วันนี้เราออกจากบ้านเช้าหน่อยเพื่อไปตลาดปลาซึกิจิ โดยปกติตามสูตรถ้าจะมาที่นี่ต้องมาถึงตั้งแต่เช้ามืด แต่ยู้ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาดูการประมูลปลาอยู่แล้ว(ถ้าอยากมาจริงคงต้องคิดหนัก เพราะเช้ามืดยังไม่มีรถเมล์ ไม่รู้จะออกจากบ้านบลูซังมาสถานียังไง) ยู้แค่กะว่าจะมาเดินเล่น และกินปลาดิบเป็นอาหารเช้ากันค่ะ พอมาถึงก็งงๆเล็กน้อย ตรงไหนมันคือร้านซูชิที่เขาว่ากันนะ ยู้ไม่ได้ตั้งใจมากินร้านดังเพราะไม่อยากต่อแถว ก็เลยไม่ได้หาข้อมูลมาแบบละเอียดว่าร้านอาหารมันอยู่ตรงไหนบ้าง เห็นเขาบอกว่ามีร้านอาหารด้านในกับด้านนอก คิดว่าไปเดินๆหาคงเห็นแถวยาวๆ เอง แต่ดันไม่เจอซะนี่ ประกอบกับกลัวว่าจะไม่มีเวลาเดินเล่น ก็เลยคิดว่ากินข้าวหน้าปลาดิบร้านไหนก็ได้สักร้าน หันไปถามน้องสาวว่าเอาร้านไหน น้องสาวก็บอกว่าเธอเลือกเลย เธอมีเซนส์ด้านร้านอาหาร ยู้ก็เลยสุ่มเข้าไปร้านข้าวหน้าปลาดิบร้านหนึ่งแถวๆนั้น
ตลาดปลา Tsukiji วิธีเดินทาง : Tokyo Subway ลงสถานี Tsukiji (สถานี H10) ทางออก 1 หรือ ลงสถานี Tsukijishijo (สถานี 18) ทางออก A1
ใครจะไป Tsukiji market อย่าลืมตรวจสอบวันหยุดของตลาดจาก http://www.tsukiji-market.or.jp/tukiji_e.htm นะคะ โดยปกติจะหยุดวันอาทิตย์ แต่วันอื่นก็มีหยุดเหมือนกัน จะได้ไม่เสียเที่ยว
ร้านผู้โชคดีที่เข้าไปกินแบบสุ่มๆ ค่ะ
พอเราเดินเข้าไปพนักงานก็รีบออกมาต้อนรับ พอเขารู้ว่าเราเป็นชาวต่างชาติก็เปลี่ยนให้คุณลุงคนที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้ออกมาต้อนรับ พอเราบอกว่าเป็นคนไทย เขาก็บอกว่า “สวัสดีครับ” เป็นภาษาไทยด้วย เป็นกลยุทธ์ที่ได้ความประทับใจไปเต็มๆ ยู้กินข้าวหน้าปลาดิบรวม ส่วนน้องสาวก็กินข้าวหน้ามากุโระ พร้อมกับซุปอีกคนละถ้วย น้ำชาตั้งอยู่บนเคาท์เตอร์กดเองได้ตามสบายเลย (คุณลุงบอกมาด้วยภาษาอังกฤษปนภาษาใบ้) ปลาดิบวันนี้สดอร่อยแต่ยังไม่เทพมาก หลังจากซัดทั้งข้าว ปลา ซุป หมดไปแล้ว ก็จ่ายเงิน อร่อยจนตอนเดินออกมาลืมกระเป๋าสะพายไว้ที่โต๊ะ(เกี่ยวกันเหรอ?) ต้องให้คุณป้าออกมาตะโกนเรียกไว้
ของยู้เป็นข้าวหน้าปลาดิบรวมหลายอย่าง จิ้มๆ จากเมนูเอาค่ะ
ของน้องสาวเป็นข้าวหน้ามากุโระ
สั่งซุปมากินด้วย รวมข้าว 2 ชาม ซุป 2 ถ้วย 2,200 Yen
กว่าจะมาถึงกว่าจะกินตลาดตรงที่เขาประมูลปลาคงเลิกไปนานแล้ว ก็เลยเดินดูตลาดรอบๆ มีทั้งของสดของแห้ง อาหารทะเล ต้นวาซาบิสด เกาลัด มีเห็ด(อะไรไม่รู้) วางแบขายกับพื้น แถวๆนี้มีร้านขายไข่หวานย่างหลายร้านเชียว แต่เพราะอิ่มอยู่ก็เลยไม่ได้ซื้อมาชิม เดินจนครบรอบแล้วก็ยังงงอยู่ว่าตลาดมันดูเล็กกว่าที่คิดไว้ สงสัยว่าจะไปไม่ถูกจุดหรือเปล่า แต่เนื่องจากจองรอบเข้า Imperial palace ไว้ กลัวจะไปหลง กลัวเจอชั่วโมงเร่งด่วน แล้วจะไม่ทันเวลา เราเลยขอลาตลาดซึกิจิแค่นี้ ไว้ถ้ามีโอกาสจะค่อยมาซ่อมใหม่นะจ๊ะ
