วันนี้เป็นวันที่ตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะต้องกลับไทยแล้ว แต่เพราะงาน One Piece เราก็เลยมีวันงอกออกมา โดยตั้งแต่วันนี้ไปจะใช้ JR East Pass ไปอีก 5 วันจนกลับถึงไทย JR East Pass นี้ไม่จำเป็นต้องซื้อมาจากเมืองไทย สามารถมาซื้อที่ญี่ปุ่นได้เลย และโชคดีที่ JR east pass ในตอนนั้นมีตั๋วนักเรียนสำหรับคนที่อายุไม่เกิน 25 ด้วย น้องสาวอายุ 25 พอดี ประหยัดไปได้ 4000 เยน(ตอนนี้ไม่มีแล้วนะคะตั๋วนักเรียน)
วันนี้เราจะไป Nikko กันค่ะ มาถึงญี่ปุ่นไม่ไป Nikko ได้อย่างไร เขาอุตส่าห์มี Slogan Nikko is Nippon ตอนแรกก่อนที่จะเพิ่มวันตั้งใจจะไป Nikko อยู่แล้วแต่เป็นช่วงแรกๆ ของทริปค่ะ พอเปลี่ยนแผนก็เลยย้าย Nikko มาไว้วันหลังๆ จะได้มีโอกาสเจอใบไม้แดงมากขึ้นอีกนิด
แผนเที่ยว 5 วันสุดท้ายที่จะใช้ JR Pass นี้ คือ เราจะไปเที่ยวแถบ Nikko-Edo wonderland เป็นเวลา 2 วัน 1 คืน ก่อนจะเลยขึ้นไปนอนที่ Utsunomiya หนึ่งคืน ไปเที่ยวงาน One Piece แถวเซนได แล้วกลับมาโตเกียวพักบ้านเซนเซย์หนึ่งคืน ไปเที่ยวมิตาเกะ กับเซนเซย์ แล้วกลับมาพักบ้านบลูซังก่อนจะอำลาญี่ปุ่นกลับไทยไป
เราก็เลยฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้บ้านบลูซัง แล้วอัดของสำหรับสามคืนใส่กระเป๋าเป้สะพายขึ้นหลังออกเที่ยว มาขึ้นรถไฟ LTD. EXP NIKKO ซึ่งเป็นรถไฟที่ของ JR ร่วมมือกับทาง Tobu วิ่งไปจอดที่สถานี Tobu Nikko ไปกันตั้งแต่รอบแรก 7:30 เลย ตอนแรกที่ไม่ได้ใช้ JR pass และคิดว่าจะซื้อ Nikko pass ยังกังวลอยู่ว่าจะไปซื้อตั๋วตอนไหน เพราะว่าสถานที่ขายตั๋วเปิดสายกว่ารถไฟเที่ยวแรก พอใช้ JR ก็เลยสบายใจไป หลับๆ ตื่นๆ มาถึง Nikko ตอน 9:30 เราก็เอากระเป๋าฝากไว้ที่ locker บริเวณสถานีแล้วไปเที่ยวโซนมรดกโลกกัน
ความจริงเราสามารถขึ้นรถบัสจากหน้าสถานีไปยังโซนมรดกโลกได้เลย(และซื้อ pass ได้ที่สถานีด้วย) แต่ด้วยความที่ไม่ได้วางแผนมาละเอียดนัก และรู้สึกว่าไม่ไกล เราก็เลยเดินจากสถานีขึ้นไปยัง TIC ที่ตั้งอยู่ระหว่างสถานีกับโซนมรดกโลก ทำไม Nikko ถึงเอา TIC ไปไว้ตรงที่ห่างจากสถานีรถไฟจังก็ไม่รู้ ในสถานีเห็นว่ามีเคาท์เตอร์สอบถามข้อมูลได้เหมือนกัน แต่เขาติดป้ายว่าถามได้เฉพาะภาษาญี่ปุ่น
