วันนี้เป็นวันที่น้องสาวนัดจะไปเจอเซนเซย์ ซึ่งเคยเป็นอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นของน้องสาวที่ไทย ก่อนที่จะย้ายกลับไปอยู่ญี่ปุ่น ซึ่งน้องสาวได้เมล์คุยกับเซนเซย์เป็นภาษาอังกฤษปนญี่ปุ่นแบบงูๆ ปลาๆ ตอนแรกว่าจะให้พาเที่ยวเลยทั้งวัน(อารมณ์ขี้เกียจคิด) แต่โดนถามกลับว่าอยากไปไหนบ้าง ก็เลยวางแผนวันนี้ไว้เบาๆ ว่าไปวัด Asakusa ตลาด Ameyoko และ Meji Jingu และวางแผนไว้แบบไม่บอกใครว่า บ๊ายบายกันแล้วเหลือเวลา อาจจะแวะไปซื้อตั๋วเข้า Disney ที่ Shinjuku หรือขึ้นไปชมวิวที่ TMG Building
คืนวันเสาร์บลูซังช่วยโทรไปหาเซนเซย์เพื่อนัดแนะสถานที่และเวลาให้ แม้ว่าน้องสาวจะพอพูดญี่ปุ่นได้ แต่ว่าเธอยังไม่กล้าพอที่จะพูดภาษาญี่ปุ่นกับเซนเซย์โดยไม่มีภาษามือช่วย เซนเซย์นัดเราที่ JR Harajuku ตอน 10 โมง เพื่อจะไปที่ Meji Jingu ในตอนเช้า
ตอนเช้าเราไปถึงก่อนสิบโมงเล็กน้อย เช้านี้ฝนตกปรอยๆ มีรถเข็นขายร่มราคาไม่แพงมาจอดอยู่แถวสถานี เห็นคนซื้อมาซื้อกันหลายคน ไม่นานเซนเซย์มาถึงตอน 10 โมงพอดีเป๊ะ แล้วเราก็เดินเท้าเข้าไปในศาลเจ้า ตอนนี้ฝนยังตกแค่นิดหน่อยทำเอาสับสนว่าจะกางร่มดีไหม รอบๆข้างมีคนมากมายที่มุ่งหน้าเข้าสู่ศาลเจ้า ทั้งกางร่มบ้าง ไม่กางร่มบ้าง ทางเดินไปถึงศาลเจ้านั้นเป็นหินกรวด ย่ำเท้าแล้วมีเสียงกรอบแกรบ เดินยากกว่าถนนปกติ หากใครอยากมาให้ใส่รองเท้าที่เดินง่ายๆหน่อยก็จะดีค่ะ ระหว่างทางเป็นต้นไม้เขียวขจีบรรยากาศร่มเย็นมาก เดินไปสักพักเห็นมีถังเหล้าวางเรียงรายอยู่ เซนเซย์บอกว่าเหล้านี้เป็นของที่เอาไว้บวงสรวงเทพเจ้า ซึ่งเป็นเหล้าสาเกจากหลากหลายที่ และมีไวน์ที่ชาวตะวันตกนำมาถวายด้วย
Meiji jingu วิธีเดินทาง : Tokyo Subway ลงสถานี Meiji-jingumea (สถานี C03 หรือ F15) / JR Yamanote ลงสถานี Harajuku
เหล้าสาเกที่ถวายเทพเจ้า
อีกด้านหนึ่งเป็นไวน์
ช่วงที่ไปนั้นมีเทศกาลดอกเบญจมาศพอดี เลยมีซุ้มจัดแสดงดอกเบญจมาศอยู่ มีทั้งดอกใหญ่เบ้อเริ่ม แบบธรรมดา แบบที่เป็นบอนไซ และแบบที่จัดเป็นสวนถาด ตอนเดินเข้าไปทุกครั้งที่ผ่านโทริอิ เซนเซย์ให้คำนับก่อนจะผ่านไป หลังจากกลับมาไทยแล้วเพิ่งได้อ่านเจอว่าเป็นการคำนับเพื่อขออนุญาตเทพเจ้าเข้าไปยังดินแดนของท่าน แต่เขาบอกว่าถ้ามีโทริอิหลายอันให้คำนับแค่อันแรกก็ได้ (แต่คำนับบ่อยกว่านั้นคงไม่เสียหายมั้ง) อีกอย่างหนึ่งคือ เวลาเดินเข้าไปศาลเจ้า ให้เดินทางซ้ายหรือขวาก็ได้ อย่าเดินตรงกลาง และอย่าเดินสลับไปมาซ้ายที่ขวาที เพราะตรงกลางนั้นเป็นทางเดินของเทพเจ้าค่ะ แต่ยู้เป็นนักท่องเที่ยวผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราววิ่งซ้ายทีขวาทีเพื่อถ่ายรูปไปซะแล้ว หวังว่าเทพเจ้าคงจะไม่โกรธนะคะ