เห็ดสามแบบวางขายมันอยางนี้เลย
ไข่หวานย่างมีขายอยู่หลายร้าน(ของขาดไม่ได้สำหรับร้านซูชิ)
ของแห้งก็มี
อาหารทะเลสดๆ จ้า
ปูตัวใหญ่น่ากิน
วาซาบิสดๆ
นั่งรถไฟต่อเพื่อมา Imperial palace ระหว่างทางจากรถไฟใต้ดินไปถึง Imperial palace มีต้นแปะก๊วย อยู่เยอะแยะเลย ดูไกลๆ ใบเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองจางๆ ถ้ามาหลังจากนี้อีกสักเดือนน่าจะงดงามมากเลยทีเดียว เดินวนๆ งงประตูอยู่พักหนึ่งก็คิดว่าน่าจะประตูนี้แหละ แต่ยังไม่เห็นมีคนเลย ก็แหงล่ะ เขาให้มาก่อน 10 นาที นี่เล่นมาก่อนชั่วโมงครึ่ง เราก็เลยเดินไปถ่ายรูปรอบๆ ปราสาท เห็นคนญี่ปุ่นวิ่งออกกำลังกายรอบปราสาทกันอยู่หลายคน ทำให้สงสัยว่าเวลานี้เขาไม่ไปทำงานกันเหรอไงนะ?? เดินไปมาสักพักก็เริ่มเห็นคนมารออยู่หน้าประตูเราก็เลยไปต่อคิวกับเขาบ้าง แถวของเราก็ยาวขึ้นเรื่อยๆ มากันสองบ้าง สี่คนบ้าง และแล้วมีกรุ๊ปทัวร์จากที่ไหนมารู้มากันกลุ่มใหญ่ หวังอยู่ในใจว่าทัวร์กลุ่มนี้คงไม่ได้เข้าไปก่อนพวกเราหรอกนะ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นยุ่งเหยิงวุ่นวาย แล้วเราจะต้องยืนรอนาน อุตส่าห์รีบมาต่อแถว
Imperial palaceวิธีเดินทาง : เนื่องจากที่นี่มีหลายประตูและนั่งรถไฟมาได้มากมายหลายสถานี ขอแนะนำแค่สถานีที่จะสามารถมายังประตู Kikyo-mon Gate ซึ่งเป็นประตูที่เขาให้คนที่จองไว้มารอก็แล้วกันนะ
จาก Tokyo Subway ลงสถานี Nijubashi-mae (สถานี C10) ทางออก 6 หรือลงสถานี Otemachi (สถานี I09/C11/T09/M18/Z08) ทางออก D2 : เดินประมาณ 10 นาที
จาก JR Yamanote ลงสถานี Tokyo ทางออก Marunouchi Central Exit : เดินประมาณ 15 นาที
หมายเหตุ เวลาเดินนี่ข้อมูลตามใน web ญี่ปุ่น ไม่ได้ลองเดินเองแต่อย่างใด
ข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติม และจองเข้าชม Imperial palace ได้ที่ http://sankan.kunaicho.go.jp/english/guide/koukyo.html
เดินจากสถานีจะเจอวิวที่ดูเงียบสงบ
ต้นแปะก๊วยเริ่มจะเปลี่ยนสีนิดๆ หลังจากนี้คงจะงามมาก
วิวรอบๆ ก่อนเข้าไป
มีหงส์อยู่ด้วย