เดินมาเรื่อยๆ จนถึง TIC ข้างในใหญ่โต แต่ไม่ค่อยมีคนเลย อาจจะเพราะว่ายังเช้าอยู่ และไกลสถานีซะขนาดนี้ มีคุณลุงคนนึงพูดภาษาอังกฤษเก่งเชียว เอาแผนที่มาให้ และให้คำแนะนำเราว่าควรจะเดินไปทางไหน ซื้อตั๋วตรงไหน วันนั้นมีเด็กๆ มัธยมมาช่วยด้วย คุณลุงก็พยายามบอกให้เด็กๆ คุยกับเรา น่ารักดีค่ะ (น้องๆคงจะมาฝึกภาษา แต่ขอโทษด้วยที่ภาษาอังกฤษของพี่มันห่วย)
Nikko วิธีเดินทาง : มีหลายทาง
ขึ้นรถของ Tobu จาก Tobu Asakusaไปลงที่สถานี Tobu Nikko (มี Pass ของ Nikko มากมายลองหาดูนะคะ) โดยตอนขึ้นรถอย่าลืมนั่งให้ถูกตู้ด้วย เพราะรถจะแยกไปทาง Nikko และ Kinugawa Onsen
นั่ง JR ไปที่สถานี UTSUNOMIYA แล้วนั่ง JR Nikko line กลับมาที่ สถานี Nikko(JR)
นั่งรถ LTD. EXP NIKKO ซึ่งขึ้นจะ JR Shinjuku ไปถึง Tobu Nikko ได้เลย (ยู้ใช้วิธีนี้)
Tourlist information ที่อยู่ไกลสถานีพอสมควรเลย
น้ำดื่ม ได้อารมณ์ญี่ปุ่นๆ จริงๆ (ปกติบ่อที่เป็นกระบวยประมาณนี้เขาจะเขียนว่าห้ามดื่ม แต่ที่นี่เป็นน้ำดื่มแฮะ)
เนื่องจากเดินมาครึ่งทางแล้ว คุณลุงเลยแนะนำให้เราเดินต่อไปแล้วกัน ระหว่างทางก็มีอะไรให้ชมนะคะ ร้านขายของ บ้านเมืองเขาดูเป็นญี่ปุ่นๆ(อ้าว ก็มาญี่ปุ่นนี่) แล้วก็มีใบไม้แดงให้เห็นด้วย เดินมาสักพักเจอสะพานแดง (Shinkyo) ที่ดูเหมือนจะสีซีดไม่ค่อยจะแดงแล้ว เราแวะถ่ายรูปนิดนึง แล้วข้ามถนนไปยังป้ายมรดกโลก ก่อนจะเดินขึ้นๆๆ ไปยังที่ขายตั๋ว เราซื้อตั๋วรวม 1,000 เยนค่ะ เพื่อความคุ้ม ตั๋วนี้สามารถเข้าได้ ทั้งศาลเจ้า Toshogu shrine วัด Rinnoji Temple ศาลเจ้า Futarasan Shrine และ Taiyuinbyo แล้วก็เดินวนไปวนมาเที่ยวอยู่แถวนั้นอากาศที่ Nikko หนาวกว่า โตเกียวเยอะเลยเพราะว่าอยู่บนเขา แถมเดินๆ ก็มีฝนตกปรอยๆ ลงมาอีก จะกางร่มก็รู้สึกว่าตกนิดเดียว เกะกะ จะไม่กางก็หนาวและกลัวเป็นหวัด ก็เลยกางๆหุบๆร่มอยู่นั่นแหละ
ระหว่างทางเดินไปยัง Nikko
เจอสะพานแล้ว แต่สีซีดไปหน่อย
แล้วก็เดินๆๆๆ ขึ้นบันไดต่อไปอีกค่ะ
คนยังไม่เยอะ บรรยากาศสงบเงียบดีจัง
เจอรูปปั้นแล้ว แปลว่าที่ขายตั๋วอยู่ใกล้ๆ
ซื้อตั๋วแล้วก็เข้ามาชม Toshogu Shrine กันก่อน
Pagoda 5 ชั้น
รูปแกะสลักต่างๆ ดูสวยมาก
คนมุงรูปแกะสลักลิงสามตัวอันโด่งดัง
ดูใกล้ๆ
มีม้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย
นี่มันช้างหรือเปล่านะ??
