหนาว ถึงแม้ว่าทางที่เดินมาจะดูร้างๆ แต่ในงานคนค่อนข้างเยอะ มีกระบอกไม้ไผ่หลากหลายแบบ เห็นชาวบ้านมาช่วยกันดูแล กระบอกไม้ไผ่บางอันเหมือนจะเป็นผลงานของเด็กๆด้วย บริเวณนั้นมีซุ้มขายอาหารอยู่ แต่เราเพิ่งจะกินข้าวกล่องกันมาเลยไม่ได้ซื้อ แม้งานจะไม่ใหญ่ และทุลักทุเลในการเดินทางไปบ้าง แต่ก็รู้สึกดีที่ได้มาดูค่ะ รู้สึกเป็นงานที่ชาวบ้านช่วยกันจัดขึ้น



เทศกาลไม้ไผ่ที่ Usuki วิธีเดินทาง : นั่ง JR ลงสถานี USUKI(OITA)


เห็นป้ายแล้ว


ความจริงสถานที่จัดงานไม่ได้ใหญ่มาก แต่ว่าแต่ละจุดก็สวยงามค่ะ


Tokyo sky tree


ภาพบนกระดาษขาวด้านนอก เป็นงานฝีมือของเด็กๆค่ะ


มีซุ้มขายอาหารด้วย


          เนื่องจากงานเล็กกว่าที่คิด ประกอบกับเจอฝน เราก็เลยตัดสินใจกลับกันเร็วกว่าแผน ระหว่างทางกลับเห็นว่าระหว่างทางจะมีวางกระบอกไม้ไผ่เป็นเส้นทางเดิน(ตอนไปเดินคนละทางเลยไม่เห็น) บางบ้านก็มีทำกระบอกไม้ไผ่ประดับไว้ที่หน้าบ้านตัวเองด้วย

ส่วนที่ไม่มีงานออกจะเปลี่ยวๆ มืดๆ อยู่หน่อยค่ะ แต่มีการจุดไฟในไม้ไผ่ไว้ตามทาง จะได้หาสถานที่จัดงานเจอ


          เราเดินกลับมาถึงสถานีก่อนเวลารถไฟอยู่นานโข จากที่นี่มีรถไฟตรงไป HAKATA เลย ซึ่งเป็นการเดินทางที่ใช้เวลาน้อยที่สุด ถ้าไปขบวนอื่นแม้จะได้ออกไปก่อนแต่สุดท้ายก็ถึงช้ากว่าหรือเท่ากัน เรานั่งง่วงๆ อยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะเราทำหน้ามึนงงหรืออย่างไร คุณเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่บริเวณสถานี(คิดว่าน่าจะเป็นคนที่มาให้ข้อมูลและช่วยเหลือเกี่ยวกับงานเทศกาลนี่แหละ) ก็เดินเข้ามาถามๆ และพยายามจะช่วย ติดแต่เขาพูดอังกฤษไม่ได้ ส่วนอังกฤษของเราก็งูๆ ปลาๆ เขาก็ชี้ไปประมาณว่าให้ถามนายสถานีได้นะจ๊ะ เขาพูดอังกฤษได้ เป็นความประทับใจเล็กๆอย่างหนึ่งของทริปนี้ (ถึงแม้ว่าสรุปแล้วก็ไม่ได้เข้าไปถามอะไร และนั่งรอจนรถไฟมา)

          มาถึง Hakata ประมาณห้าทุ่มครึ่ง อากาศแถวนี้อุ่นกว่า Usuki เยอะเลย คืนนี้เราพักกันที่ The B Hakata เพื่อจะมุ่งหน้าไป HUIS TEN BOSCH ในวันพรุ่งนี้ ทำไมถึงเลือกพักที่นี่น่ะเหรอคะ? เพราะมันเป็นเมืองที่สามารถนั่งรถไฟจาก Usuki มาได้ในคืนนี้ และสามารถนั่งรถไฟเที่ยวแรกไป HUIS TEN BOSCH ได้ทันก่อนเปิดสวนสนุก

          พอ check-in เรียบร้อย เราก็ขึ้นไปบนห้องกัน และพบว่า... ไม่เคยคิดว่าจะได้พูดคำนี้ ในห้อง“ร้อน”ค่ะ เราพยายามดูคู่มือดูที่ปรับอุณหภูมิ แล้วก็พบว่าทำอย่างไรช่องแอร์ก็มีแต่ลมร้อนออกมา(คงเป็นเครื่องทำความร้อนสินะ) น้องสาวเลยได้ใช้วิชาภาษาญี่ปุ่นโทรลงไปถามว่าเปิดแอร์ได้ไหม มั่วกันอยู่พักหนึ่งกว่าเขาจะเข้าใจว่าเราร้อน แล้วเขาก็เลยบอกว่าให้ปิดเครื่องทำความร้อนไปซะแล้วจะไดโจบุ (ไดโจบุ = โอเค, ไม่เป็นไร) สรุปคือฮีตเตอร์กับแอร์ เป็นท่อเดียวกัน ช่วงนี้เราเปิดแอร์ไม่ได้ เพราะเขาเปิดฮีตเตอร์ สรุปแล้วเราก็เลยใช้วิธีบ้านๆ เปิดหน้าต่างทิ้งไว้สักพักให้ห้องเย็น (น่าจะทำแต่แรกแล้วไม่รู้จะโทรไปถามเขาทำไม 555)



The B Hakata วิธีเดินทาง : ลง JR HAKATA (Chikushi exit) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 2 แยก


ห้องนอนที่ The B ก็ size มาตรฐานค่ะ ไม่ได้ใหญ่หรือเล็กไปกว่า Chisun


ห้องน้ำก็ขนาด(เล็ก)มาตรฐาน


สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้(รวม 2 คน)

  • ขาเขียว & ขนม >>> 1,300 Yen

  • Rope way 1,800 x 2 คน >>> 3,600 Yen

  • ข้าวกล่องบนรถไฟ >>> 1,880 Yen

  • อาหาร&ขนม ระหว่างวัน และจิปาถะอื่นๆ >>> 710 Yen

  • โรงแรม The B Hakata >>> 5,300 Yen

  • ซื้อขนมปังไว้กินเช้าวันรุ่งขึ้น >>> 550 Yen



ค่าใช้จ่ายไม่รวม Shoppingรวม Shopping
วันนี้13,34013,340
รวม196,610226,250

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น