เทศกาลดอกเบญจมาศ
ต้นเล็กๆ แบบบอนไซก็มี
จัดเป็นแบบสวนถาด
เข้ามาถึงตัวศาลเจ้าด้านในแล้ว
ก่อนถึงตัวศาลเจ้าและวัด จะมีบ่อน้ำให้เราล้างมือเพื่อชำระล้างสิ่งไม่ดีออกไป ทำให้ร่างกายและจิตใจบริสุทธิ์ วิธีที่ถูกคือให้เอามือขวาถือกระบวยตักน้ำขึ้นมาให้เต็ม เทน้ำล้างมือซ้าย(อย่าเพิ่งเทหมด) แล้วเปลี่ยนมาถือกระบวยด้วยมือซ้าย เทน้ำล้างมือขวา แล้วเปลี่ยนมือกลับไปถือกระบวยด้วยมือขวา เทน้ำใส่มือซ้ายเพื่อนำขึ้นมาล้างรอบๆปาก และบ้วนปาก หลังจากนั้นตั้งกระบวยขึ้นให้น้ำที่เหลือไหลลงมาล้างด้ามจับให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี ระหว่างขั้นตอนระวังอย่าให้น้ำที่ล้าง/บ้วน กระเด็นลงไปในบ่อนะคะ ให้ล้างนอกบ่อเท่านั้น เคยได้ยินมาว่าการล้างมือเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้คนที่จิตใจไม่สงบเมื่อเข้ามาในวัดหรือศาลเจ้าแล้ว จะได้ใจเย็นลง(ก็แน่ละต้องค่อยๆทำทีละขั้นตอน)
ชำระล้างกันก่อนนะ
พอเราล้างมือเสร็จ เราก็กำลังจะสะบัดมือให้แห้ง ไม่ก็หาเช็ดกับกางเกงนั่นแหละ เซนเซย์ก็ยื่นผ้าเช็ดมือมาให้ คนญี่ปุ่นช่างเป็นมนุษย์ที่เป็นระเบียบเรียบร้อยจริงๆ และแล้วฝนก็เริ่มตกหนัก วันนั้นมีคนจัดงานแต่งงานด้วย(บ่าวสาวจะเศร้าไหมนะที่ฝนตก) เซนเซย์บอกว่า คนชอบมาจัดงานแต่งงานที่นี่ ซึ่งถึงจะแพงมากๆ ยังมีคนมาแต่งกันเยอะแยะ ต้องจองคิวกันยาวเลยทีเดียว จากนั้นเราก็ไปทำบุญ (วิธีทำบุญคือ ให้โยนเหรียญลงในช่องที่จัดไว้ ถ้ามีกระดิ่งให้สั่นกระดิ่ง แล้วโค้งสองครั้ง ปรบมือสองครั้ง อธิษฐาน แล้วโค้งอีกหนึ่งครั้ง) แล้วก็ซื้อป้ายอธิษฐานมาเขียนเป็นภาษาไทย แขวนไว้ (ไม่รู้ท่านเทพอ่านออกไหม ฮา) แล้วก็เดินชมรอบๆ
ศาลเจ้าเมจิเป็นหนึ่งในสถานที่สุดฮิตสำหรับจัดงานแต่งงาน
แอบส่องเข้าไปด้านใน เห็นเขาจัดที่นั่งและเวทีไว้ วันนี้จะมีพิธีอะไรสักอย่าง
ป้ายขอพรทั้งหลาย
สัญลักษณ์ของศาลเจ้าเมจิ
มีโซนนึงซึ่งมีของวางอยู่เต็มเลยค่ะ ดูแล้วเหมือนงานแสดง OTOP ลองถามเซนเซย์ดูได้คำตอบว่า เป็นของดีจากที่ต่างๆ ซึ่งรวบรวมมาเพื่อใช้บูชาเทพเจ้า
ของดีจากที่ต่างๆ ทั่วประเทศ นำมาถวายเทพเจ้า
งูหรือมังกรนะ??