ตามประตู&กำแพงจะมีภาพแกะแบบนี้อยู่เต็มเลย ทำได้ละเอียดมากจริงๆ
ส่วนนี้จะเป็นพวกนก
พอดีใกล้เที่ยงท้องก็เริ่มร้อง เจอร้านขายของฝากที่มีร้านอาหารด้วย เราก็เลยขอเข้าไปกินข้าว และพักให้ร่างกายอบอุ่นกันสักหน่อย อาหารชื่อดังของที่นี่คือ “ยูบะ” ค่ะ ซึ่งมันก็คือฟองเต้าหู้ม้วนนั่นเองแหละ ด้วยความหนาวสองพี่น้องเลยสั่ง โซบะ/อุด้งร้อน มากินแก้หนาวกัน
โซบะร้อนใส่ยูบะ
สาวๆ แต่งตัวมาเดินเที่ยวกัน
กินข้าวเสร็จแล้วเหมือนอากาศจะเริ่มแจ่มใสขึ้น เราก็เดินเที่ยวชมวัดและศาลเจ้าต่างๆ ใบไม้ที่ Nikko เริ่มเปลี่ยนสีกันแล้ว ใบไม้แดงกับวัดญี่ปุ่นนี่มันดูเข้ากันดีจริงๆ เลยนะ เดินเที่ยวชมจนทั่วแล้ว(มั้ง) ก็พบว่าเราหาวัด Rinnoji ไม่เจอ!!! ดูในแผนที่เหมือนจะเลยมาไกลแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นนะ เราก็เลยตัดสินใจเดินกลับไปจุดเริ่มต้นใหม่ แต่ใช้คนละเส้นทางกับขามา จะได้ชมทิวทัศน์ใหม่ๆบ้าง ระหว่างทางก็เห็นร้านขายของกินก็เลยขอแวะกินไอติมสักหน่อย(ได้ข่าวว่าหนาวอยู่ไม่ใช่เรอะ!!) ซื้อของแล้วก็เข้าไปนั่งทานในร้านได้อุ่นๆค่ะ
Futarasan Shrine
Taiyuinbyo
เดินกลับมาถึงจุดเริ่มต้นแล้วก็พบว่าวัด Rinnoji อยู่ตรงจุดเริ่มต้นนั่นแหละ ใหญ่มากกกกกก แต่ว่ามันซ่อมบำรุงอยู่ก็เลยมีผ้าใบพิมพ์รูปวัดคลุมไว้แทน ไอ้เราก็นึกว่าเป็นงานก่อสร้างตึกใหม่เลยไม่ได้สนใจ ประกอบกับมัวแต่สนใจประตูทางเข้าสวนญี่ปุ่นด้านตรงข้ามว่าใช่หรือเปล่า
นี่เองวัด Rinnoji
ด้านในวัดเขาไม่ให้ถ่ายภาพ ออกมาถ่ายด้านหลังตอนออกจากวัดแล้วแทน
ออกจากวัด Rinnoji ก็เพิ่งบ่ายสอง เราก็เลยเดินไปดู Kanmangafuchi Abyss ต่อ หุบเขา Kanmangafuchi นี้เป็นหุบเขาที่เกิดจากภูเขาไฟระเบิดค่ะ ดูแผนที่แล้วก็เดินไปแบบงงๆ ไม่ค่อยมีคนเดินไปทางนี้ เดินไปเดินมาเจอบ้านคน เริ่มงงว่ามาถูกที่หรือเปล่า จะหาคนถามทางยังไม่มีเลย จะไปเคาะประตูบ้านถามก็ไม่กล้า T_T ยังดีที่ไม่ตัดใจหันหลังกลับพอเดินไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเจอสวนสวนๆ แล้วก็เจอประตูทางเข้าแล้วววววว
ข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้ามก่อน
เจอสวนก็ใกล้ถึงแล้ว