การจะเข้าชม Imperial palace นี้เขาจะเปิดให้ชมฟรีเป็นรอบๆ แต่ละรอบจะจำกัดจำนวน ซึ่งใครต้องการเข้าชมต้องทำการจองมาก่อนว่าจะเข้ากี่คน แล้วเขาจะตอบรับมาว่าเราได้เข้าหรือไม่พร้อมกับมีเอกสารให้เราพิมพ์มายื่นในวันนั้น รอไปหนาวไปอยู่พักใหญ่ พอใกล้เวลาคุณเจ้าหน้าที่ก็เดินมาตรวจเอกสารของแถวของชนกลุ่มน้อยอย่างพวกเราก่อน และเปิดประตูให้เข้าไป ถ้าฟังญี่ปุ่นไม่ออกอย่างเราๆ ก็ให้ไปรับเครื่องหน้าตาคล้ายๆ รีโมทมาอันนึง พร้อมหูฟัง และแผ่นพับภาษาอังกฤษ แล้วก็ให้ไปนั่งรออยู่ในห้อง หลังจากทุกคนรวมทั้งทัวร์กลุ่มใหญ่เข้ามานั่งจนครบแล้ว ก็เริ่มมีการบรรยายและฉายวีดีโอเกี่ยวกับพระราชวัง และเกี่ยวกับข้อปฏิบัติและข้อห้ามต่างๆ ในการเดินชม ซึ่งจะเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของเจ้ารีโมท เจ้าหน้าที่จะบอกว่าสิ่งที่เขาบรรยายอยู่นี่ตรงกับหมายเลขอะไร เราก็กดเลขนั้นในรีโมท แล้วเจ้าเครื่องนี้ก็จะบรรยายภาษาอังกฤษให้เราฟัง(แบบรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ไม่ใช่เพราะว่าเขาพูดไม่ชัด แต่เพราะภาษาเรามันแย่ T^T) หลังจากจบการบรรยายก็มีการให้ซื้อของที่ระลึก และดื่มน้ำกันให้เรียบร้อย
ใครจะเข้าไปชมด้านในปราสาทให้มารอตรง Kikyo-mon Gate จะมีป้ายชื่อประตูตามนี้อยู่
ทางเข้ามีคุณเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่ พอถึงเวลาแล้วเขาก็จะเดินมาเรียกและตรวจเอกสารค่ะ
นั่งรอเพื่อฟังวีดีโอบรรยายก่อนเข้าชม
ใครเป็นชาวต่างชาติจะได้แผ่นพับภาษาอังกฤษ และอุปกรณ์ฟังคำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะพาเราเข้าแถวค่อยๆ เดินไปชมจุดต่างๆ ตามเส้นทางที่กำหนดไว้ พร้อมกับบรรยายไปด้วย งานนี้ต้องเดินไปกับกลุ่มเท่านั้น และเดินชิดด้านที่เขากำหนดไว้ ห้ามเดินเพ่นพ่านเองนะจ๊ะ พอถึงจุดต่างๆ เจ้าหน้าที่ก็จะหยุดเพื่อให้ถ่ายรูป และบรรยายความสำคัญของสถานที่ให้ฟัง พร้อมทั้งบอกว่าถ้าจะฟังภาษาอังกฤษต้องกดหมายเลขอะไร ในเอกสารเขียนว่าใช้เวลาประมาณ 75 นาที 2.2 กิโลเมตร ตอนเดินจริงๆ ก็ประมาณชั่วโมงนิดๆ ค่ะ เท่าที่แอบกดฟังเทป(หมายเลขที่เขาไม่ได้บอกให้ฟัง) เข้าใจว่าเราสามารถขอยืมเครื่องออกไปฟังตอนเดินชมสวนอีกส่วนหนึ่งได้ด้วย แต่เนื่องจากวันนี้สวนปิด ก็เลยต้องออกทางเดิมแล้วนำเครื่องไปคืนสถานเดียว รวมๆ เวลาที่นั่งฟังบรรยายในห้องด้วยก็ใช้เวลาไปประมาณชั่วโมงครึ่ง
ตรวจสอบ calendar ของ East garden ได้จาก http://www.kunaicho.go.jp/event/higashigyoen/gyoen-close.html หรือ http://www.kunaicho.go.jp/e-event/higashigyoen02.html แล้วกดตรง CALENDAR นะคะ ในเวปมีบอกด้วยว่าดอกไม้อะไรจะบานประมาณช่วงเดือนไหนของปี
Fujimi Yagura (ฟังคำบรรยายแล้วก็ยังงงว่ามันใช้ทำอะไร??)