จากนั้นตอน 11 โมง ก็มีการแสดงระบำ ซึ่งเซนเซย์บอกว่าน่าจะเป็นการระบำถวายเทพเจ้า คล้ายๆ รำแก้บน(ดูเหมือนเซนเซย์ก็จะไม่แน่ใจ) หลังจากเดินไปหยิบโบชัวร์มาดู และกลับมาหาข้อมูลแล้ว พบว่าวันนั้นมีงาน Autumn Grand Festival วันแรกพอดี และระบำนั้นเป็น Bugaku เท่าที่ดูรูปปีที่แล้วๆ จะเป็นเวทีมาตั้งตรงส่วนที่ให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปได้ แต่อาจจะเพราะวันนั้นฝนตกหรือเปล่า เวทีเลยถูกย้ายเข้าไปด้านในแทน ซึ่งเราก็พยายามเบียดเสียดไปดู แต่ก็เห็นแค่นิดเดียวตามประสาคนตัวเตี้ย ถ่ายรูปก็ติดหัวคน ในเมื่อดูไปก็ไม่เห็น พวกเราก็เลยเดินทางกางร่มฝ่าสายฝนกลับไปที่สถานี เพื่อขึ้นรถไฟต่อไปยังวัดอาซาคุสะ
ใครสนใจงานเทศกาล ดูข้อมูลได้จาก : http://www.meijijingu.or.jp/english/ceremonies/2.html
ถ่ายภาพมาก็โดนบัง ได้แค่นี้แหละค่ะ ระบำ Bugaku
ขากลับออกมาฝนกำลังตกทำให้ทางเดินที่ดูสงบร่มรื่นอยู่แล้ว งดงามไปอีกแบบ
ใน Meji Jingu นี่มีบางบริเวณที่ถ่ายภาพได้ และบางบริเวณที่ถ่ายภาพไม่ได้นะคะ ที่แน่ๆ คือห้ามถ่ายภาพมิโกะ และตรงบริเวณที่ขายเครื่องราง ขนาดบลูซังกำลังเสี่ยงเซียมซี เราหันไปถ่ายบลูซัง(โดยไม่ติดตรงบริเวณขายของ) มิโกะยังห้ามเลย = =! ได้ยินมาว่าตรงบริเวณด้านในศาลเจ้า(ตรงส่วนที่เดินเข้าไปไม่ได้) ก็ห้ามถ่ายภาพนะคะ แต่วันนั้นมีการแสดง เห็นคนอื่นถ่ายเลยเนียนถ่ายไปด้วย ไม่รู้ว่าเขายกเว้นหรือเปล่า
ไม่เกี่ยวกับที่เที่ยว แต่เห็นราวบันไดที่สถานีรถไฟหยักๆ ไปตามขั้นบันไดด้วยดูแปลกตาดี
วัดอาซาคุสะ หรือเซนโซจิ เป็นเหมือน check point หนึ่งในการมาโตเกียว ที่ใครไม่ได้มาถ่ายรูปกับโคมสีแดงหน้าวัดก็เหมือนมาไม่ถึงโตเกียว (อารมณ์เดียวกับวัดพระแก้วในกรุงเทพฯ) บริเวณนี้จึงเต็มไปด้วยทั้งคนญี่ปุ่น และชาวต่างชาติมากมาย แม้ว่าจะฝนตกก็ตาม ระหว่างทางเดินก่อนถึงวัดเราจะพบบริการรถลากแบบญี่ปุ่น หนุ่มๆคนลากรถร้องเรียก โอเน่จังๆ(พี่สาวๆ) ไปตลอดทาง คงจะร้องถามว่าอยากนั่งรถชมเมืองหรือเปล่า แต่ด้วยความงกพวกเราขอผ่านแล้วกันนะ
วัด Asakusa วิธีเดินทาง : Tokyo Subway ลงสถานี Asakusa (สถานี G19 หรือ A18)
วัดอาซาคุสะคนเพียบตามเคย
ร้านค้าเรียงรายชวนให้เสียเงินก่อนถึงตัววัด