เข้าไปจะเห็นแม่น้ำอยู่ทางขวา และพระพุทธรูปหินเรียงรายกันอยู่ทางซ้ายค่ะ โดยพระพุทธรูปหินนี้เรียกว่า Jizo เป็นพระโพธิสัตว์ผู้คุ้มครองเด็ก ผู้หญิงท้อง และนักเดินทางค่ะ จะเห็นอยู่ข้างทางบ่อยๆในการ์ตูนหรือนิทานญี่ปุ่น ซึ่งพระพุทธรูปเหล่านี้สร้างอุทิศให้กับเด็กทารก(ก็เลยมีผ้ากันเปื้อนผูกไว้) มารู้ทีหลังว่ามีอีกชื่อหนึ่ง คือ Bake Jizo (Ghost Jizo) เพราะว่าถ้านับพระพุทธรูปขาไปและกลับจะนับได้ไม่เท่ากันค่ะ เพราะท่าน Jizo จะย้ายที่ บรืออออ
แม่น้ำ
Bake Jizo
ดีนะที่ไม่รู้ก่อนไม่งั้นน้องสาวงอแงไม่ยอมเข้าไปแน่เลย ตอนแรกยู้หมายมั่นปั้นมือจะไปตรงนี้มากๆ เพราะเห็นจากภาพแล้วชอบมาก แต่น้องสาวบ่นว่าดูวังเวงน่ากลัว ทำไปทำมาพออ่านแผนที่ก็เป็นตัวน้องสาวเองนั่นแหละที่ชวนว่าไปตรงนี้ต่อกันไหม (เสร็จโจร) ส่วนใหญ่ดู review แล้วคนไทยไม่ค่อยมาดูส่วนนี้กันนะคะ ไม่รู้เพราะว่าไม่น่าสนใจ คนไม่ค่อยรู้จัก หรือว่ายู้หา reivew ไม่เจอเองกันแน่
จะกลับแล้วขออีกสักภาพนึง
เดินออกมาก็ประมาณสามโมงค่ะ เนื่องจากเวลาเหลือเยอะ เราก็เลยเดินเอ้อระเหยแวะดูร้านของฝากระหว่างทาง กลับไปที่สถานีโดยไม่ง้อรถบัส กลับมาหยิบกระเป๋าที่ฝากไว้แล้วก็มาหยอดเหรียญตู้โทรศัพท์ขอให้ทางที่พักมารับค่ะ วันนี้เราพักที่ Minshuku Rindo-no-ie ยอดฮิตของชาวไทยค่ะ ตอนแรกก่อนจะปรับแผน mail ขอจองที่นี่ไว้แต่ไม่ว่าง พอปรับแผนมาเป็นวันนี้เลยได้พักที่นี่สมใจอยาก(คุณลุงไม่รู้จำ mail เราได้หรือเปล่า อาจจะงงว่ายัยนี้อยากพักมากจนเปลี่ยนแผนเลยเรอะ) โทรไปถึงคุณลุงก็แจ้งให้รอแป๊บนึงพร้อมกับแจ้งทะเบียนรถมา เราก็ฟังแบบเมาๆ พอวางหูไปแล้วเริ่มจำตัวเลขสลับกัน แต่ยังไงก็เจอตัวกันได้ค่ะ
คุณลุงพาเราขึ้นไปที่ห้องพัก แล้วอธิบายเกี่ยวกับการใช้เครื่องทำความร้อน, ห้องน้ำ, ตู้เย็น แล้วปล่อยให้เราพักผ่อน ในห้องมีกระติกน้ำร้อนและชาให้ด้วย เราก็เลยชงชามาดื่มกันแก้หนาว แล้วนอนกลิ้งไปมาคุยโน่นคุยนี่ นั่งดู the voice ผ่าน notebook แล้วก็รู้สึกว่าทำไมห้องมันไม่อุ่นขึ้นเลยเนี่ยยยยยย Nikko นี่มันหนาวจริงๆ เลยนะ หรือจะเพราะผนังที่นี่บาง สองคนต้องไปนอนกองกันอยู่ใต้เครื่องทำความร้อนนั่นแหละถึงจะอุ่น พอนอนติดกำแพงนี่หนาวเป็นพิเศษ บังเอิญยู้เกิดความคิดว่าไหนดูวิวนอกห้องซิเป็นอย่างไร ก็เลยลองเปิดม่าน เท่านั้นแหละ พบว่าหน้าต่างห้องปิดไม่สนิท มิน่า ห้องหนาวมากกกกก พอจัดการปิดหน้าต่างแล้วห้องก็อบอุ่นขึ้นทันทีทันใด