อาคารสำนักงาน
ตัวพระราชวังค่ะ ส่วนที่เราเห็นเป็นโถงไว้ต้อนรับแขก ด้านหลังจะมีปีกต่างๆ อยู่มากมาย
มองจากมุมข้างๆ
เดินมาถึงสะพานแล้วก็เลี้ยวกลับค่ะ (เขาห้ามหยุดยืนถ่ายภาพบนสะพานนะคะ)
จบทัวร์แล้วออกมาเดินชมต้นแปะก๊วยอีกสักหน่อย ญี่ปุ่นเขาปลูกต้นไม้ตามถนนได้สวยจริงๆ นะ
ชมพระราชวังเสร็จก็เกือบเที่ยงพอดี เรามุ่งหน้าไปชิบุย่า เพื่อกินบุฟเฟต์เค้กกันที่ร้าน sweet paradise (แต่ก่อนอื่นแวะถ่ายรูปกับเจ้าฮาจิโกะก่อน) ร้านนี้เป็นร้านบุฟเฟต์เค้กชื่อดังของญี่ปุ่น ซึ่งมีสาขาอยู่เยอะมากทั่วประเทศ ที่เลือกสาขานี้ก็เป็นเพราะว่า.... มันให้เวลา 90 นาทีค่ะ แต่ละสาขาจะให้เวลาในการทานต่างกันไป 70-90 นาที บางร้านวันเสาร์-อาทิตย์ก็ให้เวลาน้อยกว่าวันธรรมดาด้วย
น้องหมาฮาจิโกะที่หน้าสถานี Shibuya
เดินๆ ตามแผนที่ไปสักพัก เอ๊ะ! ตรงนี้มันควรจะเป็นตึก Marui City หรือเปล่านะ ทำไมมันเป็น OICITY ล่ะ ยืนปรึกษากันอยู่พักนึงกำลังคิดว่าจะเดินไปถามชาวบ้าน หรือเดินเข้าตึกนี้ไปเลยดี น้องสาวก็ถึงบางอ้อว่า คำว่า maru ในภาษาญี่ปุ่น แปลว่าวงกลมค่ะ ไอ้ตัว O นั่นก็คือแทนคำว่า maru ไม่ใช่ตัวโอแต่อย่างใด เป็นอันว่าตึกนี้แหละ
ตึก MARUI CITY เล่นเอางงหาไม่เจอเลยทีเดียว
แล้วเราก็ขึ้นมาถึงร้าน sweet paradise ร้านไม่ค่อยมีคน(ดีจัง) ก่อนเข้าไปก็หยอดเงินที่เครื่องซื้อตั๋วก่อน เรายืนมึนอยู่หน้าเครื่องพักนึงน้องพนักงานก็เข้ามาช่วย พนักงานพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ค่ะ ซึ่งเขาก็บอกใน web อยู่แล้ว แต่ว่าน้องพนักงานก็พยายามช่วยเหลือดูและอย่างดี ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม ชอบน้องพนักงานมากๆ เธอก็หน้าตาธรรมดานะ ตอนเธอยืนก็ทำหน้าเฉยๆ แต่พอเราเรียก แล้วเธอจะเข้ามาบริการเท่านั้นแหละ เธอจะยิ้มหน้าตาสดใสมากๆ น่ารักขึ้นเป็นกอง
ขนมในร้านมีเยอะแยะซึ่งก็จะตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ค่ะ(บางอย่างก็ตัดเองได้ว่าจะเอาแค่ไหน) ทำให้เรากินได้หลายอย่าง เท่าที่ชิมเค้กอร่อยทุกอย่างเลย สมเป็น sweet paradise จริงๆ นอกจากเค้ก และขนมฝรั่งนานาชนิดแล้ว ก็ยังมีผลไม้(คิดว่าน่าจะเหมือนฟรุตสลัด หรือพวกเต้าทึงบ้านเรา) น้ำอัดลม ชา กาแฟ น้ำแข็งไส และช็อคโกแลตฟองดู นอกจากของหวานๆ แล้วยังมีมุมของคาว เป็นพวกสลัด ซุป และพาสต้า