หลังจากถ่ายรูปกับโคมสีแดงด้านหน้าแล้ว เซนเซย์ก็พาเราไปทานเทนด้ง(ข้าวหน้ากุ้งทอด) ร้านดังของแถบนี้ Tempura Daikokuya เขาบอกว่าร้านนี้ขายเทนด้งมานานกว่า 100 ปีแล้วนะ (คนญี่ปุ่นน่าจะชอบร้านเก่าแก่ เห็นหลายๆร้านมักจะโฆษณาประมาณนี้กันหมด) ร้านเต็มไปด้วยผู้คน และดูผ่านๆ ยังไม่เห็นภาษาอังกฤษเลยสักตัว เซนเซย์เข้าไปเจรจาสักพัก เราก็ได้ขึ้นไปขั้นบน ร้านนี้จะเป็นโต๊ะแบบญี่ปุ่น คือให้นั่งกับพื้น ก่อนขึ้นไปบนเสื่อก็อย่าลืมถอดรองเท้ากันก่อนนะจ๊ะ เมนูก็ไม่มีอะไรมากเป็น A4 เคลือบแผ่นหนึ่ง และแน่นอนว่าเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด แต่เพราะเรามากับเจ้าถิ่น ก็เลยสั่งได้อย่างไม่มีปัญหา นอกจากนี้เซนเซย์ยังสั่ง ITAWASA มาให้เราลองชิมกันอีกด้วย ITAWASA คือ kamaboko(ลูกชิ้นปลาแบบญี่ปุ่น) ที่เสิร์ฟในรูปแบบเดียวกับซาซิมิ –มื้อนี้ก็กินฟรีอีกแล้ว ตั้งแต่มาถึงญี่ปุ่นยังไม่เสียเงินกินข้าวเองเลยนะ (ตอนเช้าก็กินของในบ้านบลูซัง) อ้อ!! ลองหาข้อมูลดูภายหลัง ร้านนี้น่าจะมีเมนูภาษาอังกฤษ แต่ว่ารายละเอียดจะน้อยกว่าในเมนูญี่ปุ่น
หน้าร้าน Tempura Daikokuya
เมนูจ้ะ อ่านไม่ออกก็บอกว่าขอเอโกะเมนูนะจ๊ะ
กินลูกชิ้นปลารองท้องไปก่อนนะ
ของกินมาแล้วววววว
ชามนี้เป็นแบบกุ้งสองตัว และ mixed-tempura หนึ่งชิ้น 1700 Yen ค่ะ
กินอาหารเที่ยงกันจนอิ่มแล้วเราก็เดินเข้าไปไหว้พระในวัด โดยล้างมือ(อีกรอบ) แล้วก็ไปซื้อธูปมาจุด ธูปที่ญี่ปุ่นจะไม่เหมือนของไทยหรือของจีน โดยจะไม่มีก้านธูป และมัดกันไว้ด้วยกระดาษ นำไปจุดไฟก่อน ที่จุดก็ไม่ได้เป็นไฟเหมือนเมืองไทย แต่จะอารมณ์เดียวกับที่จุดบุหรี่ จุดเสร็จแล้วให้นำไปปักในกระถาง แล้วก็กวักควันเข้าหาตัว เพื่อเป็นการกวักสิ่งดีๆ เข้าตัว (ใครกลัวหากระถางหรือที่จุดไม่เจอ ก็ลองส่องที่คนมุงกันเยอะๆนั่นแหละ) หลังจากนั้นก็ค่อยเข้าไปไหว้พระในวัด
เข้ามาถึงด้านในตัววัดแล้ว ไปซื้อธูปมาจุดก่อน
มุงๆ กันจุดธูปก่อน
แล้วเอาไปปักในกระถาง (แต่เพราะในกระถางธูปเยอะมากเรียกว่าโยนเข้าไปจะถูกต้องกว่า) แล้วกวักควันเข้าตัวเป็นศิริมงคล