ที่นอนคืนนี้ค่ะ หลังม่านนั่นแหละที่หน้าต่างแง้มอยู่
มีน้ำร้อนและชาสามารถชงเองได้เลย
หลังจากนั้นไม่นานก็ถึงเวลาอาหารเย็น เราสั่งทั้งอาหารเย็น และอาหารเช้าไว้กับทางที่พัก ซึ่งอาหารก็จะเป็น set หลายอย่างเหมือนกับที่เรียวกัง แต่จะดูบ้านๆ มากกว่า ในห้องอาหารมีชาวต่างชาติสองคน(คิดว่าน่าจะเป็นแฟนกัน) คุณป้าเจ้าของบ้านแนะนำเรา 4 คน และบอกว่าอยากให้เราเป็นเพื่อนกันนะ แต่หลังจากนั้นก็ไม่รู้จะคุยอะไรต่างคนก็ต่างกินไป ขอโทษนะคะคุณป้า
อาหารเย็นที่จองไว้
อาหารมีทั้งสลัด ปลาดิบ เนื้อย่าง ปลานึ่ง ยูบะ เทมปุระ ไข่ตุ๋น ซุป และผลไม้ รสชาติก็พอใช้ได้ไม่ได้อร่อยมากมายเหมือนตามร้าน ติตรงนี้เนื้อย่างไม่มีรสเนื้อเลย จนรู้สึกว่านี่หมูหรือเปล่านะ และยูบะรสชาติค่อนข้างจืด(นี่ขนาดเราเป็นคนกินจืดนะ) พี่น้องเลยจัดการเอายูบะไปย่างบนเตาย่างเนื้อ จนคนต่างชาติข้างๆ แอบมอง เราได้โอกาสถามวิธีกินสาหร่ายที่มึนงงตอนอยู่ที่ asafuji ด้วยว่ากินยังไง สรุปก็คือ กินกับข้าวนั่นแหละ ซึ่งถ้าสาหร่ายมีเกลือก็วางทั้งแผ่นลงบนข้าว คีบขึ้นมาให้ติดข้าวแล้วกิน แต่ถ้าเป็นแบบจืดก็จุ่มโชยุก่อน แล้วค่อยกินกับข้าว ได้รสชาติอร่อยไปอีกแบบ กินอิ่มแล้วเราก็กลับขึ้นห้องพัก ลงมาอาบน้ำที่ห้องน้ำรวม แล้วนอน จบวันชิวๆ ไปอีกหนึ่งวัน
ซูมๆ อาหารแต่ละอย่าง สลัดมันบดในมะเขือเทศ
ยูบะ ตกแต่งเป็นรูปดอกไม้ด้วย (แต่จานนี้จืดไปนะ)
เนื้อและเห็ดย่าง (แต่เนื้อรู้สึกว่าไม่ค่อยมีรสเนื้อเท่าไหร่เลย)
ซาซิมิ สด แต่ไม่ถึงกับอร่อยเวอร์
เทมปุระ
ปลาราดซอส
ซุป
ไข่ตุ๋น
ปิดท้ายด้วยผลไม้
ในบ้าน มีของตกแต่งกระจุกกระจิก แบบญี่ปุ่น น่ารักๆ ด้วย
ไมโครเวฟ และมีกาแฟ และน้ำร้อนให้ดื่ม
ของฝากและคำขอบคุณจากผู้ที่มาพักที่นี่
สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้(รวม 2 คน)
- Coin Locker >>> 300 Yen
- ตั๋ว Nikko 1,000 x 2 คน >>> 2,000 Yen
- อาหารเที่ยง >>> 2,000 Yen
- ขนม&น้ำ ระหว่างวัน >>> 1,800 Yen
ค่าใช้จ่าย | ไม่รวม Shopping | รวม Shopping |
วันนี้ | 6,080 | 6,080 |
รวม | 407,755 | 453,835 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น