วันนั้นเป็นช่วงฮาโลวีน ก็จะมีเค้กพิเศษเป็นเค้กฟักทองอีกด้วย นอกจากอาหารใน line แล้วเราสามารถสั่งชาร้อนมาได้ด้วยนะคะ พอดีเห็นโต๊ะข้างๆ มีกาน้ำชามาตั้ง ก็นึกอยากกิน น้องสาวก็พยายามอ่านเมนูบนโต๊ะ ว่ามันต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือเปล่าอย่างไร สุดท้ายไม่เห็นราคาค่ะ เลยเรียกพนักงานมาส่งภาษาใบ้ สรุปว่ามันรวมอยู่ในบุฟเฟต์ด้วยค่ะ
Sweet Paradise สาขา Shibuya วิธีเดินทาง : Tokyo Subway ลงสถานี Shibuya (สถานี G01 หรือ Z01 หรือ F16) ทางออก 6-3 แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ ตึกอยู่แยกที่สอง / JR Yamanote ลงสถานี Shibuya เหมือนกัน
มาถึงแล้ว Sweet Paradise ราคาหัวละ 1480 Yen
บรรยากาศร้าน
Line เค้กหลากหลายแบบ อร่อยเกือบทุกชิ้น ชอบตรงมันตัดเป็นชิ้นเล็กๆ นี่แหละ
อีกมุมนึง นอกจากเค้กแล้วมีขนมหวานอย่างอื่นด้วย กินกับน้ำเชื่อม น่าจะคล้ายๆ น้ำแข็งไสหรือเต้าทึงเย็น อันนี้เราไม่สนใจ
มุมของคาวมีพวกสปาเกตตี้ ซุป และของทอดเอาไว้กินเล่น
มุมน้ำ มีทั้งน้ำส้ม น้ำชา แบบที่อยู่ในเหยือก
ฝั่งนี้เป็นพวกกาแฟ และไอติม
เครื่องนี้สำหรับกดพวกน้ำอัดลม
มีชอคฯฟองดูด้วย
ตักมากินอย่างละนิดหน่อย
มีน้ำชาร้อนให้ด้วยนะ กินกับเค้กแล้วฟินมาก
ทานเสร็จแล้วอย่าลืมนำจาน และอุปกรณ์ไปคืนที่จุดคืนภาชนะนะคะ
หลายคนบอกว่าพาสต้าที่นี่อร่อยมาก แต่ชิมแล้วไม่ปลื้มเท่าไหร่ เลยทานไปนิดเดียว แต่มีกลุ่มน้องนักเรียนชายโต๊ะข้างๆ พอเขาเอาพาสต้าออกมาก็โกยไปกินจานใหญ่จนเกือบหมดกระทะเลย สรุปว่าน้องเขาน่าจะจ่ายเงินมาฝากท้องกับพาสต้ามากกว่าจะมากินเค้กนะเนี่ย
หลังจากอิ่มกันแล้วก็แวะไปทำภารกิจ 2 อย่างคือ อย่างแรก แวะไป Disney store ใกล้ๆ นั้น เพื่อซื้อตั๋วเข้า Tokyo Disneyland ในวันพรุ่งนี้ และมะรืนนี้ แล้วก็เดินดูร้านและสินค้า ได้น้อง Stitch แม่มดมาตัวนึง อย่างที่สอง คือ ไปแลก JR pass ที่ booth ในสถานีชิบุย่า พอได้ JR pass มาแล้วก็จัดการไปจองตั๋ว Shinkansen ทั้งหมดที่วางแผนไว้ คุณพนักงานที่รับจอง แอบถอนหายใจแล้วบ่นว่าเยอะจังด้วย เขาบ่นเป็นภาษาญี่ปุ่นล่ะนะ แต่พอดีน้องสาวฟังรู้เรื่อง