เข้ามาถึงด้านในของ Main Hall ซึ่งมีเจ้าแม่กวนอิมประดิษฐานอยู่ ซึ่งเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้ติดขึ้นมากับแหของชาวประมงสองพี่น้อง จึงได้มีการสร้างวัดขึ้นบริเวณใกล้กับแม่น้ำนั้น วันนี้มีพิธีอะไรสักอย่างอยู่ด้วย ถ้าจำไม่ผิดคราวที่แล้วที่มา จะมีม่านปิดอยู่ ดูๆ ไปก็ไม่แน่ใจว่าที่ตั้งอยู่เป็นองค์เจ้าแม่กวนอิมหรือเปล่า (เพราะดูตาม web ก็ไม่เคยรูปสักที) เราทำบุญและเสี่ยงเซียมซี เซียมซีที่นี่จะมีแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ด้วยนะคะ ได้ใบ Good Fortune ก็เลยเก็บเอาไว้ ส่วนของบลูซังไม่ค่อยดี ก็เลยผูกเอาไว้ ให้เทพเจ้าจัดการดูแลให้ ชอบเซียมซีญี่ปุ่นตรงที่มีกำกับอยู่ตรงหัวนี่แหละว่าดีหรือไม่ดี ไม่ต้องมานั่งตีความกลอนกันเอง
เข้าไปไหว้พระด้านใน
ด้านในเป็นเจ้าแม่กวนอิมค่ะ วันนี้มีงานเลยไม่มีม่านปิด
หยอดบริจาค 100 เยน แล้วเสี่ยงเซียมซีกันเลย
ได้ใบไม่ดีก็ผูกฝากให้เทพเจ้าจัดการให้
หลังจากออกมาแล้วเราก็เดินเที่ยวรอบๆ และเดินชมศาลเจ้าอาซากุสะ (ใครอยากรู้ว่าศาลเจ้ากับวัดต่างกันอย่างไร ตามไปดูที่ link นี้เลยค่ะ http://www.marumura.com/tips/?id=2509) บลูซังบอกว่า มาที่นี่ ต้องกินเมลอนปังให้ได้ ไม่งั้นจะมาไม่ถึงวัดอาซาคุสะ ด้วยเหตุนี้ทั้งที่อิ่มมาก แต่เราก็ยังได้กินซอฟครีมและเมลอนปัง แล้วก็เดินออกมาดูร้านค้าด้านหน้าอีกเล็กน้อยก่อน move ไปจุดถัดไป
ชมรอบๆ วัดหน่อย
วันนี้ด้านหน้าวัดมีซุ้มงานเทศกาลด้วย
ข้างๆวัดเป็นศาลเจ้าอาซากุสะ
ที่นี่ก็มีเทศกาลดอกเบญจมาศเหมือนกัน
ร้านแถวนั้นขายเมล่อนปัง และ Soft cream 31 รสชาติ
จากนั้นก็ไปเดินเล่นที่ตลาด Ameyoko แต่เนื่องจากเราไม่ใช่ขาช็อป เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าก็ไม่สนใจ อิ่มก็อิ่มอยู่ จะซื้อของสดก็ไม่มีปัญญาทำ จะซื้อของแห้งกลับบ้านก็เพิ่งจะเริ่มทริปเอง สุดท้ายก็เลยได้แต่เดินดูขำๆ
ตลาด Ameyokoวิธีเดินทาง : Tokyo Subway ลงสถานี Ueno (สถานี G16 หรือ H17) / JR Yamanote ลงสถานี Ueno
ตลาด Ameyoko
ผลไม้สดๆ น่ากิน
เริ่มตกเย็นเราก็ขอแยกกับเซนเซย์ แล้วมุ่งไปสู่ย่าน Ikebukuro บลูซังพาไปร้านโดจินมือสอง และแล้วถึงเวลาที่น้องสาวหายไปในโลกของโดจิน ทิ้งยู้ให้ไม่มีอะไรทำอยู่นานสองนาน หลังจากสนุกสนานกับการซื้อโดจินมือสองมากมาย เราก็ยืนยันว่าเรากลับเองเป็น แล้วแยกกับบลูซัง สองพี่น้องไปเดินเล่นรอบๆ Ikebukuro หาร้านโดจิน ร้านเกี่ยวกับการ์ตูน และเข้าไปร้านหนังสือมือสอง สอยวันพีซคาแร็กเตอร์บุ๊คภาษาญี่ปุ่นมาหลายเล่ม หวังว่าสักวันน้องสาวจะอ่านมันออก (ถึงตอนนี้ก็ยังตั้งค้างอยู่บนชั้นหนังสือ ไม่ได้อ่านซะที)
Ikebukuroวิธีเดินทาง : Tokyo Subway ลงสถานี Ikebukuro (สถานี Y09 หรือ F09 หรือ M25) / JR Yamanote ลงสถานี Ikebukuro
เข้าสู่โลกแห่งการ์ตูน
แวะโทระ ร้านโดจินชื่อดัง
ก่อนจะกลับเดินไปลองไขกาจาปอง เนียนโกะเซนเซย์ออกมาเล่นๆ กะว่าจะเอาไปฝากเพื่อน จากนั้นจึงไปหาข้าวเย็นกิน เจอร้านราเม็งอยู่ใกล้ๆทางลงรถไฟใต้ดิน เอาร้านนี้ล่ะนะ ร้านนี้จึงเป็นร้านแรกที่เราก้าวเข้ามาโดยอยู่กันแค่สองศรีพี่น้อง เข้าไปถึงพนักงานก็ถามอะไรสักอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นรัวๆ หันไปมองน้องสาวนั้นที่ฟังได้งูๆปลาๆ น้องสาวก็ไม่เข้าใจค่ะ ก็เลยสื่อสารด้วยภาษาใบ้ปนภาษาอังกฤษว่า ไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น พนักงานเห็นว่ากะเหรี่ยงไทยสองคนนี้คงตอบคำถามไม่ได้แน่ๆ ก็ทำหน้าประมาณว่าช่างมันเหอะ แล้วก็พาไปนั่งโต๊ะ ตอนหลังน้องสาวเพิ่งถึงบางอ้อว่า เขาถามว่า เราจะเอาที่นั่งสูบบุหรี่หรือไม่สูบบุหรี่ เราก็เลยแลกความรู้ในประโยคนี้มาด้วยการต้องนั่งข้างๆ โต๊ะที่สูบบุหรี่ ราเม็งรสชาติไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้อร่อยขนาดควรแนะนำใครไปกินนะ(แต่ยังไงก็จำชื่อร้านไม่ได้อยู่ดี) หลังจากอิ่มแล้วเราก็กลับที่พัก อาบน้ำ นอน
กาจาปองหลากหลายแบบให้เลือกไข
อาหารเย็นเป็นราเมงร้อนๆ
ของน้องสาวเป็นแบบแห้งพร้อมไข่ รวม 2 ชาม 1,050 Yen
สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้(รวม 2 คน)
- เติมเงินใน Suica 2,000 x 2 คน >>> 4,000 Yen
- แผ่นป้ายอธิฐาน @ Meiji ijngu 500 x 2 คน >>> 1,000 Yen
- เซียมซีครั้งละ 100 x 2 ครั้ง x 2 คน >>> 400 Yen
- ราเม็ง (อาหารเย็น) >>> 1,050 Yen
- เบ็ดเตล็ด (เงินบริจาคตอนเข้าวัด, หมุนกาจาปอง, ซื้อน้ำ/ขนม ฯลฯ) >>> ~700 Yen
- Shopping & ซื้อของฝาก & ของฝากซื้อ >>> ~21,000 Yen
ค่าใช้จ่าย | ไม่รวม Shopping | รวม Shopping |
วันนี้ | 7,100 | 28,100 |
รวม | 9,100 | 30,100 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น