ใน Disney store มีมุมน่ารักๆ อย่างนี้อยู่ด้วย พินอคคิโอ
จากเรื่องปีเตอร์แพน
ได้ตั๋วมาสองใบ ห้ามหายนะจ๊ะ
ใครจะจองตั๋ว JR มองหาหน้าต่างเขียวๆ อย่างนี้(แต่ที่แลก pass ไม่ใช่ตรงนี้นะคะ)
พบเจอป้ายโฆษณา แต่อ่านไม่ออก เลยชวด อดแวะร้าน One Piece เลย T_T
ขอกลับมาพูดถึงบัตร Disney กันหน่อย บัตรผ่านประตูของ Disney เป็นแบบเหมาๆ เท่านั้นค่ะ คือ เข้าไปแล้วเล่นเครื่องเล่นทุกอย่าง และดูโชว์ทุกโชว์ได้ฟรี ไม่มีตั๋วประเภทผ่านประตูอย่างเดียว ตั๋วจะมี 3 โดยประเภทของตั๋วจะแบ่งเป็น
- ตั๋ววันเดียว เข้าได้ 1 วัน ที่ Disneyland หรือ Disneysea ที่ใดที่ 1
- ตั๋ว 2 วัน เข้าที่ Disneyland และ Disneysea ได้อย่างละ 1 วัน
- ตั๋ว 3 วัน เข้าที่ Disneyland และ Disneysea ได้อย่างละ 1 วัน และวันที่ 3 จะเข้าได้ทั้งสองที่
- ตั๋ว 4 วัน เข้าที่ Disneyland และ Disneysea ได้อย่างละ 1 วัน และวันที่ 3 และ 4 จะเข้าได้ทั้งสองที่
- ตั๋วช่วงกลางคืน มีทั้งแบบที่สามารถเข้าได้หลัง บ่าย 3 โมง(ใช้ได้ในวันหยุดเท่านั้น) และหลัง 6 โมงเย็น(ใช้ได้ในวันธรรมดาเท่านั้น)
แน่นอนว่าถ้าเป็นเด็กราคาก็จะถูกกว่า และยังมีตั๋วสำหรับผู้สูงอายุ และตั๋ว group อีกด้วย
ซึ่งตั๋วที่เข้าได้หลายวันนั้น วันที่ไปเที่ยวจะต้องติดกันเท่านั้น และจะเข้า Disneyland หรือ Disneysea ก่อนก็ได้ แต่ต้องระบุตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วเลย ไม่ใช่ว่าถึงวันนั้นคิดจะเข้าที่ไหนก็ได้ เหตุผลที่ต้องซื้อตั๋วก่อนมี 2 อย่าง 1) เพื่อจะได้ไม่ต้องไปวุ่นวายซื้อตอนเช้าวันนั้น(เผื่อว่าคนเยอะ) 2) กรณีที่คนเยอะมากๆ อาจจะมีโอกาสที่ Disney จะไม่ขายตั๋วให้เข้าอีกแล้ว ถ้าจองไปก่อนก็จะได้เข้าแน่นอน หรือถ้าคนเต็มแล้วก็จะได้ไม่ไปเสียเที่ยว(ยังไม่เคยได้ยินใครบอกว่าเคยเจอนะคะ แต่ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า)
จองตั๋วเสร็จแล้วเราก็มุ่งสู่โตเกียวทาวเวอร์ จากสถานีไปจะต้องเดินขึ้นเนินไป เดินๆก็คิดถึงพวกการ์ตูนญี่ปุ่นขึ้นมา เริ่มเข้าใจความรู้สึกที่ตัวการ์ตูนจะต้องเดินหรือปั่นจักรยานขึ้นเนิน กรุงเทพไม่มีพวกถนนที่เป็นทางชันแบบนี้ พอไปถึงก็ให้ซื้อตั๋วจากด้านนอกอาคารก่อนนะจ๊ะ โดยตั๋วขึ้นจุดชมวิวจะแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ใครอยากขึ้นชั้นที่ 2 ด้วยก็ต้องจ่ายแพงกว่า ไหนๆ มาถึงแล้วใครจะหยุดอยู่แค่ชั้นแรกล่ะ ซื้อตั๋วรวมโลด ช่วงนี้เป็นปลายตุลาแล้ว ด้านนอกเลยมีต้นคริสต์มาสตั้งอยู่ ส่วนด้านในยังตกแต่งเป็นธีมฮาโลวีน
พอเข้าไปพนักงานจะพาเราขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 1 (Main Observatory ก่อน) แล้วให้อยู่รอเรียกคิวตามเบอร์ในตั๋ว เนื่องจากชั้น 2(Special Observatory) จะจำกัดจำนวนคน พอมีคนลงมาจำนวนหนึ่งเขาก็เรียกคิวพาคนขึ้นไป ระหว่างขึ้นลิฟต์แก้ว ก็มีเสียงบรรยาย และบอกว่าจะมีเสียงดัง ซึ่งเสียงนั้นเป็นปกติและปลอดภัยสุดๆเลยนะจ๊ะ สักพักก็มีเสียงกึ๊งจริงๆ (เหมือนลิฟต์ผ่านรอยต่ออะไรสักอย่าง)
ขึ้นมาถึงชั้นบนเล็กกว่าที่จินตนาการไว้มาก เดินวนไปวนมาถ่ายรูปอยู่นานสองนาน รู้สึกว่าพอคนขึ้นมาที่ชั้นบนแล้วจะไม่ยอมลงไปกัน ทำให้คิวถัดไปยังขึ้นมาไม่ได้ พนักงานพยายามจะขอความร่วมมือให้คนที่ขึ้นมาก่อนลงไปข้างล่างได้แล้ว สองพี่น้องที่คิดว่าจะอยู่นานๆ ก็เลยพยายามหนีหน้าคุณพนักงานอยู่พักนึง(ขอโทษค่าาา) แต่หลังจากที่คิดว่าถ่ายรูปจนพอแล้ว ก็พบว่าคนไม่เยอะแล้ว ก็เลยสามารถเดินดูและถ่ายรูปชิวๆได้อีกพักใหญ่ ก่อนที่จะเริ่มไม่มีอะไรทำแล้วขอลงไปที่ชั้น 1 ดีกว่า
กลับลงมาที่ชั้น 1 ก็เดินถ่ายรูปรอบๆ ดูร้านของฝาก ที่ชั้นนี้มีฉากและ prop ให้ถ่ายรูปวันฮาโลวีนด้วยนะ ซึ่งเขาจะถ่ายรูปให้เราแล้วเอาไป print ใส่กรอบมาถ้าเราอยากได้ก็จ่ายเงินซื้อไป เข้าใจว่าสามารถใช้กล้องเราถ่ายได้ฟรีและไม่ซื้อรูปมาก็ได้ แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปถ่าย เวลาผ่านไปแสงก็เริ่มหมด ถ่ายรูปก็เริ่มมัว กล้องก็แบตใกล้หมด เนื่องจากใช้มาตั้งแต่เช้า ขาก็เริ่มล้า และเราก็ได้ภาพจากโตเกียวทาวเวอร์ทั้งกลางวัน โพล้เพล้ และกลางคืนแล้ว เราก็เลยตกลงใจกลับบ้านกัน แต่ลงมาด้านล่างก็ยังไม่วายขอแวะดูร้านขนมของฝาก ถ่ายรูปกับของประดับตกแต่งมากมายที่ทำไว้ แล้วก็แวะถ่ายภาพโตเกียวทาวเวอร์ตอนกลางคืนอีกสักหน่อย
Tokyo Tower วิธีเดินทาง : Tokyo Subway ลงสถานี Kamiyacho (สถานี H05) ทางออก 1
ถึงแล้ว Tokyo Tower
ซื้อตั๋วก่อนนะคะ ถ้าขึ้นไปถึงบนสุดราคา 1420 Yen ส่วนเจ้าตัวสีชมพูนี่เป็นมาสคอตของที่นี่ค่ะ
น้องหุ่นยนต์เดินไปมาอยู่บน Tokyo Tower
ป้ายบอกข้อมูลของ Tokyo Tower
ร้านขายของฝาก
มี Tokyo Tower แบบหวานๆ ด้วย
แน่นอนว่าเทศกาลฮาโลวีนต้องมีการตกแต่งแบบผีๆ
มาดูภาพถ่ายวิวจากด้านบนกันบ้าง มุมนี้เห็น Rainbow Bridge ด้วย
มองลงไปเหมือนบ้านตุ๊กตา(ใช้ option กล้องซะหน่อย)
พระอาทิตย์กำลังจะตก แสงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม
อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว
ตึกต่างๆ และรถราเริ่มเปิดไฟ ได้บรรยากาศยามกลางคืน
อยู่ตั้งแต่ฟ้าสว่างยันฟ้ามืดเลยทีเดียว(รูปนี้แอบมีเงาสะท้อนจากกระจก T_T)
มุม rainbow bridge อีกที แต่คนละบรรยากาศ
ร้านใน Foot town ด้านล่างค่ะ มีขนม One Piece ด้วย ซื้อไปจะกล้ากินไหม
เจ้าเหมียวคิตตี้เต็มไปหมด ใส่ยูคาตะด้วย
ปิดท้ายกันด้วยภาพ Tokyo Tower ยามค่ำคืน
บ๊ายบาย Tokyo Tower
อ้อ!! ใครอยากถ่ายรูป Tokyo Tower สีส้มยามกลางคืนอย่าลืมตรวจสอบช่วงเวลาให้ดีนะคะ เพราะจะมีบางช่วงที่ Tokyo Tower จะประดับประดาเป็นสีอื่นให้เข้ากับเทศกาล ส่วนใหญ่คนจะบ่นเพราะมันดูไม่มีมนต์ขลัง
วันนี้วางแผนว่าจะไม่กินข้าวเย็น เพราะอิ่มเค้ก แต่พอกลับมาถึงที่พักก็พบเค้กที่บลูซังซื้อมาฝาก(เป็นฮาโลวีนอีกแล้ว) กลายเป็นวันนี้กินเค้กทั้งวันเลย
เค้กของฝากจากบลูซัง
สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้(รวม 2 คน)
- อาหารเช้า @ ตลาดปลา Tsukiji >>> 2,200 Yen
- Sweet Paradise x 2 คน >>> 2,960 Yen
- Disney Ticket(2-days) x 2 คน >>> 21,400 Yen
- Tokyo Tower x 2 คน >>> 2,840 Yen
- ซื้อขนมปังไว้กันเช้าวันรุ่งขึ้น >>> 900 Yen
- Shopping & ซื้อของฝาก & ของฝากซื้อ >>> 350 Yen
- JR Pass (จ่ายเงินจากเมืองไทย) 28,300 x 2 คน >>> 56,600 Yen
ค่าใช้จ่าย | ไม่รวม Shopping | รวม Shopping |
วันนี้ | 86,900 | 87,250 |
รวม | 96,000 | 117,350 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น